ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 30 เขาฟื้นแล้ว! (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

“อะไรนะ? แม่ทัพชีถูกคนในลัทธิธิดาเทพสังหารงั้นหรือ!?” เซิ่งฉินอ้าปากค้าง ทั้งตกใจทั้งโกรธแค้น แทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง!

เซี่ยงหลีพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ยามนี้ทั้งสามแคว้นถูกลากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ลึกซึ้ง เกรงว่าหลินเทียนเจิ้งเองก็อาจถูกสังหารระหว่างเดินทาง…”

สีหน้าเซิ่งฉินพลันแปรเปลี่ยน เขาคัดค้านทันที “ไม่มีทาง แม้ใต้เท้าหลินจะเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน แต่ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอที่ใครจะทำอะไรได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นมีหลินฮูหยินอยู่ นางเคยเป็นหัวหน้าสำนักจันทร์เสี้ยว…”

เซี่ยงหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “พวกเขาสองสามีภรรยาต่างมีความสามารถก็จริง แต่ท่านอย่าลืม พวกเขามีเด็กอยู่ด้วย หากอีกฝ่ายวางแผนมานาน จะจับเด็กสามขวบคนหนึ่ง ย่อมมีวิธีมากมายนับไม่ถ้วน”

หวั่นซินขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเรา ไม่มีหลักฐาน”

เซิ่งฉินหน้าซีด ยังคงกล่าวเสียงแข็ง “เมื่อคืนเซิ่งจินได้เร่งเดินทางไปยังแคว้นเปี้ยนแล้ว ถึงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริง เขาก็ต้องช่วยใต้เท้าหลินกลับมาได้อย่างปลอดภัยแน่นอน!”

เซี่ยงหลีมองหน้าเขาเล็กน้อย “ดูเหมือนเจ้าจะไม่เชื่อว่าเจียงหยวนสามารถรักษาฮ่องเต้แคว้นเฉิงได้”

เซิ่งฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “…เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท สมควรเตรียมการให้พร้อมมากที่สุด ถ้าเกิด…หมอเทวดาเจียงไม่สามารถกลับมาได้ อย่างน้อยมีใต้เท้าหลินอยู่ก็ยังมีความหวัง…”

“ถ้าหากหลินเทียนเจิ้งก็กลับมาไม่ได้เล่า?” เซี่ยงหลีถามอย่างขบขัน

“…” เซิ่งฉินถมึงตาจ้องหน้าเขา พูดอะไรไม่ออก

เดิมทีพวกเขาสองคนเพียงพูดโดยไม่มีเจตนา แต่ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับตกตะลึง หากหลินเทียนเจิ้งกับเจียงหยวนล้วนไม่อาจกลับมา แม้ตงฟางเจ๋อจะมีเทวดาคอยช่วยให้อดทนไปได้อีกสิบวันครึ่งเดือนก็ยากจะหนีพ้นความตาย!

ซูหลีครุ่นคิดมาโดยตลอด ในระยะเวลาสั้นๆ สามารถใช้เหตุการณ์พายุหิมะถล่มก่อเหตุจลาจล ควบคุมเมืองหลิงโจว เมืองจิ้นหยาง และแคว้นหวั่นได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งเมืองเหลียวเฉิงก็ยังถูกควบคุมได้ จะต้องวางแผนมานานแล้วอย่างแน่นอน ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้กันแน่? ถึงขั้นตั้งตัวเป็นศัตรูกับสามแคว้นใหญ่อย่างเปิดเผย คนผู้นั้นมีจุดประสงค์ใดกันแน่?

หากเมืองหลิงโจว เมืองจิ้นหยาง และแคว้นหวั่นผนึกกำลังกันก็อาจจะไม่ธรรมดา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจต้านทานกองทัพของสามแคว้นใหญ่ได้ คนผู้นี้มีเบี้ยใดอยู่ในมือกันแน่ ถึงได้ไม่เกรงกลัวอะไรเลยเช่นนี้?

คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองของนางไม่หยุด เหมือนปมเชือกอันยุ่งเหยิงที่ยากจะแก้ไข และบทสนทนาของเซี่ยงหลีกับเซิ่งฉิน ก็เปรียบเสมือนท่อนไม้ที่ทุบลงมากลางหัว ทำให้นางมองเห็นเค้าโครงรางๆ ของเรื่องราวทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในม่านหมอกแห่งปริศนา

ซูหลีลุกพรวด สาวเท้าเดินไปยังด้านหน้าม่านสีทองที่ปิดสนิท นางจ้องมองเงาร่างเลือนรางที่อยู่ข้างใน สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันหลังกลับมาขานเรียกเสียงขรึม “ฉินเหิง!”

ฉินเหิงจ้องมองแผ่นหลังของนางอย่างไม่ละสายตา ครั้นได้ยินเสียงเรียก ก็คล้ายตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขารีบก้าวเข้ามารับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”

ซูหลีกล่าวเสียงขรึม “ข้าจำได้ว่าเฉินเหมินมีฐานประจำการอยู่ที่เมืองชวีโจว เจ้าพาคนกลุ่มหนึ่งไปอารักขาเจียงหยวนกลับมา จากเมืองชวีโจวมาจนถึงที่นี่ จะต้องพาเขากลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้!”

ฉินเหิงเงยหน้าด้วยความตกตะลึง เห็นเพียงสีหน้านางเคร่งขรึม สายตาที่จ้องตรงมา คล้ายมองเห็นทุกอย่างอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาหลุบตาโดยสัญชาตญาณ ประสานมือแล้วรับคำอย่างนอบน้อม “กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” ไม่นาน เขาก็จากไป

ซูหลีมองดูเงาร่างที่จากไป รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก นางครุ่นคิด แล้วหันไปบอกเซี่ยงหลีว่า “เจ้าเองก็พากำลังคนกลุ่มหนึ่งไปหาเจียงหยวนอย่างลับๆ ด้วย ก่อนฟ้ามืด ข้าจะต้องได้พบเขา!”

เซี่ยงหลีจ้องตานาง แววคมปลาบสะท้อนในดวงตาดอกท้อ “ยามนี้แม้กระทั่งฉินเหิง ฝ่าบาทก็ไม่ไว้พระทัยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซูหลีส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่เชื่อใจฉินเหิง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของเขา ข้าไม่อาจฝากความหวังไว้กับคนคนเดียว”

สายตาของเซี่ยงหลีอ่อนลงหลายส่วน เขาหันไปมองม่านสีทองที่ถูกปลดลง ก้มหน้าถอนหายใจเล็กน้อย แล้วหมุนกายจากไป

ซูหลีหันไปสั่งเซิ่งฉิน ให้เขาจัดกำลังคนกลุ่มหนึ่งรักษาความปลอดภัยตำหนักตงหวาอย่างเข้มงวด ห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้ มิเช่นนั้นมีโทษประหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น

เซิ่งฉินสงสัย แต่กลับไม่กล้าถามมาก ทำได้เพียงทำตามคำสั่ง

สุดท้ายนางก็หันไปกำชับหวั่นซิน “หวั่นซิน ไปตรวจสอบอาหารและของใช้ของฮ่องเต้แคว้นเฉิงในช่วงนี้อย่างละเอียด ห้ามปล่อยให้เล็ดลอดสายตาไปแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ…ห้องเครื่องของตำหนักซีหวา หากพบอะไร ให้รีบมารายงานทันที!” สามปีมานี้ ตงฟางเจ๋อขับพิษตามกำหนดในแต่ละเดือนเสมอ ไม่เคยผิดไปจากนั้น เหตุใดกินข้าวกับนางเพียงเดือนเดียว ก็เกิดปัญหาได้เล่า?

หวั่นซินสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ รีบรับคำแล้วจากไปทันที

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเห็นนางสั่งการอย่างละเอียดรัดกุมถึงเพียงนี้ ลึกๆ ในใจกระจ่างแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน นางกล่าวด้วยความลังเล “เจ้าสงสัยว่าใครทำร้ายฮ่องเต้แคว้นเฉิง?”

ซูหลีส่ายหน้า นางยังคงสับสนกับเรื่องนี้ “ข้าเองก็ไม่อาจมั่นใจได้…เพียงแต่รู้สึกว่า อาการพิษเย็นกำเริบของเขามีเงื่อนงำ ช่วงเวลาก็ประจวบเหมาะจนเกินไป เกิดเหตุจลาจลที่ชายแดนตอนนี้พอดี หลินเทียนเจิ้งก็ไม่อยู่ในวังอีก”

ยามนี้เอง เฟิงซุ่นเข้ามารายงาน เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลิงโจวสร้างความแตกตื่นในราชสำนัก เหล่าขุนนางไม่ยอมแยกย้าย ขอร้องฮ่องเต้หญิงให้ยกเลิกคำสั่งงดออกว่าราชการ เพื่อหารือร่วมกัน

ไม่ใช่เรื่องแปลก เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นที่ด่านชายแดน ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด หากยังคงงดออกว่าราชการก็ยากจะให้เหล่าขุนนางทำตามคำสั่ง แต่ในเมื่อซูหลีสงสัยว่ามีศัตรูแฝงตัวอยู่ข้างกายนางแล้ว นางจะวางใจจากไปในเวลานี้ได้เช่นไร?

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงอะไรอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลิงโจวไม่ใช่แค่เรื่องในแคว้นเราแล้ว เกรงว่าจะหาทางแก้ไขได้ยาก มิสู้รอให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงฟื้นขึ้นมาค่อยหารือกันจะดีกว่า ข้าจะไปที่ท้องพระโรง เพื่อปลอบขวัญเหล่าขุนนางก่อน เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่อย่างวางใจ รอหมอเทวดาเจียงกลับมา ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะต้องปลอดภัยแน่ เจ้าเองก็อย่ากังวลมากไปนักเลย”

สายตาอ่อนโยนของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย นางมักคอยเป็นกำลังใจอันอบอุ่นให้ซูหลีในเวลาที่ต้องการที่สุดเสมอ

ซูหลีซาบซึ้งที่สุด สามปีมานี้ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่นสร้างความดีความชอบในราชสำนักไม่น้อย นางออกสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรในนามของตัวแทนพระองค์ บรรเทาสาธารณภัยและปลอบขวัญชาวบ้าน มีชื่อเสียงอันดีงามในหมู่ขุนนางในราชสำนักและชาวบ้าน หากนางออกหน้าปลอบขวัญ ซูหลีย่อมหายห่วง

ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “กู้เซี่ยงเทียนมีลูกน้องที่เก่งกาจอยู่หลายคน ให้เขาส่งคนไปตรวจสอบเบื้องหลังการก่อเหตุจลาจลในเมืองหลิงโจวอย่างลับๆ และสืบข่าวสถานการณ์ฝั่งเมืองเหลียวเฉิงมาด้วย ส่วนเรื่องการบรรเทาสาธารณภัย สั่งให้ฝ่ายกรมคลังหลวงเตรียมข้าวของเงินทอง และให้เสิ่นเจี้ยนอันนำกลุ่มไปเถิด ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ผู้ที่เป็นตัวการก่อเหตุให้จับมาดำเนินการตามกฎ จำต้องสอบสวนอย่างละเอียด ชาวบ้านที่เหลือให้ทางการปลอบขวัญอย่างสุดกำลัง หลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้บริสุทธิ์”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพยักหน้ารับคำ ก่อนจากไปนางเรียกโม่เซียงมา ให้ส่งมื้อเช้าไปยังตำหนักตงหวา หลังจากล้างหน้าบ้วนปาก ซูหลีบังคับตนเองให้ฝืนกินข้าวเล็กน้อย ขณะกำลังกินข้าว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างนอก

ไม่นาน โจวหลี่ก็เข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่นเล็กน้อย “ทูลฮ่องเต้แคว้นติ้ง ใต้เท้าทั้งหลายมาขอเข้าเฝ้าด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจิ้นหยางและแคว้นหวั่น ยามนี้พวกเขาอยู่นอกตำหนักตงหวาแล้ว บ่าวไร้กำลังขัดขวางแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…”

ตั้งแต่เห็นฎีกาเร่งด่วนจากเมืองจิ้นหยาง ซูหลีก็รู้แล้วว่าเหล่าขุนนางแคว้นเฉิงไม่มีทางยอมแยกย้ายไปง่ายๆ แน่ แต่ก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าพวกเขาจะบุกมาที่ตำหนักตงหวาเลย นางถามอย่างสงสัยทันที “มีผู้ใดบ้าง?”

โจวหลี่รีบตอบ “ท่านสวินหยางโหว ท่านแม่ทัพหยวน ท่านอัครเสนาบดีซู และท่านเสนาบดีซู…ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกท่าน ล้วนมากันหมดพ่ะย่ะค่ะ!”

แม้แต่พี่ใหญ่ก็มาด้วยหรือ? ก็จริง ตงฟางเจ๋องดออกว่าราชการโดยอ้างว่าป่วย ไม่พบหน้าเหล่าขุนนางมาหลายวัน ยามนี้เกิดเหตุเร่งด่วนที่ด่านชายแดน ตามหลักแล้ว ถึงแม้จะเลยเวลาออกว่าราชการช่วงเช้าไปแล้ว ก็ควรเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันเพื่อหารือทันที ไม่มีเหตุผลให้งดออกว่าราชการและปฏิเสธการขอเข้าเฝ้าของเหล่าขุนนาง

ซูหลีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “เจ้าไปถ่ายทอดคำสั่ง บอกว่าเมืองหลิงโจวก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกัน ฮ่องเต้แคว้นเฉิงกับข้ากำลังหารือกันเรื่องนี้อยู่ ให้พวกเขากลับไปรอฟังคำสั่ง”

โจวหลี่รับคำสั่งแล้วออกไป ซูหลีค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่าง แหวกม่านออกเล็กน้อย ผ่านช่องแคบๆ นั้น นางมองเห็นอย่างชัดเจน ด้านหน้าประตูตำหนักสีแดง สวินหยางโหวเหลียงสือชูสวมชุดเครื่องแบบของโหวขั้นหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด บารมีน่าเกรงขาม เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนยืนอยู่ข้างหลังเขา นอกจากซูเซียงหรู ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายืนเคียงไหล่เขาอีก

………………………