บทที่ 319 รับศิษย์
ทั้งด้านนอกและด้านในประตูอู่เหมินเงียบสงัด ขุนนางหลายร้อยคนดูเหมือนจะเงียบกันไปหมด ได้ยินบทกวีที่เต็มไปด้วยการเสียดสีประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหู
มีเพียงปัญญาชนเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจการเสียดสีที่สอดแทรกอยู่ในบทกวีประโยคนี้อย่างแท้จริง ว่าช่างแหลมคมเหลือเกิน
ปัญญาชนไม่กลัวที่จะถูกต่อว่า และไม่กลัวการทะเลาะวิวาท กระทั่งมองการทะเลาะวิวาทเป็นการโต้แย้ง ต่างพากันกระหยิ่มยิ้มย่อง คนที่มีฐานะต่ำชอบทะเลาะวิวาทกับผู้ที่มีฐานะสูง
ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านาน ชอบทะเลาะวิวาทกับคนระดับเดียวกัน กระทั่งชอบทะเลาะวิวาทกับจักรพรรดิ เมื่อจักรพรรดิทรงเดือดดาล พวกเขายังชี้ไปที่จักรพรรดิแล้วพูดว่า พระองค์ทรงเดือดดาลแล้ว…
ขุนนางใกล้ชิดก็คือบุคคลที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในจำนวนนี้
แต่ปัญญาชน โดยเฉพาะปัญญาชนที่อยู่ในฐานะสูง พวกเขากลัวถูกต่อว่าด้วยของสามสิ่ง
หนึ่ง คือหนังสือประวัติศาสตร์
สองคือ บทความ
สาม คือบทกวี
เพราะทั้งสามสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ปัญญาชนสนใจมากที่สุด นั่นก็คือชื่อเสียง
ชื่อเสียงทั้งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากถึงแก่กรรมแล้ว
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้…’
นี่เป็นการเปิดโปงเจตนาของผู้อื่นอย่างถึงแก่นแท้ ไม่มีปัญญาชนคนใดสามารถอดทนกับการเย้ยหยันของบทกวีประโยคนี้ได้ มันมีเจตนาร้ายอย่างยิ่ง
เวลานี้ ขุนนางในเมืองหลวงหลายร้อยคน ต่างรู้สึกเลือดขึ้นหน้า รู้สึกถูกเหยียดหยามอย่างใหญ่หลวงจริงๆ
ไม่เพียงแต่ตัวบทกวีเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะบุคคลที่ทำให้ปัญญาชนอย่างพวกเขาต้องอับอายนั้น เป็นเพียงทหารที่หยาบคาย
จนกระทั่งร่างสูงทรงพลังที่สวมเสื้อคลุมตัวสั้นเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จึงมีขุนนางคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“คนบ้า เด็กเมื่อวานซืน คนโง่หยาบคาย…กล้าดีอย่างไรมาเหยียดหยามคนระดับข้า ใต้เท้าทุกท่าน มันกล้าทำถึงขนาดนี้ยังมีอะไรที่ไม่กล้าทำอีก รีบส่งทหารไปสังหารคนชั่วนี้โดยเร็วเถิด”
คนที่พูดคือเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงแผนการทั้งหมดล้มเหลว เขารู้สึกจิตตก ร่างกายเหมือนจะระเบิดได้ตลอดเวลา เวลานี้สวี่ชีอันเจตนาทำท่าหยุดรออยู่ที่ประตูอู่เหมิน ทำให้เขาโกรธจนเจ็บใจเป็นอย่างมาก
หยวนสยงรู้สึกว่า บทกวีประโยคนี้ของสวี่ชีอันกำลังเย้ยหยันตัวเอง และต้องการที่จะตรึงตัวเองไว้บนเสาแห่งความอัปยศ
คนที่สองที่หุนหันพลันแล่นออกไปคือรองเจ้ากรมกรมทหารฉินหยวนเต้า เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความโกรธ แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า
“ทหารรักษาพระองค์ ทหารรักษาพระองค์อยู่ที่ไหน สกัดเจ้าคนชั่วนั่นไว้ สร้างความอับอายขายหน้าให้กับเหล่าขุนนางของราชสำนัก เป็นการไม่เคารพอย่างยิ่ง สกัดมันเอาไว้!”
น่าเสียดายที่ทหารรักษาพระองค์เชื่อฟังแต่คำสั่งของจักรพรรดิหยวนจิ่งเท่านั้น แม้แต่องค์หญิงและพระราชโอรสก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะระดมพล
อารมณ์ของซุนซ่างซูซับซ้อนเป็นอย่างมาก เรื่องโกรธนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จึงรู้สึกโล่งใจ ที่สวี่ชีอันไม่ได้ระบุชื่อแซ่
เขาตรึงทุกคนไว้บนเสาแห่งความอัปยศ เมื่อเฉลี่ยกันแล้ว ความอัปยศอดสูที่ทุกคนได้รับก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น
ซุนซ่างซูรู้สึกว่าสภาพจิตใจของตัวเองผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถสรุปได้ ซุนซ่างซูผู้เคยอ่านบทกวีมามากมาย ไม่เคยเห็นหนังสือที่หลู่ซู่เหรินเขียน
“เว่ยกงได้สั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถสูงจริงๆ”
มุมปากของสมุหราชเลขาธิการหวางกระตุก พูดจาแปลกประหลาด
แม้แต่สมุหราชเลขาธิกาารหวางผู้ที่มีความคิดลึกซึ้งอย่างยากที่จะคาดคะเนก็ยังถูกยั่วให้โกรธ พลังในการทำลายล้างของบทกวีประโยคนี้เห็นได้อย่างชัดเจน
เหล่าขุนนางมองเว่ยเยวียนด้วยความเดือดดาล และถามเขาด้วยสายตา
ดูเหมือนเว่ยเยวียนจะเพิ่งรู้สึกตัว จึงถามกลับด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติว่า “ทุกท่านทำอะไรกันอยู่ หรือว่าทุกท่านนั่งตามเลขที่กัน”
สีหน้าของเหล่าขุนนางเคร่งเครียดขึ้นทันที รู้สึกเหมือนถูกคำพูดเบาๆ ของเว่ยเยวียนบีบให้อับจน
“ถ้า ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ หนังสือประวัติศาสตร์ควรบันทึกว่าอย่างไร” อาจารย์หนุ่มแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินคนหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ทันทีที่เสียงพูดจบลง ก็เห็นขุนนางแต่ละคนหันมา มองเขาอย่างหมางเมิน ดวงตานั้นราวกับกำลังพูดว่า เจ้าเรียนหนังสือจนสมองเลอะเลือนไปแล้วหรือไร
อาจารย์หนุ่มแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหดหัว พูดว่า “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ควรค่าที่จะบันทึกลงในบันทึกประวัติศาสตร์”
เว่ยเยวียนกล่าวเรียบๆ ว่า “การเข้าเฝ้าสิ้นสุดลงแล้ว ขุนนางทุกท่านไม่ควรรวมตัวกันที่ประตูอู่เหมิน รีบสลายตัวโดยเร็วที่สุดเถิด”
พูดจบ ก็จากไปก่อน หลังจากเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง เว่ยเยวียนก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มที่มุมปากของเขาได้ต่อไป พร้อมส่งเสียง ‘หึ’ ด้วยความดีใจที่คนอื่นประสบภัย
ออกจากประตูวัง เข้าไปในรถม้า เว่ยเยวียนซึ่งอารมณ์ดีอย่างมาก ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ประตูอู่เหมินให้หนานกงเชี่ยนโหรวฟังที่กำลังขับรถม้าฟัง
บุตรบุญธรรมผู้มีบุคลิกลักษณะอ่อนโยน ส่งเสียง ‘อา’ แล้วพูดว่า “ท่านพ่อบุญธรรม ตอนนั้นท่านอยู่ในหมู่ขุนนางด้วยไม่ใช่หรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยเยวียนค่อยๆ จางลงทีละน้อย
ด้านนอกประตูอู่เหมิน ฮว๋ายชิ่งและหลินอันยังคงหยุดอยู่ที่เดิม มองดูร่างของเหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารสายตัว
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้…’ ฮว๋ายชิ่งพึมพำกับตัวเองในใจ ในดวงตาของพระองค์สะท้อนภาพด้านหลังของเหล่าขุนนาง แต่ในใจกลับมีเพียงร่างสูงสง่าที่สวมเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ถือดาบเดินออกไป
สวี่หนิงเยี่ยนแตกต่างจากทหารทั่วไป เขารู้ว่าจะต้องโจมตีจุดอ่อนของคนอย่างไร จะใช้วิธีการโจมตีที่เฉียบคมที่สุดเพื่อแก้แค้นศัตรูอย่างไร โดยไม่เป็นภัยต่อตัวเอง
การใช้บทกวีในการเปิดโปง โจมตีจุดอ่อนของปัญญาชนอย่างหนัก เป็นความสามารถเฉพาะตัวของสวี่หนิงเยี่ยน
“สุนัขรับใช้ช่างสง่างามเสียจริง……” ยายตัวร้ายพึมพำ
ในสายตาของพระองค์มีเพียงฉากเดียวคือ บทกวีเบาๆ เพียงประโยคเดียวของสุนัขรับใช้ ก็ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารเต้นเร่าๆ ด้วยความโกรธได้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
ในใจของยายตัวร้าย นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่เสด็จพ่อก็ทำไม่ได้ แม้ว่าเสด็จพ่อจะสามารถใช้อำนาจและอิทธิพลบีบบังคับผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่สามารถกระทำโดยใช้บทประพันธ์เช่นสุนัขรับใช้ได้
ดวงตากลมโตที่งดงามของพระองค์เป็นประกายแวววาว ทรงยืดพระอุระอย่างภาคภูมิใจ พยายามยืดให้เด่นกว่าขนาดปกติของฮว๋ายชิ่ง
…
ในห้องพระบรรทม หลังการว่าราชการในช่วงเช้าสิ้นสุดลงแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ทรงถือคัมภีร์เต๋าอยู่ในพระหัตถ์ ทรงฟังรายงานของขันทีชราอย่างเงียบๆ ทรงทราบเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่ประตูอู่เหมิน
“ใจกล้ามาก”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระสรวล ไม่แน่ใจว่าทรงชื่นชมหรือหัวเราะเยาะ
แต่ว่า ขันทีชราสามารถยืนยันได้ประการหนึ่ง นั่นก็คือจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทราบเรื่องนี้ ได้ทรงทราบถึงพฤติกรรมอวดดีของสวี่ชีอัน และไม่มีพระประสงค์จะลงโทษเขา
เขาเดาความคิดของจักรพรรดิหยวนจิ่งได้รางๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สวี่ชีอันทำ กำลังทำให้ตัวเองขยับเข้าใกล้ความเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยว กำลังเดินตามเส้นทางเก่าของเว่ยเยวียน
แต่ขุนนางผู้โดดเดี่ยว มักจะสร้างความไว้วางใจให้จักรพรรดิได้มากที่สุด
ชายหนุ่มผู้มีความสามารถ มีพรสวรรค์ มีความรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับการทำอะไรได้ดั่งใจคิด รวมกลุ่มกับคนไปทั่ว แน่นอนว่าการเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยวย่อมสอดคล้องกับพระประสงค์ของฝ่าบาทมากกว่า
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้’
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพระสรวลเสียงดัง สีพระพักตร์หยอกล้อ “บทกวีดี บทกวีดี กวีอันดับหนึ่งของต้าฟ่งท่านนี้ สมชื่อแท้ๆ ต้าป้าน ถ่ายทอดราชโองการของข้าออกไป ให้ สำนักบัณฑิตฮั่นหลินบันทึกเรื่องนี้ไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ ข้าจะดูด้วยตัวเอง”
นี่เป็นการแก้แค้นของฝ่าบาทต่อปัญญาชนของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเหล่านั้น…บทกวีสองบทของพี่น้องบ้านสกุลสวี่ ทำให้พระพักตร์ของฝ่าบาทดูมีความสุขอย่างยิ่ง ขันทีชรารับราชโองการแล้วถอยออกไป
‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้’
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงอ่านบทกวีประโยคนี้อีกครั้ง ความสุขบนพระพักตร์ค่อยๆ จางลง ความปรารถนาที่จะมีอายุยืนยาวเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
…
ขณะกินอาหารกลางวัน ฉู่หยวนเจิ่นฟังเพื่อนเก่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงบนโต๊ะ และสุดท้าย คือฉากที่สวี่หนิงเยี่ยนได้สกัดขุนนางทั้งหลายเพียงลำพัง ด้วยการใช้บทกวีเย้ยหยันเหล่าขุนนาง
นี่ เป็นการทำลายสถานการณ์ด้วยวิธีนี้หรือ…ใช้ขุนนางผู้มีความดีความชอบต่อต้านข้าราชการพลเรือน เป็นความคิดที่ดี แต่มันยากมาก สวี่หนิงเยี่ยนกับหมายเลขสามทำอย่างไรกัน…สมแล้วที่หมายเลขสามและสวี่หนิงเยี่ยนเป็นพี่น้องกัน พรสวรรค์ในด้านบทกวีนั้นล้วนน่าทึ่ง
ที่น่าเสียดายก็คือ หมายเลขสามประสบการณ์ยังน้อย ระดับยังต่ำอยู่ ยังห่างไกลจากสวี่ชีอันญาติผู้พี่มากนัก มิฉะนั้นในจำนวนคนที่จะต้องลงหลุมฝังศพในวันนั้น จะต้องมีหมายเลขสามอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า ระบบลัทธิขงจื๊ออ่อนแอลงมานานแล้ว การที่หมายเลขสามอยู่ในระดับต่ำก็สามารถเข้าใจได้
สำหรับบทกวีที่หมายเลขสามแต่งในท้องพระโรง ฉู่หยวนเจิ่นชมเชยไปประโยคหนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก บทกวีเป็นบทกวีที่ดี แต่น่าเสียดายที่ประโยคสุดท้ายไม่ได้ใจเขา
ในทางตรงกันข้าม บทกวีเย้ยหยันเหล่าขุนนางของสวี่หนิงเยี่ยน ฉู่หยวนเจิ่นฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้น จนต้องดื่มน้ำติดต่อกันสามแก้วเลยทีเดียว
“ข้าอยากจะด่าทอพวกที่เลี้ยงเสียข้าวสุกแบบนี้มาน่านแล้ว น่าเสียดายที่บทกวีไม่ใช่ความสามารถพิเศษของข้า สวี่หนิงเยี่ยนสมกับที่เป็นกวีอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง วิจารณ์ได้อย่างลึกซึ้ง” ฉู่หยวนเจิ่นพูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง
รู้สึกสบายอกสบายใจ เขาเกิดความวู่วามอยากจะไปหาสวี่หนิงเยี่ยนในทันที เพื่อพูดคุยและสนทนา ดื่มให้เมาไปเลย
แต่เมื่อพิจารณาถึงอีกฝ่ายที่เพิ่งคลี่คลายคดีทุจริตของญาติผู้น้อง และยังมีเรื่องจุกจิกที่ตามมาภายหลังที่ต้องจัดการอีก จึงระงับความวู่วามไว้
…
จวนสกุลหวาง
หวางซือมู่ผู้ซึ่งติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด ได้ยินข่าวการต่อสู้อันดุเดือดที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง และบทกวีเย้ยหยันที่ประตูอู่เหมินในวันนี้ ผ่านช่องการจัดการของนางเอง
“ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าสวี่ฮุ่ยหยวนมีพรสวรรค์ที่ไม่เป็นสองรองใคร จะทุจริตการสอบเคอจวี่ได้อย่างไร อืม เรื่องนี้ สวี่หนิงเยี่ยนญาติผู้พี่ของเขายิ่งเก่งกว่า ระหว่างการไกล่เกลี่ย สามารถทำให้ เฉากั๋วกงและอวี้อ๋องเจรจาแทนสวี่ฮุ่ยหยวนได้ ทำให้ขุนนางในราชสำนักเจรจาแทนพวกเขาได้
“สายสัมพันธ์นี้ไม่ปกติ สิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจที่สุดก็คือเว่ยเยวียนไม่ได้ลงมือ เขานิ่งดูดายตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อเป็นเช่นนี้ สวี่ฮุ่ยหยวนก็จะไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขันที สำหรับเขาแล้ว เป็นเรื่องดีที่จะส่งผลกระทบอันยาวไกล”
แน่นอนว่า สำหรับข้าแล้วก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน…คุณหนูหวางยิ้มอ่อนหวาน
มีหลานเอ๋อร์สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ แสร้งทำท่าทางตั้งใจฟัง แต่ความจริงแล้วไม่เข้าใจเลย
“หลานเอ๋อร์ เจ้าไปจวนสกุลสวี่อีกครั้ง นัดสวี่ฮุ่ยหยวนให้ข้า…ไม่ ทำแบบนี้จะดูเหมือนไม่สำรวม ดูเหมือนข้าเป็นฝ่ายจู่โจม” คุณหนูหวางส่ายหัว ยกเลิกความคิด
พึมพำในใจว่า เวลานี้ ความสงบจะทำให้เห็นความอดทน และท่าทีของข้าได้ชัดเจนขึ้น หากอดใจไม่ไหวจู่โจมไป กลับจะทำให้นายหญิงบ้านสกุลสวี่ท่านนั้นดูถูกเอา
คนฉลาดไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจนเกินไป แค่เข้าใจโดยปริยาย
…
สำนักโหราจารย์
เมื่อหยางเชียนฮ่วนเดินผ่านห้องเล่นแร่แปรธาตุบนชั้นเจ็ด เขาได้ยินบรรดาศิษย์น้องกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในการเสด็จออกว่าราชการในช่วงเช้า เดิมทีเขาก็ไม่สนใจเกี่ยวกับกิจการของราชสำนักอยู่แล้ว จึงขี้เกียจจะฟัง
แต่เมื่อได้ยิน ‘สวี่หนิงเยี่ยน’ สามคำนี้ ฝีเท้าของหยางเชียนฮ่วนก็ช้าลง สัญชาตญาณบอกเขาว่า บางทีอาจเป็นโอกาสเพิ่มพูนความรู้อีกครั้งก็ได้
“บทกวีของคุณชายสวี่ สาแก่ใจยิ่งนัก ข้าคิดว่า เรียกได้ว่าเป็นบทกวีเย้ยหยันบทแรกในใต้หล้าเลยทีเดียว”
“ฟังเจ้าพูดเข้าสิ เกินจริงไปหน่อย แต่ก็สาแก่ใจยิ่งนัก โดยเฉพาะ เมื่อพูดประโยคนี้ต่อหน้าเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารที่ติดอยู่ที่ประตูอู่เหมิน…”
บทกวี? บทกวีอะไร
หยางเชียนฮ่วนขยับเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบ พูดเสียงขรึมว่า “พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่”
บรรดานักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวต่างพากันสะดุ้ง จ้องไปที่ท้ายทอยของเขา แล้วบ่นว่า “ศิษย์พี่หยาง ท่านทำแบบนี้ทุกทีเลย ตกใจหมด”
หยางเชียนฮ่วนไม่สนใจ ซักถามว่า “สวี่หนิงเยี่ยนทำอะไรอีกแล้ว สกัดเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารไว้ที่ประตูอู่เหมินเพียงลำพัง? บทกวีเย้ยหยันบทแรกในใต้หล้าคืออะไร”
นักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หยางเชียนฮ่วนฟัง
หยางเชียนฮ่วนราวกับถูกฟ้าผ่า มีภาพปรากฏในสมองเขา หลังจากการว่าราชการสิ้นสุดลง บรรดาเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารค่อยๆ เดินออกจากประตูอู่เหมิน ในเวลานี้เอง ก็เห็นร่างในชุดขาวยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น ขวางทางเหล่าขุนนาง
เหล่าขุนนางต่างโกรธเคือง ตะคอกโหรชุดขาวว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ บังอาจขวางทางข้า
โหรชุดขาวไม่สนใจไยดีต่อคำด่าทอที่ดังไปทั่ว จู่ๆ ก็ท่องบทกวีเสียงดังทันที ‘จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้’
เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารต่างนิ่งงัน ตื่นตระหนกทันที
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยางเชียนฮ่วนรู้สึกว่าร่างกายราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ขนลุกตั้งแต่คอไปถึงแขน
“เหตุใด เหตุใดสวี่หนิงเยี่ยนถึงสามารถทำแต่เรื่องที่ทำให้คนอิจฉาได้ทุกเรื่อง สกัดทหารที่ก่อการกบฏสี่ร้อยนายเพียงลำพังที่อวิ๋นโจว ต่อสู้ด้วยคาถาอาคมกับสำนักพุทธท่ามกลางสายตาของผู้คน…ไม่ยุติธรรมเลย ไม่ยุติธรรมเลย”
“การเข้าเฝ้าครั้งต่อไปคือเมื่อไร ข้า ข้าจะไปที่ประตูอู่เหมินด้วย จะต้องไปให้ได้”
…
สำนักสังคีต ตอนบ่าย
ขณะที่สวี่ชีอันและฝูเซียงนั่งหันหน้าเข้าหากันดื่มชา พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงให้ฝูเซียงฟัง พร้อมกับแทรกบทกวีรักชาติที่สวี่ซินเหนียนเป็นผู้ ‘แต่ง’ และบทกวีครึ่งประโยคของเขาเองที่ประตูอู่เหมิน
ฝูเซียงเป็นคนรักบทกวี จึงฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม โดยเฉพาะเกียรติประวัติที่สวี่ชีอันสกัดขุนนางทั้งหลายเพียงลำพัง เต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา น้ำตาคลอเบ้า เหมือนจะหยดลงมา
“ข้าวานเจ้าเรื่องหนึ่ง ช่วยเผยแพร่เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงในวันนี้ให้แพร่กระจายออกไป” พูดจบ สวี่ชีอันก็ยื่นข้อเสนอของตัวเอง
สำนักสังคีตเป็นชุมทางในการแพร่กระจายข่าวสารที่รวดเร็วและสะดวกที่สุด
“ถ้าเช่นนั้น สวี่หลางตั้งใจจะให้อะไรเป็นการตอบแทนข้า”
ในเวลานั้นฝูเซียงปฏิเสธไม่เป็น ดวงตาสดใส จ้องหน้าสวี่ชีอัน
ชอบคนคนหนึ่งนั้นปิดไม่มิด ความคิดถึงที่มีต่อสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ
ครึ่งชั่วยามต่อมา สวี่ชีอันก็ไปพบหมิงเยี่ยน เสียวหย่า และคณิกาที่คุ้นเคยอีกหลายคน และขอให้พวกนางช่วยเผยแพร่เรื่องที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงในวันนี้ในขณะประชุมชา
ต่อจากนั้นก็ขี่แม่ม้าน้อยกลับจวน
คดีทุจริตการสอบเคอจวี่สำหรับสวี่ซินเหนียน นับเป็นการโจมตีด้านชื่อเสียงถึงขั้นถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะจากการเจตนาเผยแพร่ ซื่อหลินแห่งเมืองหลวง ผู้คนทั่วไปต่างรู้ว่าสวี่ซินเหนียนสอบเป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนได้จากการทุจริต
ความรู้สึกนี้ จะค่อยๆ ตกตะกอนในเวลาต่อมา เมื่อกลายเป็นตราบาป แม้ในอนาคตราชสำนักจะยืนยันความบริสุทธิ์ให้สวี่ซินเหนียน ก็ยากที่เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ในเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ คดีทุจริตการสอบเคอจวี่ยังไม่สิ้นสุด อีกห้าวันก็จะเป็นการสอบเตี้ยนซื่อแล้ว สวี่ชีอันจะต้องป้องกันไม่ให้ซุนซ่างซูและคนอื่นๆ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะสร้างปัญหาก่อนวันสอบเตี้ยนซื่อ
ตัวอย่างเช่นปลุกระดมบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงให้ก่อเรื่อง
หากสามารถเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้คนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้ ถ้าเช่นนั้น บัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงก็จะไม่มีเหตุผลที่จะก่อเรื่อง และเป็นการยากที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อทุกคนรู้ว่าสวี่ซินเหนียนถูกใส่ร้าย แม้ว่าเจ้าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็จะไม่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากทุกคน
คนโบราณไม่ว่าจะทำสงครามหรือวางแผน ต่างก็ให้ความสำคัญกับการมีเหตุผลที่เพียงพอ
น้ำใจของอวี้อ๋องนับว่าถูกใช้ไปแล้ว ก็ไม่เสียหาย โชคดีที่อวี้อ๋องไม่มีกะจิตกะใจที่จะแย่งชิงชื่อเสียงและผลประโยชน์ มิเช่นนั้นจะต้องออกหน้าแทนข้าอย่างแน่นอน…ทางด้านเฉากั๋วกง ผลประโยชน์ที่ข้ารับปากไว้ยังไม่ได้ให้ ด้วยอิทธิพลของกง และรองแม่ทัพแห่งอ๋องสยบแดนเหนือ หากข้ากลับคำ จะต้องถูกแว้งกัดอย่างแน่นอน…
อ๋องสยบแดนเหนืออาจจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เป็นแผนของรองแม่ทัพและเฉากั๋วกง แต่ว่า ข้าเป็นเพียงฆ้องเงินตัวเล็กๆ แม้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือจะทราบเรื่องนี้ ก็คงจะไม่ตำหนิรองแม่ทัพ ยิ่งไปกว่านั้น ระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธ แม้จะเป็นนักรบระดับสูงก็อาจหวั่นไหว สามารถเสริมความแข็งแกร่งในการป้องกัน ฝึกฝนจนถึงขั้นสูง จนกระทั่งทำให้พลังต่อสู้ทะลุทะลวง เขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่หวั่นไหว
ดังนั้น ผลประโยชน์ที่รับปากไว้ ยังไงก็ต้องให้ แต่ ข้าสามารถเขียนคัมภีร์เก้าจันทรากลับด้านได้…
…
หลังพลบค่ำ โต๊ะอาหารของบ้านสกุลสวี่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความชื่นมื่น อาสะใภ้คีบอาหารให้สวี่ซินเหนียนที คีบให้สวี่ชีอันทีด้วยความกระตือรือร้น
ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองต่างเป็นลูกชายแท้ๆ ของนาง
แม้ว่าท่าทีเช่นนี้จะไม่ยาวนาน หลังจากนี้หากถูกหลานชายทำให้โกรธจนต้องร่ำร้องออกมา อาสะใภ้ก็จะจดจำความแค้นแต่หนหลัง หลังจากนั้นความสัมพันธ์ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
แต่ ณ เวลานี้ ความซาบซึ้งใจของอาสะใภ้นั้นแท้จริงดุจทองคำบริสุทธิ์ 24K
สวี่หลิงเยวี่ยชอบบรรยากาศครอบครัวแบบนี้มาก และยิ่งเลื่อมใสพี่ใหญ่มากขึ้น แววตาฉลาดและสวยงามจ้องมองสวี่ชีอันไม่วางตา
“คือว่า ข้ามีเรื่องอยากจะบอก”
ลี่น่ากลืนอาหารลงคอ แล้วมองสวี่ชีอันและอารองสวี่ ด้วยท่าทางจริงจังที่ไม่ค่อยเคยเห็น
“มีอะไร” สวี่ชีอันถามไปด้วยกินข้าวไปด้วย
อารองสวี่กลับหยิบแก้วเหล้า ดื่มไปอึกหนึ่ง แล้วมองคนผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้ด้วยหางตา
ใบหน้าของลี่น่าดูจริงจัง มองสวี่หลิงอิน แล้วพูดว่า “ข้าอยากรับสวี่หลิงอินเป็นศิษย์”
“พรวด…” สวี่ชีอันพ่นข้าวออกมา
“พรวด…” อารองสวี่พ่นเหล้าออกมา
ทุกคนในครอบครัวไม่ทันป้องกันตัว
สวี่ซินเหนียนสะบัดเมล็ดข้าวออกจากร่างกายด้วยสีหน้ารังเกียจ ขยับออกห่างพี่ใหญ่แล้วมองไปทางลี่น่า “ลองบอกเหตุผลของเจ้ามา”
……………………………………………..