ลานกว้างขวางกั้นกลาง ดวงตาคู่นั้นของเขาจับจ้องไปที่ประตูตำหนักบรรทม ราวกับด้านในมีความลับที่ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ซ่อนอยู่ และกำลังรอให้เขามาเปิดโปงมัน หยวนเซี่ยงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา แผ่นหลังเหยียดตรง คิ้วเข้มขมวดแน่น ใบหน้าอันสุขุมสะท้อนแววตาดุดันของนักรบ เขาจ้องตรงมายังหน้าต่างบานที่ซูหลียืนอยู่ คล้ายมองเห็นทุกสิ่งด้านหลังผ้าม่านได้อย่างชัดเจน
ซูหลีขมวดคิ้ว ชั่วขณะหนึ่งนางคิดว่าข่าวการหมดสติของตงฟางเจ๋ออาจแพร่งพรายออกไปแต่แรกแล้วก็เป็นได้ แต่ดูจากสีหน้าของซูเซียงหรูและซูฉุนแล้ว กลับไม่เห็นถึงความผิดปกติใด ขณะครุ่นคิด โจวหลี่เดินผ่านลานกว้างไปจนถึงประตูตำหนัก และถ่ายทอดคำสั่ง เหล่าขุนนางได้ยินต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
เหลียงสือชูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ในเมื่อเมืองหลิงโจวก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นกัน เหตุใดฝ่าบาทกับฮ่องเต้แคว้นติ้งจึงไม่เรียกขุนนางจากทั้งสองแคว้นมาหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์รับมือร่วมกันเล่า?”
ขุนนางบางส่วนที่เดิมทีตั้งใจจะกลับตามรับสั่ง กลับชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงตวาดถามของเหลียงสือชู
โจวหลี่ก้มหน้า ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่งเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของพระองค์เอง บ่าวมีหน้าที่แค่นำรับสั่งมาถ่ายทอด ใต้เท้าทุกท่านรีบกลับไปเถิด หากฝ่าบาทไม่พอพระทัยขึ้นมา…บ่าวเกรงว่าจะรับผิดชอบไม่ไหว”
“โจวกงกง! เจ้าแน่ใจหรือ ว่านี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทเรา มิใช่รับสั่งของฮ่องเต้แคว้นติ้ง?!” เหลียงสือชูตวาดเสียงเกรี้ยว พร้อมตวัดสายตาดุดันบีบคั้นผู้คนมาที่โจวหลี่
เขาพูดแทงใจดำในประโยคเดียว แม้แต่โจวหลี่ที่เคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วนก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ แต่กลับฝืนยิ้ม แล้วกล่าวว่า “…ท่านสวินหยางโหวกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
เหลียงสือชูกระชากคอเสื้อเขา สีหน้าโกรธเกรี้ยว “เจ้าเป็นคนสนิทของเหลียงไทเฮาที่จากไปแล้ว ไทเฮาและฝ่าบาทล้วนมีบุญคุณต่อเจ้า หากเจ้าไม่ภักดี ช่วยเหลือคนนอกยึดครองบ้านเกิดเมืองนอน รู้หรือไม่ว่าจะมีจุดจบเช่นไร?”
โจวหลี่หน้าซีดเผือด คำว่ายึดครองบ้านเกิดเมืองนอน ทำเอาทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ต่างก็เริ่มตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
สายตาของซูหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังม่านหน้าต่างพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ได้ยินเพียงซูฉุนกล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านสวินหยางโหวหมายความว่าเช่นไร? ที่กล่าวว่ายึดครองบ้านเมือง ท่านหมายถึงผู้ใด?”
เหลียงสือชูแค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่สนใจเขา เพียงหันมาเค้นถามโจวหลี่ต่อ “ได้ยินว่าสองวันนี้ หมอหลวงทุกคนในสำนักหมอหลวงถูกเรียกตัวมาที่ตำหนักตงหวา เกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทใช่หรือไม่?”
เขาบีบคั้นอย่างไม่ลดละ แต่ละประโยคล้วนแทงใจดำ กดดันจนโจวหลี่เหงื่อไหลอาบหน้าผาก ใกล้รับมือไม่ไหว
ยามนี้เอง เซิ่งฉินเดินกุมกระบี่มาหยุดยืนอยู่หน้าบันได แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “ท่านสวินหยางโหวกังวลเกินไปแล้ว ฝ่าบาทประชวรเป็นไข้หวัดธรรมดา พักไม่กี่วันก็หาย”
“เช่นนั้นหรือ?” เหลียงสือชูปล่อยโจวหลี่ แล้วตวัดสายตาบีบคั้นมาที่เซิ่งฉินแทน “ไข้หวัดทั่วไป ถึงขั้นต้องงดออกว่าราชการหลายวัน แม้กระทั่งเกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่เมืองจิ้นหยางกับแคว้นหวั่น ก็ยังไม่เรียกเหล่าขุนนางมาหารือเช่นนั้นหรือ?! ข้ายังได้ยินมาว่าเซิ่งเซียวนำกำลังทหารไปเฝ้าสำนักหมอหลวงด้วยตนเอง ไม่อนุญาตให้หมอหลวงมีปฏิสัมพันธ์กับคนนอกอีกด้วย? พวกเจ้าคิดจะปิดบังอะไรกันแน่?”
นึกไม่ถึงว่าเขาจะสืบสาวไปถึงสำนักหมอหลวงเร็วขนาดนี้ ผู้ใดเป็นคนปล่อยข่าวกันแน่?
เซิ่งฉินอดสงสัยไม่ได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด เขาตอบคำถามเหลียงสือชูไม่ได้ เหลียงสือชูกวาดมองทหารอารักขานอกตำหนักตงหวา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกว่า “เจ้าเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัยมากที่สุด ฝ่าบาทสั่งให้เจ้าดูแลหน่วยองครักษ์ ก็เพื่อปกป้องความปลอดภัยของพระองค์ ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าช่วยเหลือคนนอกทำร้ายพระองค์เช่นนี้!”
เซิ่งฉินกล่าวด้วยความโกรธกรุ่น “ข้าน้อยกับเซิ่งจิน และเซิ่งเซียวติดตามรับใช้ฝ่าบาทมานานหลายปี ต่างก็ร่วมสาบานว่าชีวิตนี้จะภักดีต่อฝ่าบาทผู้เดียว จะให้ขึ้นภูเขาดาบลุยทะเลไฟก็ล้วนเต็มใจ มีหรือจะคิดทำร้ายฝ่าบาท?!”
เหลียงสือชูเห็นสายตาเขาแน่วแน่ไม่วอกแวก เอ่ยวาจาหนักแน่น คล้ายมีอารมณ์ขุ่นเคืองที่ไม่อาจปกปิด ไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ ความเคลือบแคลงจึงจางลงหลายส่วน แต่กลับยังคงกล่าวอย่างไม่ยอมลดละเช่นเดิม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้าเข้าไปดูสักหน่อย ขอเพียงยืนยันได้ว่าฝ่าบาทยังทรงปลอดภัยดี ข้าจะยอมฟังรับสั่งของฝ่าบาทแต่โดยดี”
เขากลับเป็นห่วงฝ่าบาทอย่างแท้จริง เซิ่งฉินเบือนหน้าเล็กน้อย หันไปมองหน้าต่างที่ผ้าม่านแหวกออกเป็นช่องเล็กๆ อย่างลำบากใจ
ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจอย่างอับจนหนทางของซูหลีดังมาจากด้านหลังหน้าต่าง “ดูท่าวันนี้สวินหยางโหวต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นเฉิงให้ได้กระมัง?”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ครั้นเห็นว่าในที่สุดนางก็เอ่ยปาก สายตาของเหลียงสือชูคมปลาบดุจดาบน้ำแข็ง และเหยียดแผ่นหลังตรงโดยสัญชาตญาณ
ซูหลีก้าวออกมาอย่างแช่มช้า นางหยุดยืนหน้าประตูสีแดงด้วยฝีเท้าอันมั่นคง นอกประตูมีต้นไม้อายุมากต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านสาขาอย่างอิสระ เศษหิมะที่ปกคลุมอยู่ตรงปลายกิ่งไม้สะท้อนแสงสีเงิน ส่องเข้าไปในดวงตาเย็นชาดุจหิมะของนาง ยิ่งทำให้นางดูเยือกเย็นสุขุม จนไม่กล้าสบตาตรงๆ
ทุกคนรีบค้อมกายทำความเคารพ มีเพียงเหลียงสือชูที่ยังคงยืนหลังตรง สายตาคมปลาบดุจกระบี่คม จับจ้องมาที่ซูหลี
ซูหลีโบกมือเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้โจวหลี่กลับเข้าไปในตำหนักได้ แล้วจึงค่อยหันมากล่าวกับเหลียงสือชูด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนปกติ “หากข้าไม่อนุญาต ท่านจะทำเช่นไร?”
เหลียงสือชูหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เดิมทีนึกอยากจะรอดูว่านางจะใช้เหตุผลใดมาขัดขวางเขา นึกไม่ถึงว่านางกลับใช้ฐานะข่มขู่โดยตรง เขาขมวดคิ้วแน่น
ซูหลีกล่าวต่ออีกว่า “ในฐานะขุนนาง ท่านไม่พึงระลึกในหน้าที่ตนเอง กลับรู้ทุกเรื่องในเขตต้องห้ามของวังหลวง สวินหยางโหวคิดจะทำอะไรกัน?” น้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อยของสตรีอาจฟังดูเรียบเฉย ทว่ากลับสะท้อนบารมีน่าเกรงขามที่ไม่อาจมองข้าม ความหมายในวาจายิ่งชวนให้อกสั่นขวัญหาย
ถูกนางโต้กลับหนึ่งประโยค เหลียงสือชูถึงขั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง “เมื่อวานกระหม่อมปวดหัว จึงส่งคนมาเชิญหมอหลวงไปรักษาที่จวน นึกไม่ถึงว่าสำนักหมอหลวงกลับถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าออก เดิมทีกระหม่อมนึกว่ามีหมอหลวงคนใดกระทำความผิด จนทำให้เดือดร้อนไปทั้งสำนักหมอหลวง กระทั่งได้รับจดหมายฉบับหนึ่งกลางดึก จึงเพิ่งรู้ว่ามิใช่หมอหลวงคนใดกระทำความผิด แต่เกิดเรื่องใหญ่กับฝ่าบาทแล้วต่างหาก!”
เขาล้วงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วกางออกด้วยสองมือ เหล่าขุนนางที่อยู่ข้างหลังชะโงกหน้ามาดู ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี แล้วร้องด้วยความตกใจ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงหมดสติ ฮ่องเต้แคว้นติ้งหมายยึดครองแคว้น!”
เหล่าขุนนางตกตะลึง ต่างหันมามองซูหลีเป็นตาเดียว มีเพียงซูฉุนที่หยิบจดหมายไปดูอย่างละเอียด แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ท่านสวินหยางโหวได้จดหมายฉบับนี้มาจากที่ใด?”
เหลียงสือชูกล่าวว่า “มีคนเอาจดหมายฉบับนี้กับก้อนหินใส่ในถุงผ้าไหม แล้วขว้างหน้าต่างห้องข้ากลางดึก”
ซูฉุนถามอีกว่า “คนผู้นั้นเป็นใคร? จับตัวได้หรือไม่?”
เหลียงสือชูขมวดคิ้วแน่น “เขาหนีไปได้”
“เช่นนี้ก็หมายความว่าจดหมายฉบับนี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ขาดความน่าเชื่อถือ” ซูฉุนก้าวเข้ามา แล้ววางจดหมายลงบนฝ่ามือของซูหลี พยักหน้าให้นางเล็กน้อย ถึงแม้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาเชื่อว่านางต้องมีเหตุผลที่ขัดขวางเหล่าขุนนางแน่นอน
การเชื่อใจโดยไม่จำเป็นต้องถามสาเหตุเช่นนี้ ถือเป็นสิ่งล้ำค่าในสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด ซูหลีตื้นตันใจ ก่อนจะก้มอ่านจดหมายฉบับนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างใจเย็น นอกจากอักษรบรรทัดนั้น ก็ไม่มีอะไรอีก
ช่างบังเอิญนัก นางเพิ่งสั่งให้ปิดสำนักหมอหลวง ก็มีคนเข้าวังมาเชิญหมอหลวงไปรักษาตัวแล้ว อีกทั้งเหลียงสือชูยังได้รับจดหมายอย่างนี้อีก…นัยน์ตาหงส์จ้องตรงไปที่เหลียงสือชู เห็นเพียงใบหน้าเขาเต็มไปด้วยคำถาม ไม่เหมือนคนมีแผนชั่ว คล้ายต้องการยืนยันความจริงของจดหมายฉบับนี้เท่านั้น
เหลียงสือชูกล่าวว่า “แม้จดหมายมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน แต่เรื่องที่สำนักหมอหลวงถูกปิดกลับเป็นเรื่องจริง ฮ่องเต้แคว้นติ้งจะทรงอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
เซิ่งฉินลอบแตกตื่น เขาพยายามใช้ความคิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะใช้เหตุผลใดมาทำให้คนยอมเชื่อ ได้แต่หันไปมองซูหลีด้วยความกังวล
…………………