เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็โกรธขึ้ง ต่างตำหนิที่ซูหลีเลือดเย็น ไร้คุณธรรม
สายตาของซูหลีแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่กำของในมือแน่น เป็นวัตถุดิบประกอบอาหารชิ้นเล็กๆ แค่นี้เอง ที่อยู่ในอาหารของนางทุกวัน หยิบยืมมือของนาง คร่าชีวิตของตงฟางเจ๋อ!
ครั้นเห็นเหล่าขุนนางต่างแตกตื่น ซูฉุนรีบกล่าวว่า “คนผู้นี้เอาแต่กล่าวอยู่ฝ่ายเดียว ทุกท่านอย่าเพิ่งกล่าววาจาส่งเดช!”
ภายใต้ความโกรธแค้น เหล่าขุนนางไม่ใส่ใจฟังคำพูดเขา เสียงตำหนิและด่าทอดังไม่ขาดสาย ทั้งที่เห็นสถานการณ์ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ซูเซียงหรูยังคงยืนเงียบไม่ปริปากอยู่อย่างนั้น ซูฉุนขานเรียกด้วยความร้อนใจ “ท่านพ่อ!”
ซูเซียงหรูมองหน้าซูหลี แล้วจึงค่อยเอ่ยปากว่า “ทุกท่านโปรดใจเย็นก่อน แม้แต่กับชาวบ้านธรรมดา ก็ยังต้องฟังความทั้งสองข้างแล้วค่อยตัดสินถูกผิด แต่นี่พระองค์เป็นถึงฮ่องเต้แคว้นติ้ง อาจมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นก็ยังไม่ทราบได้”
“ถูกต้องแล้ว!” ซูฉุนรีบกล่าวต่อทันที “ด้วยความรักที่ฝ่าบาทมีต่อฮ่องเต้แคว้นติ้ง หากฮ่องเต้แคว้นติ้งมีเจตนาปองร้ายจริง จะลำบากทำถึงขั้นนี้ แล้วยังทิ้งหลักฐานไว้ให้คนจับผิดได้อีกหรือ?”
เหลียงสือชูแค่นหัวเราะเย็นชา “ทุกแผนการล้วนมีช่องโหว่ ยามนี้มีพร้อมทั้งพยานหลักฐาน นางจะยังแก้ตัวอย่างไรได้อีก?”
“ข้าไม่จำเป็นต้องแก้ตัวจริงๆ” สีหน้าของซูหลีสุขุมเยือกเย็นผิดปกติ “หากฮ่องเต้แคว้นเฉิงตื่นเมื่อใด ทุกอย่างย่อมกระจ่างเอง”
นางตวัดสายไปยังขุนนางสองคนที่ตำหนินางรุนแรงที่สุด ก่อนจะเหยียดยิ้มเย็นแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “เกิดเหตุจลาจลที่ด่านชายแดน ในฐานะขุนนางฝ่ายกรมคลังและฝ่ายทหาร ทั้งสองท่านกลับไม่ไปเตรียมเสบียงอาหารและกำลังทหาร เพื่อใช้ในการบรรเทาสาธารณภัย กลับยังมีเวลาว่างมาตำหนิข้า ไม่กลัวฮ่องเต้แคว้นเฉิงตื่นขึ้นมาแล้วพิโรธหรืออย่างไร?!”
ขุนนางสองคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปทันที พวกเขามองหน้ากัน เพลิงโทสะพลันดับหายไปกว่าครึ่ง
ซูฉุนรีบกล่าวต่อ “ฮ่องเต้แคว้นติ้งตรัสถูกต้องแล้ว ใต้เท้าทั้งสองท่านกลับไปจัดการเรื่องการบรรเทาสาธารณภัยก่อนเถิด”
เทียบกับบุญคุณความแค้นระหว่างสองแคว้นที่ยังไม่กระจ่างชัด เห็นได้ชัดว่าศีรษะบนบ่าของตนเองย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว ขุนนางสองคนนั้นชั่งใจอยู่ไม่นานก็รีบจากไป ขุนนางคนอื่นๆ ก็เริ่มใจเย็นลงอย่างช้าๆ ครั้นเห็นสีหน้าซูหลีเรียบนิ่ง สุขุมเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง ก็เริ่มสงสัยว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรือไม่
ครั้นเห็นทุกคนไม่มีทีท่าว่าจะกลับไป ซูหลีเองก็ไม่อยากวุ่นวายอีกต่อไป จึงหันไปกำชับเซิ่งฉินว่า “เชิญใต้เท้าทุกท่านไปรอที่ตำหนักด้านข้างก่อน ฮ่องเต้แคว้นเฉิงตื่นแล้วจะเรียกเข้าเฝ้าเอง”
“ท่านกำลังถ่วงเวลา!” เหลียงสือชูเอ่ยแทงใจดำจุดประสงค์ของนาง
ซูหลีไม่สนใจ เพียงหมุนกายแล้วเดินจากไป
หยวนเซี่ยงเข้ามาขวางทาง สายตาคมปลาบ “ฝ่าบาทของพวกเราจะตื่นขึ้นมาจริงๆ ใช่หรือไม่?”
ใบหน้าซูหลีเคร่งขรึม นางไม่ตอบกลับย้อนถาม “แม่ทัพหยวนหมายความว่าเช่นไร? หรือท่านไม่อยากให้เขาตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล?”
หยวนเซี่ยงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง แต่ก็ไม่ถ่อมตนจนดูต้อยต่ำ “กระหม่อมมิกล้า! กระหม่อมเพียงต้องการยืนยัน ว่าฝ่าบาทจะตื่นบรรทมเมื่อใด? หนึ่งชั่วยาม? หรือสองชั่วยาม?”
เขาถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยืนหยัดจะเอาคำตอบที่ชัดเจนให้ได้ ราวกับต้องทำเช่นนี้ จึงจะสามารถสงบความแตกตื่นและความกังวลในใจได้
สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่เขาเสียหน่อย ถึงจะได้รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะตื่นเมื่อใด แต่ในเมื่อเป็นการพักผ่อน ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องตื่นอยู่แล้ว”
“หากฝ่าบาทไม่ตื่นบรรทมเสียที ฮ่องเต้แคว้นติ้งจะทรงทำเช่นไร?” หยวนเซี่ยงก้าวเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว แล้วถามด้วยน้ำเสียงบีบคั้น นางหาทางถ่วงเวลาถึงเพียงนี้ สถานการณ์ในตำหนักจะต้องไม่ปกติอย่างแน่นอน หากเขายืนยันจะเข้าไปให้ได้ จะส่งผลอย่างไร? เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดายิ่งนัก
เขาต้องการคำตอบที่ชัดเจน เพื่อชั่งใจว่าจะสามารถเชื่อใจนางได้หรือไม่
ซูหลียิ้มบาง แล้วกล่าวด้วยสายตาหนักแน่น “หากเขาเป็นอะไรไปด้วยสาเหตุนี้ ข้าย่อมไม่มีทางมีชีวิตอยู่ต่อเพียงผู้เดียว! ข้าพูดเช่นนี้ แม่ทัพหยวนวางใจได้แล้วกระมัง?”
สายตาของหยวนเซี่ยงอ่อนลงหนึ่งส่วน เห็นสีหน้านางเด็ดเดี่ยว สายตาจริงใจถึงเพียงนั้น ไม่เหมือนเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย จึงถอยไปยืนด้านข้าง แล้วกล่าวเสียงขรึม “ได้ ผู้น้อยหยวนจะเชื่อวาจาอันสูงส่งของฮ่องเต้แคว้นติ้ง! แต่หากยามไฮ่[1]ของคืนนี้ ฝ่าบาทยังไม่เรียกพวกกระหม่อมเข้าเฝ้า อย่าหาว่ากระหม่อมเสียมารยาทก็แล้วกัน!”
เอ่ยจบ เขาก็ค้อมกายหมายจะถอยหลัง แต่เพิ่งจะหมุนกาย กลับเห็นเฟิงซุ่นวิ่งเข้ามารายงานด้วยสีหน้าแตกตื่น “ทูลฝ่าบาท ฮั่วฮองเฮาพาคนบุกเข้ามาในตำหนักซีหวา จะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ได้พ่ะย่ะค่ะ…”
ซูหลีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางเอ่ยเสียงขรึม “พบด้วยเรื่องใด?”
เฟิงซุ่นรีบกล่าว “มีศพถูกงมขึ้นมาจากทะเลสาบ ฮั่วฮองเฮาจำได้ว่าเป็น ‘จิ่นอวิ๋น’ พ่ะย่ะค่ะ…”
“อะไรนะ! จิ่นอวิ๋นตายแล้วหรือ?!” จิ่นฟู่ลุกขึ้นมาตะโกนเสียงดังราวกับคลุ้มคลั่ง “พวกท่านฆ่าคนปิดปากดังคาด! คืนน้องสาวข้ามา! คืนน้องสาวข้ามา…” เขาราวกับเสียสติไปในชั่วพริบตา สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความแค้น กัดฟันแล้ววิ่งพุ่งเข้ามาหาซูหลี ราวกับจะถลกหนังนางออกทั้งเป็น
กู้เซี่ยงเทียนชักกระบี่ยืนขวางหน้าซูหลี นึกไม่ถึงจิ่นฟู่กลับยังคงวิ่งพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับมองไม่เห็นกระบี่เล่มนั้น
ซูหลีเห็นท่าไม่ดี รีบยกมือขึ้นหมายจะซัดไปที่หัวไหล่กู้เซี่ยงเทียน แต่กลับสายไปเสียแล้ว ลำคอของจิ่นฟู่วิ่งปะทะเข้ากับคมกระบี่ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น สิ้นใจในทันที
กลิ่นคาวเลือดลอยตลบอบอวลไปทั่วทิศ เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังระงม
ซูหลีหลับตา แล้วตวาดเสียงเกรี้ยว “ยกศพออกไป แล้วตรวจสอบอย่างละเอียด”
เซิ่งฉินรีบสั่งให้คนยกศพของจิ่นฟู่ออกไป แล้วทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้น
ยามนี้เอง เหลียงสือชูได้สติกลับมาก็คำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “มีอย่างที่ไหนกัน! พวกเจ้ากล้าสังหารคนปิดปากต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้เชียวหรือ! หยวนเซี่ยง เจ้ายังรออะไรอยู่อีก?!”
เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กลิ่นคาวเลือดกระตุ้นความสงสัยในใจเหล่าขุนนางให้ลุกลามอย่างรวดเร็ว ทุกจินตนาการเต็มไปด้วยลางสังหรณ์เลวร้าย
หยวนเซี่ยงไม่ลังเลอีก รีบตะโกนออกคำสั่ง “บุกเข้าไป!”
รองแม่ทัพสวี่ชักดาบเปิดทาง ไม่สนใจการขัดขวางของเหล่าองครักษ์ บุกเข้าไปที่ประตูตำหนักโดยตรง
เซิ่งฉินตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ชักกระบี่พาดขวางตรงหน้า แต่กลับได้ยินเสียงซูหลีกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่ายเต็มที “ให้พวกเขาเข้าไปเถิด” เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากยังเอาแต่ขัดขวาง สถานการณ์มีแต่จะยิ่งเลวร้ายขึ้น
ทุกคนเบียดเสียดกันขึ้นบันไดศิลา ครั้นเห็นว่าเหล่าขุนนางใกล้จะบุกเข้าไปในตำหนัก ไม่อาจปิดซ่อนความลับได้อีกต่อไป เซิ่งฉินร้อนรนอย่างยิ่ง ซูหลีกลับมีสติ และดูใจเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว นางได้เตรียมใจรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย นางสั่งให้คนปิดประตูตำหนักตงหวา แล้วเฝ้าทางเข้าออกอย่างเข้มงวด ก่อนตงฟางเจ๋อจะฟื้นขึ้น ใครหน้าไหนก็ออกไปไม่ได้ทั้งนั้น
เหลียงสือชูบุกเข้าไปในตำหนักก่อนเป็นคนแรก เหล่าขุนนางที่เดินตามหลังเขาเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก จู่ๆ กลับพากันถอยหลังออกมาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง และรีบคุกเข่าทันที
ซูหลีหันไปมองด้วยความสงสัย นางพลันตกตะลึง เห็นเพียงคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในตำหนักอย่างแช่มช้า สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาว นัยน์ตาเย็นชากวาดมองช้าๆ แรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้เหล่าขุนนางต่างพากันก้มหน้าเงียบๆ
“ฝ่าบาท!” เซิ่งฉินดีใจอย่างถึงที่สุด รีบสาวเท้าเข้ามาคุกเข่าหน้าบันได
ตงฟางเจ๋อมองผ่านเหล่าขุนนางมาที่ซูหลีที่ยืนอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าบานประตูสีแดง สายตาของนางยังคงดูเรียบเฉยเช่นเดิม คล้ายไม่แปลกใจต่อการปรากฏตัวของเขา แต่ทว่า ประกายหิมะที่ปกคลุมอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะนาง กลับสะท้อนให้เห็นความดีใจและความตื้นตันที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของดวงตาคู่งามอย่างที่ยากจะสังเกตเห็น
ในวินาทีนั้น รัศมีเจิดจ้าของดวงตะวันส่องทะลุพยับเมฆ ขับไล่หมอกหม่นในโลกใบนี้ให้จางหายในชั่วพริบตา นางจ้องหน้าเขาไม่ละสายตา มองดูแสงแดดอุ่นๆ ที่สาดกระทบร่างกายเขา พลันนั้น นางรู้สึกราวกับทุกสรรพสิ่งล้วนได้เกิดใหม่ โลกทั้งใบเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เพียงค่ำคืนเดียว เขากับนาง ราวกับได้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคความเป็นและความตาย และได้กลับมายืนอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง
ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มบางๆ ซูหลีข่มกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านในใจ ราวกับได้ยินการเรียกขานอันไร้เสียง โดยไม่รู้ตัว นางเดินไปอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
………………………