ซูหลีหลุดหัวเราะเล็กน้อย “เหตุใดข้าต้องอธิบายให้ท่านฟังด้วย? ปิดสำนักหมอหลวง เป็นประสงค์ของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะกระทำการใด ต้องรายงานท่านทุกเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“ท่าน!” เหลียงสือชูถูกยอกย้อนจนพูดไม่ออก ลึกๆ ในใจโกรธเกรี้ยวสุดแสน แต่กลับอับจนหนทาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เมืองจิ้นหยางเล่า ฮ่องเต้แคว้นติ้งคงทราบข่าวแล้วเป็นแน่ คนของแคว้นติ้งฉวยโอกาสลักลอบเข้ามาปล้นคลังเสบียงของเมืองจิ้นหยางกลางดึก สังหารขุนนางแคว้นเฉิงของเรา เรื่องนี้จะอธิบายว่าอย่างไร?”
ซูหลีเอ่ยด้วยท่าทางสุขุม “เรื่องนี้ข้าเองก็เพิ่งได้รับฎีกา รายละเอียดเป็นเช่นไร ยังไม่แน่ชัด หากสืบได้ความเมื่อใด ข้าย่อมหารือวิธีแก้ไขกับฮ่องเต้แคว้นเฉิง”
เหลียงสือชูพลันกล่าว “เรื่องจริงปรากฏตรงหน้าแล้ว ยังต้องสืบอีกหรือ?”
ซูหลีเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ต้องสืบอยู่แล้ว! ทุกเรื่องราวล้วนมีต้นสายปลายเหตุ ความจริงยังไม่ทันกระจ่าง แล้วจะให้ข้าอธิบายว่าเช่นไร?!”
เหลียงสือชูพลันพูดไม่ออก อดหันไปมองหยวนเซี่ยงไม่ได้ ถึงแม้มิอาจทำให้ลูกสาวแต่งเข้าวังได้อย่างใจหวัง แต่งานแต่งที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ในบรรดาเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ ผู้ที่อายุน้อย และมีอนาคตไกลที่สุด มีเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือ ‘ซูฉุน’ แห่งจวนอัครเสนาบดี ที่เก่งกาจมากความสามารถ สุขุมสง่างาม อีกหนึ่งก็คือ ‘หยวนเซี่ยง’ แม่ทัพทหารม้าที่ได้รับการส่งเสริมจากฝ่าบาทมาโดยตลอด เขาอายุยังน้อย แต่กลับมีกำลังทหารสำคัญอยู่ในมือ อีกทั้งยังได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทอย่างถึงที่สุด
เข้าวังมาวันนี้ เหลียงสือชูฝากฝังความหวังไว้กับบุตรเขยคนนี้ไม่น้อย แต่จนถึงตอนนี้ หยวนเซี่ยงยังคงเอาแต่สังเกตการณ์เงียบๆ ไม่ยอมเอ่ยปากสักประโยค
ซูหลีสังเกตเห็นแววตาตั้งคำถามในดวงตาของเหลียงสือชู หัวใจพลันหนักอึ้ง เทียบกับเหลียงสือชูที่ไร้ซึ่งอำนาจอย่างเป็นรูปธรรม นางกลัวหยวนเซี่ยงมากกว่า ตั้งแต่หยวนเซี่ยงรับคำสั่งให้กลับมารายงานผลการปฏิบัติหน้าที่ที่เมืองหลวง เขาก็ได้รับหน้าที่ให้ดูแลกองทัพทหารรักษาเมืองจำนวนหนึ่งแสนนาย ด้วยนิสัยจงรักภักดีของเขา หากรู้ว่ายามนี้ตงฟางเจ๋อมีอันตรายถึงชีวิต ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง
“ฝ่าบาท! กู้เซี่ยงเทียนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีหันไปก็เห็นกู้เซี่ยงเทียนยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าพลันเคร่งเครียด นางถามเสียงขรึม “มีเรื่องใด?”
กู้เซี่ยงเทียนก้าวเข้ามา ชำเลืองมองหยวนเซี่ยงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ค้อมกายแล้วกล่าวรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ยามนี้กองทัพทหารรักษาเมืองของแคว้นเฉิงมีการโยกย้ายให้วุ่นวาย คล้ายตั้งท่าจะล้อมเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีเงยหน้ามองหยวนเซี่ยงเล็กน้อย สีหน้าเย็นชาลงหนึ่งส่วน “ไม่มีคำสั่งจากฮ่องเต้แคว้นเฉิง เคลื่อนย้ายกำลังทหารโดยพลการ หยวนเซี่ยง ท่านคิดจะก่อกบฏหรือ?”
ทุกคนได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี เซิ่งฉินสะท้านไปทั้งใจ ค่อยๆ กำกระบี่คมในมือแน่นขึ้น
หยวนเซี่ยงไร้ความเกรงกลัว เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามา ประกายคมปลาบดุจใบมีดพาดผ่านดวงตา “หากกระหม่อมได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทย่อมจะน้อมรับโทษด้วยตนเอง!”
มีเพียงคำขอร้องเดียว ไร้ซึ่งเงื่อนไขใดอีก
ซูหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “แม่ทัพหยวนเองก็เชื่อจดหมายฉบับนี้หรือ?”
หยวนเซี่ยงเม้มปาก สีหน้าดูสับสนเล็กน้อย เขาคิดมาโดยตลอดว่าสตรีที่ได้รับความรักจากฝ่าบาท ไม่มีทางมีดีแค่รูปลักษณ์ภายนอกอย่างแน่นอน เดิมทีเขาไม่อยากทำให้เรื่องราวใหญ่โต แต่ดูจากสถานการณ์ นางไม่ยอมให้เขาเข้าไปข้างในง่ายๆ แน่
หยวนเซี่ยงกล่าวเสียงเข้ม “กระหม่อมไม่อยากเชื่อ แต่มีเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้กระหม่อมไม่กล้ามองข้าม” เอ่ยจบก็หันไปออกคำสั่ง “นำตัวมา”
เห็นเพียงรองแม่ทัพสวี่สาวเท้ายาวๆ พร้อมกับลากตัวชายรูปร่างอ้วนท้วนผู้หนึ่งเข้ามาด้วย เหล่าขุนนางต่างพากันถอยห่างเป็นสองฝั่ง ครั้นเดินมาถึงกลางลานกว้าง รองแม่ทัพสวี่ก็ผลักชายอ้วนลงพื้น คนผู้นั้นหกล้มหน้าคว่ำทันที สิ่งที่ตกลงบนพื้นพร้อมกับเขา ยังมีห่อของที่ตุงและนูนอีกหนึ่งห่อ ครั้นตกกระทบพื้นก็ส่งเสียงแหลมใส จากนั้นก็ร่วงกระจัดกระจาย นึกไม่ถึงกลับเป็นแก้วแหวนเงินทองที่มีมูลค่ามหาศาล
ซูหลีหันมองชายอ้วนคนนั้นแวบหนึ่ง คิ้วงามขมวดเบาๆ คล้ายคุ้นหน้าเล็กน้อย
“ฝ่าบาท ช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ชายอ้วนคนนั้นครั้นเห็นซูหลี ก็ราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต รีบคลานเข้ามาร้องขอความช่วยเหลือทันที
ครั้นเห็นว่ามือสกปรกคู่นั้นกำลังจะเอื้อมจับชายอาภรณ์ของซูหลี ประกายกระบี่พลันพาดผ่าน กระบี่คมเล่มหนึ่งพาดขวางตรงหน้า ชายอ้วนตกใจจนรีบถอยหลังและขดตัวกลม
กู้เซี่ยงเทียนยืนขวางอยู่เบื้องหน้าซูหลี ตวาดเสียงเกรี้ยว “บังอาจ!”
ครั้นถูกตวาด คนผู้นั้นคล้ายคิดอะไรออก รีบถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว “ฝ่าบาท ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
ประเดี๋ยวร้องขอให้ช่วยชีวิต ประเดี๋ยวร้องขอให้ไว้ชีวิต ทำเอาทุกคนสับสนงุนงง
ซูหลีจ้องหน้าเขาอย่างครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้า และเหตุใดข้าต้องไว้ชีวิตเจ้าด้วย?”
คนผู้นั้นไม่กล้าเอ่ยวาจา ได้แต่หมอบต่ำกับพื้นด้วยร่างกายอันสั่นเทา
หยวนเซี่ยงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฮ่องเต้แคว้นติ้งอาจไม่รู้จักเขา แต่จะต้องทรงรู้จัก ‘จิ่นอวิ๋น’ น้องสาวของเขาอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เขาคือจิ่นฟู่ พี่ชายของจิ่นอวิ๋นที่เป็นสาวรับใช้ข้างกายของฮั่วเสี่ยวหมานหรือ? มิน่าเล่าถึงได้คุ้นหน้านัก
“เจ้าคือชายที่นัดพบกับจิ่นอวิ๋นที่นอกประตูวังในวันนั้น?” น้ำเสียงของซูหลีขรึมลง บ่งบอกอารมณ์ไม่ถูก จิ่นฟู่ถูกนางจำได้ ก็รีบคลานไปอยู่ข้างหลังหยวนเซี่ยง คล้ายต้องการการปกป้อง
ซูหลีเงยหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเป็นคนของแคว้นติ้งเรา ไม่ทราบว่ากระทำความผิดใด ถึงขั้นต้องรบกวนให้แม่ทัพหยวนจับตัวเขามาต่อหน้าข้า?”
หยวนเซี่ยงตอบว่า “เมื่อคืนที่นอกเมือง รองแม่ทัพสวี่พบว่าคนผู้นี้มีพฤติกรรมน่าสงสัย จึงเข้าไปตรวจสอบ ครั้นเห็นว่าเขาพกของมีค่าติดตัวจำนวนมาก จึงนึกว่าเป็นโจรใจกล้าขโมยของและกำลังหลบหนี จึงจับตัวกลับมาสอบสวนอย่างละเอียด นึกไม่ถึง สอบสวนไปสอบสวนมา กลับค้นพบเรื่องน่าตกตะลึงเรื่องหนึ่งเข้า!”
ซูหลีถาม “เรื่องใดกัน?”
หยวนเซี่ยงส่งสายตา รองแม่ทัพสวี่รีบหยิบกล่องสีเงินกล่องหนึ่งในย่ามสัมภาระที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาทันที ฝากล่องถูกเปิดออก เผยให้เห็นเศษวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหารกองหนึ่งอยู่ข้างใน
หยวนเซี่ยงชี้ไปที่ของสิ่งหนึ่งในกล่อง แล้วถามว่า “ฮ่องเต้แคว้นติ้งทรงจำได้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด?”
สีน้ำตาลดำ รูปร่างแปลกประหลาด ขนาดเท่าฝ่ามือ คือวัตถุดิบสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่อาจขาดในการทำ ‘น้ำแกงแปดเซียนมังกรคู่หงส์’ ที่นางต้องกินทุกวันนั่นเอง ซูหลีหยิบขึ้นมาสังเกตอย่างละเอียด ค้นพบว่าตรงขอบของมันมีวัตถุสีใสที่แทบสังเกตไม่เห็นเคลือบอยู่ เบาบางดุจปีกจักจั่น สัมผัสเย็นเฉียบ ผิดแปลกไปจากปกติ
ซูหลีขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “อวิ๋นเซียงซิ่น?”
“ถูกต้องแล้ว นี่คือ ‘อวิ๋นเซียงซิ่น’ ส่วนประกอบอาหารที่ล้ำค่าและหายากที่สุดในบรรดาแปดเซียน แต่นี่มิใช่อวิ๋นเซียงซิ่นธรรมดา!” หยวนเซี่ยงหยิบมันขึ้นมาหนึ่งก้อน สายตาคมปลาบดุดัน “ของสิ่งนี้ทำขึ้นจากการนำดอกปิงหลิงที่เติบโตในที่ที่มีอากาศเย็นสุดขั้วไปแช่น้ำแล้วนำน้ำนั้นมารด ทำให้ความเย็นแทรกซึมเข้าไปอยู่ข้างในมัน หากนำมาประกอบอาหารเป็นเวลานาน สามารถทำให้ผู้ที่ป่วยด้วยพิษเย็นมีอันตรายถึงตายได้ ฮ่องเต้แคว้นติ้งทรงทราบเรื่องนี้หรือไม่?”
หยวนเซี่ยงควานหาในกองเศษวัตถุดิบกองนั้น ไม่นานก็หยิบดอกไม้ที่มีรูปร่างเหมือนเกล็ดน้ำแข็งดอกหนึ่งขึ้นมาจากก้นกล่อง แล้วจ้องตรงเข้ามาในดวงตาของซูหลี ราวกับต้องการมองหาความรู้สึกที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนาง
ดอกไม้ดอกนี้มีสีโปร่งใส กลีบดอกห้ากลีบเหมือนดอกบัว เป็น ‘ดอกปิงหลิง’ พืชฤทธิ์เย็นที่ซูหลีเคยเห็นในตำราจริงๆ! ได้ยินว่าดอกไม้ชนิดนี้เติบโตในถ้ำน้ำแข็งที่หนาวเย็นสุดขั้ว เป็นของที่หายากมาก จิ่นฟู่เป็นเพียงคนขายผักตัวเล็กๆ จะมีปัญญาหาของล้ำค่าเช่นนี้มาได้อย่างไรกัน?
“ฝ่าบาทไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย!” ไม่รอให้ซูหลีเอ่ยปากถาม จิ่นฟู่โขกศีรษะร้องบอกเสียงดัง “กระหม่อมเองก็ไม่อยากพูด แต่พวกเขาบังคับกระหม่อม…ฝ่าบาทไว้ชีวิตกระหม่อมและจิ่นอวิ๋นด้วย อย่าฆ่าพวกเราปิดปากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ…”
คำขอร้องของเขา ราวกับกำลังบ่งบอกว่า ที่เขาดูแลอวิ๋นเซียงซิ่นด้วยวิธีนี้ เป็นคำสั่งของซูหลี
ทุกคนตกตะลึง หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
เหลียงสือชูกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เป็นฝีมือท่านที่ทำร้ายฝ่าบาทของพวกเราจริงๆ ด้วย! ช่างเป็นสตรีที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เพราะท่าน ฝ่าบาทถึงได้ประชวรด้วยพิษเย็นในปีนั้น และทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ ท่านกลับใช้จุดอ่อนนี้ย้อนกลับมาทำร้ายฝ่าบาท! ท่านยังเป็นคนอยู่หรือไม่?!”
…………………………