DC บทที่ 289: ตระกูลซุนต้องมิยอมแน่

 

“อาาาา”

 

“อาาาาาาา”

 

ยังไม่ถึงห้านาทีนับตั้งแต่ซูหยางเริ่มใช้ลิ้นกับน้องสาวของเธอ ซุนจิงจิงก็หายใจไม่ออกเสียแล้วจากทั้งการร่ำร้องและครวญคราง

 

“เจ้าต้องการพักหรือไม่”

 

ซูหยางถามเธอหลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที

 

ซุนจิงจิงปาดน้ำตาแห่งความสุขสมออกจากหางตาและส่ายหน้า

 

“ได้โปรด… ทำต่อ…”

 

ซูหยางพยักหน้าและยืนขึ้น

 

จากนั้นเขาก็กดส่วนปลายของแท่งแกร่งเข้าไปในร่องหลืบที่คับแน่นของซุนจิงจิง ก่อนจะฉีกผนึกที่รักษาความบริสุทธิ์ของเธอไว้ออกด้วยการดันอย่างแรงหนึ่งครั้ง

 

“อาาาาาาาาาา”

 

รู้สึกถึงซอกหลืบของเธอถูกแยกออกโดยสัตว์ร้ายของซูหยาง ซุนจิงจิงก็ร่ำร้องด้วยเสียงอันดัง

 

“นี่คือการฝึกวิชาคู่งั้นรึ”

 

ซุนจิงจิงหลับตาลงเพื่อรับรู้ถึงความรู้สึกอันลึกล้ำที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายเธอ

 

“อืม…”

 

“อาาา…”

 

“อาาาาา…”

 

ซูหยางทิ่มแทงร่องหลืบของซุนจิงจิงอย่างต่อเนื่องไปอีกครึ่งชั่วโมง และก็เหมือนกับว่าเขากำลังขุดบ่อน้ำเมื่อมีน้ำไหลและพุ่งออกมาจากช่องหลุมอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากนั้นอีกหลายนาทีของการฝึกวิชาคู่ เมื่อซุนจิงจิงดูเหมือนจะถึงขีดจำกัด ซูหยางก็ปลดปล่อยปราณหยางเข้าไปในตัวเธอ

 

ซุนจิงจิงร่างสั่นสะท้านทั้งยังปลดปล่อยปราณหยินหยาดสุดท้ายในตัวเธอออกมาด้วย

 

สองสามนาทีหลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ถามเขาว่า “ข้ามาอีกได้ไหม…”

 

“ทุกเวลาที่เจ้าต้องการ” คือคำตอบจากซูหยางพร้อมกับรอยยิ้ม

 

 

 

 

ต่อจากนั้นหลังจากที่ซุนจิงจิงออกไปจากที่พักของซูหยาง เธอก็เข้าไปพบกับผู้อาวุโสซุน

 

“เจ้า…. เจ้าทำมันจริงๆ เฮ้อ…”

 

ผู้อาวุโสซุนพลันรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายของเธอได้ทันทีและถอนหายใจลึก

 

“ใช่แล้ว ข้าฝึกวิชาคู่ร่วมกับเขา”

 

ซุนจิงจิงพยักหน้า ทั้งเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ

 

“เจ้าเสียใจบ้างไหม” ผู้อาวุโสซุนถาม

 

“…”

 

หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเสียใจ…. ที่ไม่ไปพบเขาในช่วงเวลาก่อนหน้านี้…”

 

ผู้อาวุโสซุนดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

 

“ปู่ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว”

 

ซุนจิงจิงพลันกล่าวขึ้น

 

“เอ๋ เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ” ผู้อาวุโสซุนถาม

 

“ข้าต้องการที่จะเชื่อมประสานสายเลือดของเรากับเขา ข้าต้องการตั้งท้องลูกของเขา”

 

“อะไรกัน นี่ช่างกระทันหันเกินไป” ผู้อาวุโสซุนพลันลุกยืนขึ้นจากที่นั่งและอุทานเสียงดังลั่น

 

“ฝึกวิชาร่วมกับเขาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตั้งท้องลูกของเขาด้วยนี่ เจ้ามิได้คิดบ้างรึว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ข้า-ตระกูลซุนต้องมิยอมแน่ อีกทั้งเจ้าก็ยังเด็กเกินไป”

 

ผู้อาวุโสซุนปฏิเสธความคิดของซุนจิงจิงเสียงแข็ง

 

อย่างไรก็ตามซุนจิงจิงยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “ข้ามิได้กล่าวว่านั่นจักเป็นเวลาในเร็ววันนี้ ในเวลาที่ข้าต้องการตั้งท้องลูกของเขา ตระกูลซุนต้องสนับสนุนแน่นอน”

 

“อะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจปานนี้ว่าตระกูลจักยอมรับ” ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้ว

 

“ในยุทธภพ พลังอำนาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กระทั่งสำคัญยิ่งกว่าชื่อเสียงหรือตำแหน่งฐานะ และเมื่อรู้ว่าตระกูลซุนมักจะไล่ตามชื่อเสียงหรือพลังอำนาจอยู่เสมอมา หากเมื่อพวกเขาได้รู้ตัวตนของซูหยางนั่นเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับพวกเขาที่จะติดตามเขา”

 

“เจ้าเด็กนั่นทรงพลังมากรึ แม้ว่าข้าจะยอมรับว่าเขาเป็นคนที่มีความพิเศษเฉพาะ นั่นมิได้หมายความว่าต้องเกี่ยวพันกับการมีพลังอำนาจ”

 

ซุนจิงจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ปูมิได้เห็นวิธีที่เขาจัดการกับโจรพวกนั้น… ความจริงแล้ว ข้าได้ตัดตอนรายละเอียดบางอย่างในวันนั้นโดยเจตนา…”

 

คิ้วที่ขมวดของผู้อาวุโสซุนยิ่งเป็นรอยลึกขึ้น

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ”

 

ผู้อาวุโสซุนนึกถึงคำอธิบายของซุนจิงจิงในวันที่มีปฏิบัติการช่วยเหลือ แต่เขาไม่อาจแยกแยะออกมาได้ว่าเธอเจตนาซ่อนอะไรไว้

 

“ระหว่างการอธิบายของข้า ข้าเพียงกล่าวถึงว่านั่นมีโจรเพียงสองสามคน… อย่างไรก็ตามถ้านั่นเป็นเพียงโจรสองสามคน ทำไมผู้อาวุโสนิกายสี่คนจึงมิสามารถที่จะจัดการพวกนั้นได้ นั่นง่ายดายยิ่งก็เพราะว่าพวกเหล่านั้นทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณและคัมภีร์วิญญาณ”

 

“เจ้าพูดว่ากระไรนะ”

 

ผู้อาวุโสซุนไม่อยากเชื่อว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งผู้นำนิกายและผู้อาวุโสอื่นๆก็พลาดเรื่องนี้ไปเช่นกัน

 

“ซูหยางเพียงแค่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ สามารถฆ่าโจรทั้งสิบคนด้วยตนเองอย่างง่ายดาย และครึ่งหนึ่งของพวกนั้นอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ มีพลังการฝึกปรือเหนือกว่าเขาถึงหนึ่งขอบเขต… นี่เป็นสิ่งที่กระทั่งปู่ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก็ยังมิสามารถทำแบบนั้นได้โดยง่าย…”

 

“ส่วนสำหรับซ่องโจรนั้น… ข้าก็ิมิอาจคาดคิดได้ว่าเขาช่วยเหลือคนพวกนั้นออกมาจากสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร…”

 

“…”

 

ผู้อาวุโสซุนพลันเงียบไป แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาตื่นตระหนก กลับกัน เขากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ซุนจิงจิงได้กล่าวไว้ก่อนหน้านั้น

 

“ถ้าข้าจำได้มิผิด เจ้ากล่าวว่าพวกโจรมีชื่อว่า โจรภูผาแดง ใช่ไหม แม้ว่าข้าเพียงได้ยินชื่อพวกนั้นเพียงครั้งเดียวเพราะว่าการปฏิบัติการของพวกนั้นส่วนใหญ่แล้วอยู่ในภาคใต้ มันเป็นเรื่องราวที่พวกโจรเหล่านี้นับพันได้บุกโจมตีเมืองทั้งเมือง เก็บกวาดทุกสิ่งก่อนที่จะเผาเมืองจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”

 

“พ…พันคน… ปู่มั่นใจในเรื่องตัวเลขหรือเปล่า ปู่” ซุนจิงจิงมีท่าทางสงสัย กระทั่งเธอเองก็ยังไม่เชื่อว่าซูหยางสามารถต่อกรกับโจรนับพันได้ในครั้งเดียว

 

ผู้อาวุโสซุนพยักหน้า “ข้าสามารถทำค้นคว้าเรื่องพวกนั้นได้ แต่ข้าก็ยังมั่นใจว่าพวกนั้นเป็นโจรกลุ่มใหญ่ ถึงแม้จะมิใช่หนึ่งในกลุ่มโจรที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ก็ตาม”

 

“แต่ถึงแม้ว่าจะมิสนใจกับจำนวนของพวกโจร แค่ความสำเร็จของเขาในการปราบโจรสิบคนนั้นเพียงลำพังก็นับว่ามีค่าควรชื่นชมแล้ว… ต่อให้เขามิได้อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณก็ตาม”

 

“เอ๋ ปู่หมายความว่าซูหยางอาจจะก้าวข้ามเขตคัมภีร์วิญญาณเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณแล้วอย่างนั้นรึ” ซุนจิงจิงตั้งคำถาม

 

“ข้ามิอาจมั่นใจเพราะว่าเขามักจะซ่อนพลังปราณไร้ลักษณ์ของเขา แต่กลิ่นอายของเขามิใช่สิ่งที่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณควรจะมี ข้าจักมิแปลกใจเลยแม้แต่น้อยถ้าเขาได้ก้าวไปถึงเขตสัมมาวิญญาณแล้ว”

 

อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสซุนไม่รู้ว่า ซูหยางไม่ได้ปิดบังปราณไร้ลักษณ์ของเขาแม้แต่น้อย เหตุผลที่ผู้อาวุโสซุนไม่อาจมองเห็นปราณไร้ลักษณ์ของเขาจนคาดเดาว่าซูหยางได้ซ่อนปราณไร้ลักษณ์ของเขานั้น เป็นเพียงเพราะว่าความต่างระหว่างพลังการฝึกปรือของพวกเขานั้นมากเกินไป

 

“เดี๋ยวก่อน… เจ้าฝึกวิชาร่วมกับเขา มิใช่รึ เจ้ามิสามารถบอกถึงพลังการฝึกปรือของเขาได้รึจากปราณหยางของเขา” ผู้อาวุโสซุนถาม

 

ซุนจิงจิงยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสกับปราณหยาง และปู่คาดจะให้ข้ารู้ถึงวิชาแบบนั้นงั้นรึ”

 

“อย่างไรก็ตามนั่นมิสำคัญว่าเขาจะอยู่เขตคัมภีร์วิญญาณหรือสัมมาวิญญาณ ข้าได้ตัดสินใจแล้วที่จะทุ่มเทชีวิตไว้กับเขา และมิว่าปู่หรือตระกูลซุนก็เปลี่ยนแปลงมันมิได้”

 

“ฮาาาา… ดูเหมือนว่าข้าจักต้องกลับไปเยี่ยมตระกูลซุนหลังจากนี้…” ผู้อาวุโสซุนคิดในใจขณะที่แอบถอนใจ