บทที่ 320 ทำตามคำมั่นสัญญา
“หลิงอินเป็นอัจฉริยะ อัจฉริยะที่หาพบได้ยาก ข้าไม่อยากสูญเสียหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนเช่นนี้ไป”
ดวงตาที่เหมือนซ่อนมหาสมุทรสีฟ้าไว้ของลี่น่าจ้องมองสวี่หลิงอินอย่างละเอียดถี่ถ้วนราวกับจ้องมองอัญมณี
‘อัจฉริยะหรือ’
สวี่ผิงจื้อกับหลานชายมองหน้ากัน เขาส่ายหน้า “บุตรสาวคนนี้ของข้าไม่มีพรสวรรค์ ร่างกายก็อ่อนแอ ทว่ามีพละกำลังมาก”
แต่เดิมสวี่ชีอันฝึกวรยุทธ์ สวี่ซินเหนียนเรียนหนังสือทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของสวี่ผิงจื้อ เพราะสวี่ซินเหนียนไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ ทว่าฉลาดปราดเปรื่องเหนือใคร แต่สวี่ชีอันนั้นตรงกันข้าม
หลังจากสวี่หลิงอินเกิด สวี่ผิงจื้อก็คลำหากระดูก บวกกับสังเกตมาหลายปี เขาจึงมั่นใจอย่างมากว่าบุตรสาวคนนี้ของตนไม่เพียงแค่โง่เขลาเท่านั้น แต่ร่างกายยังอ่อนแออีกด้วย
อย่างน้อยด่านระดับหลอมจิตนี้ นางก็รู้สึกเสียใจมาก
สวี่ชีอันก็ส่ายหน้าเช่นกัน สายตาของเขาในตอนนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าอารองสวี่ หากสวี่หลิงอินเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกวรยุทธ์ สวี่ชีอันคงเริ่มฝึกฝนดอกไม้ตูมของต้าฟ่งแล้ว
ส่วนเรื่องเรียนหนังสือ สวี่ซินเหนียนล้มเลิกไปตอนน้องสาวอายุสี่ขวบ การประเมินของเขาคือ แววตาเหม่อลอย ไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ อ่านหนังสืออย่างค้อน
สวี่หลิงอินไม่ได้ทำให้พี่รองผิดหวัง อาจารย์ที่เคยสอนนางทุกคนล้วนโกรธจนสงสัยกับชีวิต
หากจะให้พูดว่าเสี่ยวโต้วติงมีพรสวรรค์ด้านใด น่าจะเป็น…กินหรือ
ลี่น่าโต้กลับคำพูดของอารองสวี่ “แต่นางสามารถกินได้”
‘เจ้ากำลังล้อพวกเราเล่นหรือ…’ ทั้งครอบครัวเหล่ตามองสาวน้อยผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้
เมื่อเห็นสายตาแปลกๆ ของทุกคน ลี่น่าก็เอ่ยอย่างตกใจ “พวกเจ้าไม่เห็นว่านางเป็นอัจฉริยะหรือ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ซินเหนียนกับคนอื่นๆ ก็หันไปมองสวี่หลิงอินที่กำลังปอกเปลือกไข่ นางเคาะปลายไข่กับโต๊ะ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือเล็กๆ จับไข่ไว้และถูอย่างแรงบนโต๊ะ เปลือกไข่หลุดออกทันทีที่สัมผัส
ทั้งกระบวนการลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
ด้วยวัยของนางคงเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะจริงๆ…ทั้งครอบครัวอดปิดหน้าไม่ได้
สวี่ชีอันกระแอมทีหนึ่งและเตือนลี่น่าอย่างสุภาพว่าอย่าได้หยอกล้อพวกเขาเล่น “การกินอาจเป็นพรสวรรค์ แต่ก็ไม่ถึงกับน่าภาคภูมิใจจนต้องรับเป็นศิษย์ เจ้าจะสอนอะไรนางได้ ปอกเปลือกไข่ภายในสามอึดใจอย่างไร ทำให้ตัวเองกินข้าวได้เพิ่มขึ้นหนึ่งชามทุกวันอย่างไรเช่นนั้นหรือ”
ผิวสีข้าวสาลีสุขภาพดีของลี่น่าแดงขึ้นทันที นางโบกมือและอธิบายว่า “ข้าไม่ได้จะสอนให้นางกินข้าว ข้าจะสอนศิลปะกู่ให้นาง”
สีหน้าของสวี่ผิงจื้อเปลี่ยนไปและรอสวี่หลิงอินราวกับระฆังทองแดง “เจ้าเคยจับแมลงกินใช่หรือไม่”
สวี่หลิงอินเผยสีหน้าโหยหาออกมาและลองหยั่งเชิง “แมลงสามารถกินได้หรือ”
“กินไม่ได้ๆ” สวี่ซินเหนียนกับอารองสวี่โบกมืออย่างพร้อมเพรียง
เมื่อได้ยินว่าเจ้าจะสอนศิลปะกู่ให้นาง ปฏิกิริยาแรกของข้าคือ เสี่ยวโต้วติงกินแมลง?!
สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจและถามอย่างครุ่นคิด “ความหมายของเจ้าคือ นางเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกศิลปะกู่”
ลี่น่าพยักหน้าและพูดแก้ว่า “พูดให้ถูกคือ เป็นอัจฉริยะด้านการฝึกลี่กู่ กระดูกของหลิงอินแข็งแรงเต็มไปด้วยพลัง ลมเลือดก็ทรงพลัง นางเป็นอัจฉริยะที่ไม่ได้พบมาเป็นเวลาหลายสิบปีในเผ่าลี่กู่ของพวกเรา พวกเจ้าไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีความอยากอาหารมากเช่นนี้เชียว”
‘ไม่ใช่เพราะว่านางตะกละตะกลามหรือ…’ ทุกคนในบ้านสกุลสวี่คิดในใจ จากนั้นก็เข้าใจขึ้นเล็กน้อย จากวิธีการกินของสวี่หลิงอิน หากเป็นเด็กคนอื่น เขาคงตายไปนานแล้ว แต่นางกลับมีสุขภาพดีและกระฉับกระเฉง
ลี่น่าระงับความปรารถนาที่จะกินและเล่าออกมาตรงๆ “วิธีการฝึกของเผ่าลี่กู่ของพวกเราคือตอนยังเด็ก เลือกลี่กู่มาหนึ่งตัวและกลืนเข้าไป ปล่อยให้มันอาศัยอยู่ภายในร่างกาย สองสามปีแรก ลี่กู่จะดูดซับแก่นโลหิตกับพลังของเจ้าของร่าง หากร่างกายไม่แข็งแรงพอ เด็กจะอ่อนแอลง เพราะลี่กู่ใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าของร่าง มันไม่ได้สูบจนเจ้าของร่างแห้งเหี่ยว แต่จะอ่อนแอไปกับเขา ซึ่งจะทำให้พิการแต่กำเนิด”
ขณะที่พูด นางก็มองสวี่หลิงอินด้วยสายตาลุกวาว “แต่นางไม่ใช่ นางจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับลี่กู่ จึงควรวางรากฐานที่มั่นคงตอนยังเด็ก นอกจากนี้ กระดูกของหลิงอินก็แข็งแรงและเปี่ยมด้วยพลัง แม้ว่าจะไม่ได้ฝึกฝนจิตใจ แต่พลังก็มากกว่าคนในวัยเดียวกัน หากได้รับการฝึกอย่างดี นางจะพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า”
ทั้งครอบครัวมองหน้ากัน
อาสะใภ้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและลองหยั่งเชิง “เช่นนั้นนางจะกินได้เหมือนกับเจ้าหรือไม่”
ลี่น่าโบกมือ “ไม่ๆ”
อาสะใภ้เพิ่งโล่งอก นางก็ได้ยินสาวน้อยผิวคล้ำพูดอย่างถ่อมตัวว่า “นางจะกินได้มากกว่าข้า”
“…”
อาสะใภ้ไม่แม้แต่จะคิดและปฏิเสธ “ข้าไม่เห็นด้วย ท่านพี่ล่ะ”
สวี่ผิงจื้อมองไปทางลูกชายกับหลานชายและขอความเห็น “เจ้าสองคนคิดอย่างไร”
สวี่ชีอันประเมิน “อย่างไรเสียเรียนหนังสือไปก็ไร้อนาคต ฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์นั้น ลองดูเสียหน่อยจะดีกว่า”
อาสะใภ้ตบโต๊ะเสียงดัง ‘ปัง’ นางรู้สึกขุ่นเคืองและโกรธจนตัวสั่น “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร หลิงอินไม่ใช่น้องสาวของเจ้าหรือ”
ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องวันหน้า วันนี้ก็สามารถระลึกถึงความเกลียดชังเก่าๆ ได้ ความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างอาสะใภ้กับหลานชายสิ้นสุดลง
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่ ที่พี่ใหญ่พูดก็ไม่ผิด”
อาสะใภ้ที่โกรธจัดถูกลูกสาวแทงข้างหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
สวี่ซินเหนียนถามว่า “รับเป็นศิษย์ได้ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า การฝึกลี่กู่ เมื่อใดถึงจะฝึกสำเร็จหรือ”
ลี่น่าตอบโดยไม่ต้องคิด “ระยะสั้นก็ห้าปี ระยะยาวก็ยี่สิบปี ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของแต่ละคน”
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า เขามองหลิงอินและถามว่า “เช่นนั้นแม่นางลี่น่าสามารถอยู่ในเมืองหลวงนานห้าปีหรือยี่สิบปีได้หรือไม่”
ปากของลี่น่าขยับเร็วกว่าสมอง “ขอเพียงพวกเจ้าให้อาหารข้า ข้าก็สามารถอยู่ได้ตลอดไป”
“ไม่!”
ทุกคนในบ้านสกุลสวี่พูดเป็นเสียงเดียวกัน
“…” สาวน้อยผิวคล้ำมีใบหน้าเศร้าสร้อย ‘ข้าแค่กินข้าวที่บ้านของพวกเจ้าสองสามคำเอง ขี้เหนียว’
สุดท้าย สวี่ผิงจื้อที่เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ตัดสินใจและกล่าวว่า “รบกวนลี่น่าสอนลูกสาวของข้าแล้ว”
สวี่ซินเหนียนกับสวี่ชีอันมองอย่างสงสัย ‘ยังจะให้ลี่น่าอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงห้าปี ถึงขั้นยี่สิบปีอีกจริงๆ หรือ ค่าเล่าเรียนก็แพงเกินไปแล้ว’
จากนั้น สวี่ผิงจื้อก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลิงอินเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งและไม่ต่อสู้เพื่อเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า หากเรียนรู้ได้วันละเล็กน้อย ต่อให้ฝึกไม่สำเร็จก็ไม่สำคัญ พวกเจ้าสองคนทะเยอทะยานเกินไป ต้องต่อสู้เพื่ออยู่จุดสูงสุดในทุกๆ เรื่อง”
สวี่ซินเหนียนกับสวี่ชีอันไม่มีอะไรจะพูด พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่อารองและท่านพ่อพูดนั้นสมเหตุสมผล
ลี่น่าลูบหัวของสวี่หลิงอิน “หากเจ้ากลับไปที่ซินเจียงตอนใต้กับข้า พ่อของข้าต้องรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรงของเขาแน่นอน อย่างมากที่สุดสิบปี เจ้าจะเคลื่อนย้ายภูเขาได้”
ในหัวของสวี่ชีอันปรากฏภาพที่สอดคล้องกันขึ้น หลังจากนั้นสิบปี สวี่หลิงอินที่โตขึ้นแบกภูเขาลูกใหญ่มา ทุกย่างก้าวก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คล้ายกับแผ่นดินไหว นางพูดอย่างมีความสุข
‘พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว ข้าแบกภูเขามาให้เจ้า รับไปสิ!’
บ้านสกุลสวี่จะมีลูกสาวที่เพิ่งเติบโตผู้ทรงพลังยิ่ง…สวี่ชีอันตัวสั่นระริก
…
ช่วงก่อนรุ่งสาง ท้องฟ้าเป็นสีคราม
แมวสีส้มเยื้องย่างอย่างสง่างาม ผ่านถนนที่ว่างเปล่าและเงียบสงบจนมาถึงนอกประตูจวนซุน
มันกระโดดขึ้นไปบนหลังคาของบ้านที่หันหน้าไปทางถนนเบาๆ มองไปรอบๆ จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังคา พุ่งไปที่ประตูจวนซุนอย่างรวดเร็ว
จากนั้นลำคอของแมวสีส้มก็เกลือกกลิ้ง เผยให้เห็นเค้าโครงทรงกลมและขับออกจากลำคอช้าๆ
มันคือกระจกหยกบานเล็ก หลังจากที่ถูกสำรอกออกมา มันไม่ได้ตกลงพื้น แต่ลอยอยู่ในอากาศ ผิวกระจกส่องประกายแวววาวและสะบัดคุณชายที่ยังคงหมดสติออกมา
แมวสีส้มอ้าปากแล้วเก็บกระจกหยกบานเล็กกลับเข้าไปในท้อง มันยกหางขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปหนึ่งเค่อ คนเฝ้าประตูชราที่กำลังหาวเปิดประตู เมื่อเห็นคุณชายในอาภรณ์หรูหราที่นอนอยู่บนพื้น เขาก็ตกใจ หลังจากเห็นหน้าตาของคุณชายอย่างชัดเจน เขาก็วิ่งเข้าไปในจวนด้วยความตื่นเต้น
ครู่หนึ่ง คนรับใช้สองสามคนก็รีบมาและแบกคุณชายในอาภรณ์หรูหราเข้าไปในจวน
เมื่อซุนซ่างชูทราบข่าวก็รีบมา ครั้นเห็นลูกชายนอนไม่ได้สติอยู่บนตั่ง หัวใจก็พองขึ้นทันที
“นายท่าน คุณชายเพียงแค่หมดสติไปและไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส” แม่บ้านชราที่ยืนอยู่ข้างเตียงกล่าว
“หมายความว่าอย่างไร ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส” ซุนซ่างชูเลิกคิ้ว
“คุณชาย…ถูกเฆี่ยนตีหลายสิบครั้งจนเนื้อตัวแตกยับ โชคดีที่เป็นแผลตื้น หลังจากทายาแล้วก็ไม่มีปัญหาร้ายแรง” แม่บ้านชราก้มศีรษะลง
“ไอ้สารเลว! ผิดคำสัญญา!”
ซุนซ่างชูสีหน้าซีดเผือด เขาทั้งเสียใจทั้งโกรธ แต่แล้ว ราวกับเขานึกสิ่งใดขึ้นนมาได้ ความโกรธที่เดือดพล่านก็หายไปทันที
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ซุนซ่างชูก็ถอนหายใจ “กลับมาก็ดีแล้ว”
…
หอเฮ่าชี่ ห้องน้ำชา
“อวี้อ๋องไม่มีความคิดที่จะต่อสู้เพื่อชื่อเสียงนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบแทนบุญคุณข้าได้ หากเขายังเป็นอวี้อ๋องเมื่อตอนนั้น เกรงว่าเขาคงไม่รับปากข้าง่ายๆ ส่วนเฉากั๋วกง เขากับรองนายพลของอ๋องสยบแดนเหนือร่วมมือกันวางแผนชิงระดับเพชรไร้พ่ายของข้า ข้าจำได้ว่าเว่ยกงเคยบอกว่า การต่อสู้ในท้องพระโรงเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์และต้องเรียนรู้ที่จะประนีประนอม ดังนั้นข้าจึงยอมรับคำขอของเขา”
สวี่ชีอันถือถ้วยชา เขานั่งอยู่ในห้องน้ำชาที่มีแสงสว่างทะลุปรุโปร่งและหันศีรษะมองไปทางเว่ยเยวียนที่อาบแดดและทอดมองทิวทัศน์อยู่บนหอสังเกตการณ์
“ไม่เลว เจ้ามีสติปัญญา แต่น่าเสียดายที่บุคลิกเปลี่ยนได้ยากและไม่เหมาะกับท้องพระโรง” เว่ยเยวียนพยักหน้า
“หลักๆ เป็นเพราะเว่ยกงสอนดี” สวี่ชีอันกล่าวอย่างถ่อมตัว
เว่ยเยวียนยิ้ม มือทั้งสองข้างวางอยู่บนราวกั้น มองดูทิวทัศน์ที่มีแสงแดดจัดและอบอุ่น ผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็ถามว่า
“เจ้าวิ่งไปทั่วในคดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ แม้แต่ที่ทำการปกครองก็ไม่ได้อยู่หรือ คงลำบากแล้ว”
“แต่ก็ได้เรียนรู้มากมายเช่นกันขอรับ” สวี่ชีอันตอบและจิบน้ำชา
เว่ยเยวียนยิ้ม “เข้าใจประเด็นหลักของข้า”
คนไร้ประโยชน์สวี่ชะงักและมีลางสังหรณ์ไม่ดี “ลำบากหรือขอรับ”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า เขาไม่ได้หันกลับมาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้อยู่ที่ที่ทำการปกครองหรือ”
“…”
เว่ยเยวียนถือโอกาสเอ่ยว่า “ดังนั้น เงินเดือนของเดือนนี้ไม่มีแล้ว”
สายตาของสวี่ชีอันว่างเปล่า เขาเหม่อมองแผ่นหลังของเว่ยชิงอีและทำหน้าคร่ำครวญ “เว่ยกง เงินเดือนเดือนนี้ของข้าไม่มีนานแล้ว”
“จริงหรือ” เว่ยเยวียนตกตะลึงและพยักหน้าช้าๆ “เช่นนั้นของเดือนต่อไปก็ไม่มีแล้วเช่นกัน”
“???”
ข้าทำให้เขาไม่พอใจตรงไหนหรือ…คนไร้ประโยชน์สวี่ที่ชาญฉลาดไม่ได้เข้าไปพัวพันกับหัวข้อนี้ เขาไม่มีวันแข่งขันกับผู้นำเพียงเพื่อจะหาเรื่องให้ลำบากใจ
“เว่ยกง เหตุใดรองนายพลของอ๋องสยบแดนเหนือคนนั้นถึงกลับมาที่เมืองหลวงหรือขอรับ”
“สถานการณ์ทางเหนือตึงเครียดและขาดแคลนเสบียง เขาจึงกลับมาเพื่อขอเงิน” เว่ยเยวียนกล่าว
“อ๋องสยบแดนเหนือเป็นคนแบบไหนหรือขอรับ”
“คนเผด็จการ”
คนเผด็จการมักไร้เหตุผลและเพราะสถานะขององค์ชาย พวกเขาจึงเพิกเฉยกฎได้ในระดับหนึ่ง…สวี่ชีอันตัดสินในใจ
หลังจากกล่าวลาเว่ยเยวียน เขาก็ขึ้นขี่แม่ม้าน้อย มุ่งหน้าไปยังจวนของไหวอ๋องพร้อมกระสอบหนักบนอานม้าเป็นเวลานาน
ตอนนี้ เขาต้องทำตามสัญญาและไปหารองนายพลของอ๋องสยบแดนเหนือ
“แปลกมาก ฉู่เซียงหลงขอให้ข้าไปหาเขาที่จวนของอ๋องสยบแดนเหนือหลังจากเรื่องจบ นี่อธิบายได้ว่าเขากลับมาที่เมืองหลวงในช่วงเวลานี้ เขาไม่อยู่ที่บ้านของตัวเอง แต่กลับอยู่ที่จวนของอ๋องสยบแดนเหนือ อย่างน้อย เวลาส่วนใหญ่เขาก็อยู่ที่จวนของอ๋องสยบแดนเหนือ แต่อ๋องสยบแดนเหนืออยู่ที่ชายแดน และในจวนก็มีเพียงพระมเหสีผู้เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งเท่านั้น…”
จากมุมมองของอ๋องสยบแดนเหนือ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะให้น้องชายของตัวเองกับพระสนมที่อยู่อย่างคนเป็นม่ายอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ฉู่เซียงหลงกลับทำเช่นนี้และยังโจ่งแจ้งไม่ปิดบังอีก นี่หมายความว่า อ๋องสยบแดนเหนือแนะนำให้ฉู่เซียงหลงทำ เหตุใดอ๋องสยบแดนเหนือถึงต้องทำเช่นนี้ ความไว้วางใจที่เขามีต่อรองนายพลสูงกว่าพระมเหสี…
…
จวนไหวอ๋อง โถงด้านนอก
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าและชุดชาววังงดงามนั่งเล่นชุดน้ำชาอยู่ที่โต๊ะ
ภายในห้องโถง ฉู่เซียงหลงที่สวมเกราะทั้งตัวและแขวนดาบพกไว้ที่เอวยืนอย่างผึ่งผาย เขาจ้องมองพระมเหสีด้วยสายตาแหลมคมและเอ่ยเสียงขรึม
“ได้ยินทหารรักษาพระองค์ในจวนพูดว่า พระมเหสีหายตัวไปถึงสองครั้งโดยไม่มีสาเหตุหรือขอรับ”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและก้มศีรษะเล่นชุดน้ำชา นางเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา ท่าทางสง่างาม
“พระมเหสีซ่อนตัวจากทหารรักษาพระองค์ในวังได้อย่างไร ซ่อนตัวจากโหรของสำนักโหราจารย์ได้อย่างไร ช่วงนี้ท่านไปพบใครมาและเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“หนวกหู!”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากำลังสอบปากคำข้าหรือ”
“มิกล้าขอรับ!”
ฉู่เซียงหลงก้มศีรษะลงและเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าน้อยกลับมาที่เมืองหลวงครั้งนี้ นอกจากขอเสบียงจากฝ่าบาทแล้ว ก็มารับพระมเหสีไปทางเหนือเพื่อพบท่านอ๋อง ท่านควรเตรียมตัวให้พร้อม”
หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เขาก็เงยหน้าขึ้น จ้องมองดวงตาอันเฉลียวฉลาดและงดงามของหญิงสาวและเอ่ยเสียงขรึม “ในช่วงเวลานี้ ข้าจะพักอยู่ที่จวนท่านอ๋อง หากพระมเหสีจะออกไปข้างนอก ข้าน้อยจะติดตามไปด้วยตลอดทาง”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้านิ่งเงียบไม่พูดจา
เวลานี้เอง ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งก็เข้ามาในห้องโถงและโค้งคำนับ “แม่ทัพฉู่ ฆ้องเงินสวี่ชีอันมาขอเข้าพบขอรับ”
ฉู่เซียงหลงพยักหน้า เขามองพระมเหสี ประสานมือโค้งคำนับและออกจากห้องโถงไป
‘สวี่ชีอัน เขามาทำอะไรที่จวนท่านอ๋อง…’ หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าก้มศีรษะลงและกลอกตา นางฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
……………………………………………………