“ท่านตื่นแล้ว!” น้ำเสียงของนางยังคงเรียบเฉย เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่เมื่อเขาได้ยิน กลับรู้สึกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน
ตงฟางเจ๋อไม่พูดอะไร เพียงจ้องหน้านางด้วยสายตาลึกซึ้ง บางทีอาจต้องขอบคุณคนที่อยู่เบื้องหลัง การป่วยครั้งนี้ไม่อาจคร่าชีวิตเขาไปได้ แต่กลับทำให้เขาได้เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของนาง
สายตาของเขาไหวระริกเล็กน้อย เอื้อมมือไปหานาง นางวางมือลงกลางฝ่ามือเขาอย่างไม่ลังเล และสอดประสานนิ้วมือทั้งสิบกับเขา ครั้นสัมผัสได้ว่าฝ่ามือเขาไม่ได้เย็นเฉียบอีกแล้ว หัวใจนางก็สงบลง และตกใจเมื่อรู้ว่าค่ำคืนที่ผ่านพ้นมา นางรู้สึกเคว้งคว้างถึงเพียงใด
ที่แท้นางก็กลัวถึงเพียงนี้ กลัวว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก
ครั้นฝ่ามือสัมผัสซึ่งกันและกัน ตงฟางเจ๋อก็รับรู้ได้ถึงคลื่นอารมณ์ข้างในของนางทันที เขากุมมือนางเบาๆ สื่อสารทุกอย่างแทนคำพูด จากนั้นก็หันไปหาเหล่าขุนนางที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้าแค่ไม่สบายเล็กน้อย อยากจะพักผ่อนสักหลายวัน พวกท่านกลับเสียงดังโวยวาย ทำให้ข้าไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสงบสุข!”
“กระหม่อมสมควรตาย!” เหล่าขุนนางลนลาน
“หยวนเซี่ยง เจ้ายอมรับผิดหรือไม่?”
หยวนเซี่ยงรีบค้อมกายรับคำเสียงดัง “กระหม่อมยอมรับความผิดพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมหลงเชื่อจิ่นฟู่ เป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท ด้วยความร้อนใจ บังอาจเคลื่อนกำลังทหารโดยไม่รับอนุญาตจากฝ่าบาท มีโทษสมควรตายหมื่นครั้งพ่ะย่ะค่ะ!”
เหลียงสือชูรีบร้องขอ “ฝ่าบาท! แม้ว่าแม่ทัพหยวนจะมีความผิด แต่เขาทำไปเพราะความภักดีต่อฝ่าบาท…”
ตงฟางเจ๋อตวัดสายตาเย็นชามองหน้าเขา เหลียงสือชูตกใจรีบหุบปากทันที ตงฟางเจ๋อคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม จ้องมองเหล่าขุนนางเบื้องหน้า แล้วกล่าวอย่างไร้ความปรานี “สวินหยางโหวคิดว่าขอเพียงภักดีต่อข้า ก็สามารถเมินเฉยต่อคำสั่ง แล้วบุกเข้ามาในตำหนักอย่างพลการได้เช่นนั้นหรือ?!”
วาจานี้หนักหนายิ่งนัก เหลียงสือชูตกใจหน้าถอดสี เหงื่อไหลอาบหน้าผาก
เรื่องมาถึงขั้นนี้ หลักฐานที่บ่งชี้ฮ่องเต้แคว้นติ้ง ล้วนกลายเป็นการใส่ร้ายทั้งหมด เหลียงสือชูไม่กล้าแก้ต่างอีก ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงฝ่าบาทปลอดภัยดีก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว!
เหลียงสือชูรีบกล่าว “…กระหม่อมผิดไปแล้ว ฝ่าบาทโปรดลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าขอรับโทษ ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้าว่า “ข้ามิใช่คนเลือดเย็น เรื่องในวันนี้ จะเห็นแก่ผลงานในอดีตของพวกท่าน จงจำไว้ให้ดี หากภายหน้ายังทำผิดเช่นเดิมอีก จะต้องถูกลงโทษสถานเดียว ไม่มีข้อยกเว้น! หยวนเซี่ยง!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ถ่ายทอดราชโองการไปยังกรมคลัง รีบเตรียมเสบียงอาหารและของใช้จำเป็น ให้เจ้านำทัพไปบรรเทาสาธารณภัยที่เมืองจิ้นหยางด้วยตนเอง ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด หากพบเหตุการณ์ปะทะกันที่เมืองหลิงโจว ต้องรีบแก้ไข อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาบานปลายอีก ขุนนางที่เหลือให้กลับไปทำงานของตนเอง ภายในสามวัน หากไม่มีคำสั่งเรียกตัวจากข้าก็ห้ามเข้าวัง กลับไปได้แล้ว” เอ่ยจบ เขาก็ไม่รั้งรอ รีบจูงมือซูหลีเดินเข้าไปในตำหนักบรรทม
เซิ่งฉินรีบเดินตามไป และปิดประตูตำหนักทันที เหล่าขุนนางแทบไม่อยากเชื่อ ว่าฝ่าบาทจะตำหนิพวกเขาเพียงเท่านี้! นอกเหนือจากความดีใจ ก็ต่างพากันปาดเหงื่ออย่างตกใจ จากนั้นก็รีบแยกย้ายไปตามทางของใครของมัน
ยิ่งเดินเข้ามาในตำหนัก ซูหลีก็พบว่าฝีเท้าของตงฟางเจ๋อเริ่มไร้เรี่ยวแรง สีหน้าตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ นางอดถามด้วยความตกใจไม่ได้ “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เขามองหน้านาง กัดฟันแน่นแต่กลับไม่ตอบคำถาม ซูหลีประคองเขาเข้าไปในตำหนัก เขาคล้ายใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปหมดแล้ว ร่างใหญ่ล้มลงไปอย่างอ่อนแรง ซูหลีรีบกอดเขาไว้ คนในอ้อมกอดสูญเสียสติรับรู้ไปอีกครั้ง นางขานเรียกด้วยความแตกตื่น “ตงฟางเจ๋อ!”
ยามนี้ม่านไข่มุกไหวสั่นเล็กน้อย ได้ยินเพียงเสียงของเจียงหยวนดังออกมาจากข้างใน “รีบประคองเขาเข้ามา!”
โจวหลี่รีบเดินเข้ามาช่วย เขากับเซิ่งฉินประคองตงฟางเจ๋อซ้ายขวาเข้าไปนอนลงบนเตียงมังกรข้างใน ไม่มีเวลาพูดมาก เจียงหยวนรีบจับชีพจรเขาทันที
ซูหลีเดินเข้ามาในตำหนักส่วนใน หวั่นซินกับเซี่ยงหลีและฉินเหิงก้าวเข้ามาค้อมกายทำความเคารพ นางเห็นแขนเสื้อสีดำของเซี่ยงหลีคล้ายมีรอยเลือดกระดำกระด่าง ก็พลันตึงเครียด “เจ้าบาดเจ็บหรือ?”
เซี่ยงหลีส่ายหน้า หันไปมองเจียงหยวน “ฝ่าบาทคาดการณ์ไว้ไม่ผิด มีคนต้องการเล่นงานเจียงหยวนจริงๆ! ยามกระหม่อมพาคนไปถึงที่นั่น ฉินเหิงก็เพิ่งถึงพอดี ตอนนั้นเจียงหยวนกำลังถูกยอดฝีมือชุดดำสิบกว่าคนรุมโจมตี ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด ยาพิษของเจียงหยวนกลับใช้ไม่ได้ผลกับพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ!”
สายตาของซูหลีขรึมลงเล็กน้อย นางกล่าวว่า “ในเมื่อหมายหัวเจียงหยวน อีกฝ่ายย่อมต้อมเตรียมตัวมาดี บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง? ร้ายแรงหรือไม่?”
ฉินเหิงกล่าวว่า “กระหม่อมกับเซี่ยงหลีไปถึงทันเวลา เขาจึงได้รับบาดเจ็บแค่ภายนอกเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีคลายใจลงเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นก็ดี ลำบากพวกเจ้าแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด”
เซี่ยงหลีกับฉินเหิงค้อมกายแล้วเดินออกไป ซูหลีเดินไปถามเจียงหยวน “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เจียงหยวนดึงมือกลับมา ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่กระหม่อมใช้กระสายยาช่วยการฝังเข็มให้ฮ่องเต้แคว้นเฉิง จึงช่วยให้เขาฟื้นคืนสติขึ้นมาได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น หากต้องการกำจัดพิษในร่างกายให้หมดไป เกรงว่าจะไม่ง่ายพ่ะย่ะค่ะ”
กำจัดพิษ ไม่ใช่สะกดไว้อย่างนั้นหรือ? สายตาของซูหลีเป็นประกาย “เจ้ามีวิธีแล้วหรือ?”
เจียงหยวนหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “กระหม่อมกับหลินเทียนเจิ้งเคยศึกษาค้นคว้าเทียบยาที่ใช้ในการรักษาพิษเย็นโดยเฉพาะ เพราะขาดยาวิเศษไปสี่อย่างจึงไม่ประสบความสำเร็จ หลายปีมานี้ กระหม่อมออกตามหายาเหล่านั้นทั่วสารทิศ กระทั่งได้สามในสี่อย่างมาในที่สุด ยาตัวสุดท้ายก็เพิ่งสืบได้เรื่องระหว่างทางกลับเมืองหลวง จึงทำให้เดินทางล่าช้าไปหลายวัน โชคดีที่ไม่ได้เสียเวลาเปล่า ในที่สุดก็ปรุงยาลูกกลอนอูจื่อไป่เจียงสำเร็จ”
“ลำบากเจ้าแล้ว!” ซูหลีเปิดฝากล่องไม้ หยิบยากลูกกลอนเม็ดหนึ่งขึ้นมา แล้วสูดดมกลิ่นอย่างละเอียด มีกลิ่นของยาวิเศษที่ใช้ในการรักษาพิษเย็นอยู่หลายชนิดดังคาด นางกล่าวด้วยความดีใจ “ยานี้สามารถรักษาพิษเย็นในร่างกายเขาได้จริงหรือ?”
เจียงหยวนพยักหน้า “หากเป็นแต่ก่อน กระหม่อมเองก็ไม่มั่นใจ แต่ครั้งนี้มีคนวางแผนกระตุ้นพิษเย็นในร่างกายของฮ่องเต้แคว้นเฉิง กลับกลายเป็นโอกาสดีในการกำจัดพิษให้เขาพ่ะย่ะค่ะ”
ถือเป็นโชคดีในเรื่องโชคร้าย ซูหลีรีบถามต่อทันที “ต้องทำเช่นไร?”
เจียงหยวนกล่าวว่า “ก่อนอื่น ป้อนยาลูกกลอนให้เขาก่อน แล้วค่อยฝังเข็มเพื่อกระตุ้นฤทธิ์ยา ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยคนที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งดึงเอาพิษเย็นบางส่วนในร่างกายออกมาเพื่อกำจัด และคนผู้นั้น…”
“ข้าเอง!” ซูหลีกำชับเสียงขรึมอย่างไม่ลังเล “หวั่นซิน เซิ่งฉิน พวกเจ้าสองคนจงแยกกันไปเฝ้าตำหนักตงหวาและตำหนักซีหวา โจวหลี่จงยืนรอฟังคำสั่งอยู่นอกประตูตำหนักส่วนใน หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามผู้ใดเข้ามารบกวนเด็ดขาด!”
ทั้งสามรับคำสั่งและจากไป ต่างก็ส่งคนที่ไว้ใจได้เฝ้าเส้นทางหลักของทั้งสองตำหนักอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ปล่อยให้มีช่องโหว่แม้แต่น้อย
ด้านในตำหนักบรรทมในยามนี้ นอกจากตงฟางเจ๋อที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง ก็มีเพียงซูหลีกับเจียงหยวนเท่านั้น
เจียงหยวนขมวดคิ้วมองหน้านาง คล้ายไม่มีท่าทีจะลงมือฝังเข็ม ซูหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย “มีปัญหาใดอีกหรือ?”
สายตาเจียงหยวนดูหนักใจ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าพิษเย็นส่งผลเสียหายต่อร่างกายของสตรีอย่างมาก หากเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการรักษา ไม่สามารถกำจัดพิษเย็นที่ถูกดึงออกมาได้ในทันที เกรงว่าจะส่งผลต่อการให้กำเนิดทายาทนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ยามนี้เวลาคับขัน ไม่มีเวลาคิดมากแล้ว ข้าฝึกวิชาขี่วายุและวิชาเมฆาลอย ซึ่งเป็นสองสุดยอดวรยุทธ์ กอปรกับมีกำลังภายในสิบกว่าปีของท่านน้าจิ้งหวั่นอยู่ นอกจากข้า ก็ไม่มีใครเหมาะสมกว่านี้อีกแล้ว”
เจียงหยวนกล่าวด้วยสายตาสับสน “กระหม่อมเองก็เพิ่งเคยรักษาพิษเย็นที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้ ถึงแม้เตรียมการมาพร้อม แต่ก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด การฝังเข็มในครั้งนี้ยังใช้เวลานานมากอีกด้วย หากเกิดอะไรผิดพลาดระหว่างนั้น ไม่เพียงจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของฮ่องเต้แคว้นเฉิง แม้แต่ตัวฝ่าบาทเอง…ก็จะได้รับบาดเจ็บไปถึงชีพจรหัวใจ บางทีอาจไม่สามารถใช้วรยุทธ์ไปได้อีกตลอดชีวิต”
ซูหลีตะลึงงัน ความเป็นความตายของตงฟางเจ๋อเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของบ้านเมือง และความมั่นคงของแผ่นดิน จะปล่อยให้มีข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด และนางก็รับไม่ได้หากเขาเป็นอะไรไป! แต่หากเลือกที่จะกดพิษเย็นไว้เพียงอย่างเดียว บางทีอาจไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากก็เป็นได้ แต่หลายปีมานี้ เขาตกอยู่ในอันตรายเพราะพิษเย็นครั้งแล้วครั้งเล่า หากไม่ฉวยโอกาสนี้กำจัดพิษออกจากร่างกายให้หมด เกรงว่าชีวิตนี้เขาคงไม่อาจหลุดพ้นจากการกัดกร่อนของพิษเย็นในร่างกายได้อีก
ในฐานะประมุขแห่งแคว้น มีองครักษ์มากมายรายล้อมรอบกาย วรยุทธ์ไม่ได้มีความสำคัญกับนางมากถึงขนาดนั้นอีกแล้ว นางครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยากที่จะตัดสินใจ เพียงเพื่อคนตรงหน้าคนเดียว นางค่อยๆ เดินไปที่เตียง มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดขาวเหมือนกระดาษ หากเป็นเขา เขาจะเลือกทางไหนนะ? คนอย่างเขา หากมีโอกาสในการกำจัดพิษเย็น จะต้องไม่ปล่อยให้ตนเองเก็บจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิตนี้ไว้กับตัวอย่างแน่นอนกระมัง?
ซูหลีหลับตา ในที่สุดก็ตัดสินใจ “โลกใบนี้ไม่มีเรื่องใดที่ไม่ต้องสูญเสีย เพื่อกำจัดต้นตอของปัญหา ข้าขอวางเดิมพันครั้งนี้แทนเขาเอง หากชนะ นับจากนี้เขาก็จะไม่มีเรื่องทุกข์โศกให้กังวลใจ ไร้ซึ่งจุดอ่อนที่อันตรายต่อชีวิตอีก หากแพ้…” นางหยุดพูดไปชั่วขณะ สายตาที่ทอดมองคนบนเตียงสั่นระริกเล็กน้อย แต่กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าปกติ “…หากแพ้ ข้าจะชดใช้ด้วยชีวิตให้เขาเอง!”
เจียงหยวนตื่นตะลึง ซูหลีที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะยอมเสี่ยงดวงไม่ว่าจะในเรื่องใดก็ตาม เขาอยากจะบอกให้นางใคร่ครวญอีกครั้ง แต่กลับเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวและหนักแน่นของนาง เห็นได้ชัดว่านางจะไม่เปลี่ยนใจ จึงทำได้เพียงถอนหายใจ และไม่พูดมากอีก
ซูหลีหันกลับมามองเจียงหยวน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่า “ทุกอย่างนี้…ต้องฝากเจ้าด้วย” ชีวิตของนางกับตงฟางเจ๋อ รวมถึงความอยู่รอดของสองบ้านเมือง ล้วนขึ้นอยู่กับเจียงหยวนแล้ว
………………………