ความกดดันที่มองไม่เห็นทำให้หมอเทวดาที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไกลหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยเช่นกัน เพียงแต่ชั่วพริบตาเดียว เขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม “กระหม่อมจะพยายามสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีกับตงฟางเจ๋อกินยาอูจื่อไป่เจียงคนละเม็ด จากนั้นก็นั่งลงบนเตียงมังกร ถอดเสื้อให้เขา แล้วประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่ง
เจียงหยวนพลิกข้อมือ เริ่มการฝังเข็มอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน จุดลมปราณทั่วร่างกายของตงฟางเจ๋อก็ถูกปักด้วยเข็มสีเงิน ฤทธิ์ยาลูกกลอนอูจื่อไป่เจียงถูกกระตุ้นทันที เม็ดเหงื่อผุดพราย เปียกชุ่มไปทั้งตัว
“เริ่มเลย”
สิ้นเสียงของเจียงหยวน ชี่แท้ก็เริ่มขับเคลื่อนทันใด ฝ่ามือสองข้างของซูหลีแนบกลางแผ่นหลังตงฟางเจ๋อ ข้างหนึ่งถ่ายเทกำลังภายในเข้าไปในร่างกาย ข้างหนึ่งดูดซับพิษเย็นในตัวเขาออกมา ถึงแม้จะกินยาล่วงหน้าแล้ว แต่ครั้นไอเย็นไหลเข้าสู่ชีพจร นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แทรกลึกลงไปถึงกระดูก นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าทุกครั้งที่อาการป่วยกำเริบเขาจะทุกข์ทรมานเพียงใด ซูหลีเพ่งสมาธิรวบรวมพลัง ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ด้านหนึ่งกำจัดพิษเย็น ด้านหนึ่งยังต้องพยายามปกป้องชีพจรหัวใจของเขา
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ชี่แท้หมุนเวียนไปกลับหลายรอบ ซูหลีเหนื่อยล้า อาศัยเพียงจิตตานุภาพในการประคองสติ ร่างกายของตงฟางเจ๋อเองก็ตึงเกร็งเหมือนเชือกที่ถูกขึง เพราะฤทธิ์ยากับการฝังเข็มเช่นกัน
พลันนั้น เขาไออย่างหนัก โลหิตไหลออกจากมุมปาก
ซูหลีรีบดึงมือกลับ จากนั้นก็เอื้อมมือมาจากด้านหลังประคองคางที่โน้มลงของเขาไว้ แต่กลับเห็นเขากระอักเลือดสีดำออกมาไม่หยุด นางแตกตื่น ตะโกนออกมาโดยสัญชาตญาณ “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!”
เจียงหยวนเองก็ตกใจเช่นกัน เขาจ้องเลือดที่อยู่ในฝ่ามือนาง แล้วตะโกนเสียงดัง “รีบคุยกับเขาเร็ว อย่าปล่อยให้เขาหมดสติ” เอ่ยจบ เขาก็ใช้เข็มเงินแทงไปที่จุดลมปราณบนหน้าผากของตงฟางเจ๋อทันที
ซูหลีตบหน้าตงฟางเจ๋อเบาๆ แล้วขานเรียกด้วยความร้อนรน “ตงฟางเจ๋อ! ตื่นเร็ว! ท่านอย่าหลับนะ!”
ตงฟางเจ๋อไร้การตอบสนอง ซูหลีสูดหายใจลึกๆ พยายามควบคุมให้ตนเองใจเย็น
นางจับหน้าเขาให้หันมา แนบริมฝีปากข้างหูเขา แล้วกัดฟันกล่าวว่า “ตงฟางเจ๋อ ท่านฟังข้าให้ดี! หากท่านรอด! พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต! หากท่านตาย ข้าจะไม่มีวันได้เห็นหน้าท่านอีกตลอดกาล!”
วาจาประโยคนี้ราวกับมีเวทมนต์อันแข็งแกร่ง เปลือกตาของเขากระตุกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามรวบรวมสติที่แตกกระเจิงอย่างสุดความสามารถ แต่ยังคงไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้ เขาขยับกลีบปาก ซูหลีรีบโน้มหูเข้าไปใกล้ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหอบถี่ทว่าโรยแรง
เหมือนรู้ว่าเขาจะพูดอะไร นางประทับจุมพิตบนกลีบปากเขาเบาๆ แล้วสัญญาอย่างหนักแน่น “กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ” เอ่ยจบ กลีบปากของเขาก็กระดกขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้รอยยิ้มนั้นจะดูเบาบางจนแทบมองไม่เห็น แต่ซูหลีกลับรู้สึกได้ถึงความคาดหวังและความดีใจจากใจ
เจียงหยวนเห็นว่าโอกาสมาถึง จึงรีบกดจุดลมปราณสำคัญของเขา จากนั้นก็ฝังเข็มหลายเล่มอย่างรวดเร็ว สุดท้ายซัดฝ่ามือลงกลางแผ่นหลังเขาอย่างแรง ตงฟางเจ๋อแหงนหน้าสูง มีบางอย่างพุ่งออกจากปากเขา ร่างใหญ่อ่อนแรง หมดสติไปในทันที
เจียงหยวนรีบดึงเข็มเงินออก ก่อนจะวางร่างตงฟางเจ๋อให้นอนราบ แล้วจึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีรู้สึกราวกับปลดภาระหนักอึ้งออกจากบ่า เอื้อมมือออกไปห่มผ้าให้เขาอย่างใส่ใจ นิ้วมือปัดปอยผมที่เปียกเหงื่อของเขา สายตาจับจ้องดวงหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในภวังค์หลับใหลด้วยความอ่อนโยนและปลาบปลื้ม วิกฤติครั้งนี้ ผ่านพ้นไปได้อย่างปลอดภัยในที่สุด! หลังจากนี้เขาก็จะกลับมาแข็งแรง และไม่ต้องทนทรมานกับพิษเย็นอีก! กลีบปากนางหยักยิ้มอย่างผ่อนคลาย ราวกับชีวิตนี้ไม่มีเรื่องใดน่ายินดีเท่านี้อีกแล้ว
เจียงหยวนมองหน้านางเงียบๆ สีหน้าดูสับสน ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดหลายครั้ง
ในที่สุดซูหลีก็หันกลับมามองเขา นางยิ้มอย่างเหนื่อยล้า “ลำบากเจ้าแล้ว ไปพักผ่อนเถิด”
เจียงหยวนถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่เมื่อครู่…ฝ่าบาทหยุดขับเคลื่อนลมปราณกะทันหัน เกรงว่าพิษเย็นจะไหลเข้าสู่ร่างกายแล้ว”
ซูหลีชะงักงัน เมื่อครู่เกิดเหตุไม่คาดฝันกะทันหัน นางจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ เจียงหยวนเดินเข้าไปจับชีพจรของนาง สีหน้าดูหนักใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กล่าวด้วยสีหน้าดีใจ “โชคดีที่หลงเหลือไม่มาก สามารถรักษาได้ด้วยการดื่มยาไปเรื่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ร่างกายของนางเหนื่อยล้าเต็มที หลังจากมั่นใจว่าตงฟางเจ๋อปลอดภัยดี นางก็วางใจ ครั้นความตึงเครียดผ่อนคลาย ไม่นานนางก็เข้าสู่ห้วงหลับลึก นางจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ว่ากลับมาถึงตำหนักซีหวาได้เช่นไร
นางหลับไปถึงหนึ่งวันสองคืนเต็มๆ ครั้นตื่นขึ้นมาก็เห็นโม่เซียงนั่งอยู่ข้างเตียง ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้
ซูหลีนึกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตงฟางเจ๋อ จึงรีบลุกขึ้นนั่ง แล้วถามด้วยความแตกตื่น “เขาเป็นอะไร?”
โม่เซียงตะลึงงัน ได้ยินเพียงเสียงซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงไม่เป็นไร โม่เซียงแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” นางวางฎีกาในมือลง แล้วสาวเท้ามาที่ข้างเตียง
ซูหลีพลันถอนหายใจ ค่อยๆ ลุกจากเตียง แต่กลับเห็นดวงตาของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก็แดงบวมไม่ต่างกัน ทั้งยังมีสีหน้าเศร้าโศก ก็อดแปลกใจไม่ได้ “ข้าก็แค่หลับไปนานหน่อย พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงถึงเพียงนี้”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เดิมทีเจ้าก็เหน็ดเหนื่อยด้วยเรื่องบ้านเมืองมากพอแล้ว ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยพักผ่อนเต็มที่ ครั้งนี้ยังต้อง…เฮ้อ ใช้กำลังภายในเกินขอบเขต ทำให้บาดเจ็บถึงภายใน เกรงว่าจะไม่สามารถหายได้ในระยะเวลาสั้นๆ”
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด ข้าไม่เป็นไรหรอก” นางครุ่นคิดแล้วถามอีกว่า “เจียงหยวนยังอยู่ที่ตำหนักตงหวา?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพลันตระหนักได้ “เจ้าต้องการถามอาการของฮ่องเต้แคว้นเฉิงกระมัง? เขาไม่เป็นอะไรมากแล้ว เมื่อวานเพิ่งมา แต่เห็นว่าเจ้าหลับอยู่ จึงไม่ได้ปลุก”
ครั้นรู้ว่าเขาปลอดภัย ซูหลีก็เบาใจราวกับยกภูเขาออกจากอก แต่กลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบกล่าวว่า “โม่เซียง รีบสั่งคนให้เตรียมรถ เรียกตัวเจียงหยวนให้กลับไปรักษาเสด็จแม่ที่เมืองหลวงเก่าพร้อมกับข้า!”
โม่เซียงเบะปากทำท่าจะร้องไห้
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยกมือปิดปาก น้ำตาหลั่งรินออกจากนัยน์ตางาม เอ่ยพลางสะอื้นไห้ “เสด็จป้า…สวรรคตเมื่อคืนแล้ว!”
ซูหลีตื่นตะลึง เนิ่นนานก็ยังพูดไม่ออก นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มองไปยังทิศที่ตั้งของเมืองหลวงเก่านอกหน้าต่าง เสด็จแม่ของนาง ในที่สุดก็รอนางให้ไปพบหน้าเป็นครั้งสุดท้ายไม่ไหว!
โม่เซียงสะอึกสะอื้น “ฝ่าบาทโปรดระงับความเศร้า! หมอเจียงบอกว่า ฝ่าบาทไม่ควรเสียพระทัยมาก…”
ซูหลีหลับตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เตรียมรถ!”
โม่เซียงหันไปมองหน้าซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพร้อมน้ำตาคลอเบ้า เห็นนางพยักหน้า จึงออกจากห้องไปเตรียมรถ
ยามนี้เอง หวั่นซินนำชุดไว้ทุกข์มาให้ด้วยตนเอง ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยต่างคนต่างไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
เห็นหวั่นซินทำท่าจะพูดแต่ก็หยุด ซูหลีจึงข่มกลั้นความเจ็บปวด “เจ้าสืบอะไรได้ ว่ามาเถิด”
หวั่นซินเอ่ยเสียงขรึม “หม่อมฉันสืบพบว่าการตายของจิ่นอวิ๋นและจิ่นฟู่มิใช่เรื่องบังเอิญ จิ่นอวิ๋นถูกคนสังหารแล้วค่อยนำศพไปทิ้งในทะเลสาบ แล้วจัดฉากให้เหมือนจมน้ำตาย จิ่นฟู่ถูกพิษสลายวิญญาณ พิษนี้ภายนอกอาจดูไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่หากกระตุ้นเมื่อใด ก็จะคลุ้มคลั่งเสียสติ และพิษสลายวิญญาณนี้…หม่อมฉันค้นเจอในตำหนักเฟิ่งอี๋เพคะ”
หวั่นซินน้อมส่งห่อผ้าเล็กๆ แล้วเปิดให้ซูหลีดู ผงยาสีขาวละเอียด ดูเหมือนธรรมดา แต่กลับสามารถคร่าชีวิตคนได้ในชั่วพริบตา สายตาของซูหลีตึงเครียดทันที แต่กลับไม่พูดอะไร
หวั่นซินกล่าวต่อว่า “วันนั้นฮั่วฮองเฮาเสด็จมาที่นี่ได้อย่างบังเอิญเกินไป หม่อมฉันคิดว่า เรื่องนี้ตำหนักเฟิ่งอี๋ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน จึงได้สั่งให้คนจับตาดูตำหนักเฟิ่งอี๋ สกัดกั้นไม่ให้คนในวังติดต่อสื่อสารกับคนข้างนอก”
ซูหลีพลันรู้สึกเศร้าสลด เดิมทีนึกว่าฮั่วเสี่ยวหมานเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมา นางกลายเป็นคนที่ใช้วิธีการชั่วร้ายทำลายคนอื่นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยความลังเล “เสี่ยวหมานไม่ใช่คนชั่วร้าย ครั้งนี้เกรงว่าจะถูกคนอื่นหลอกใช้”
ซูหลีเงียบงันไม่พูดจา เดินออกจากตำหนักบรรทมแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกับหวั่นซินเดินตามหลังไปติดๆ
ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินเข้าไปในตำหนัก เห็นเพียงตำหนักบรรทมอันกว้างใหญ่ ยามนี้กลับมีเพียงฮั่วเสี่ยวหมานอยู่คนเดียว เสื้อผ้าหรูหราถูกวางกองบนเตียง สีหน้านางร้อนรน ยังคงควานหาบางสิ่งในตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกนางรื้อทิ้งบนพื้น จนกระทั่งชุดแต่งงานสีแดงปรากฏสู่ครรลองสายตา นางจึงค่อยแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย
ฮั่วเสี่ยวหมานนำชุดแต่งงานออกมาสวมลงบนตัว แล้วสาวเท้าเดินไปที่หน้ากระจก จ้องมองตนเองในกระจก
ซูหลียืนอยู่หน้าประตู มองดูแผ่นหลังสีแดง ย้อนนึกไปถึงวันแต่งงานของนางกับหลางฉ่าง ดวงหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ หัวใจเต็มไปด้วยความปรารถนา ยามนี้ตรงหน้ากระจก กลับมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่เพียงเดียวดาย แลดูเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย “เสี่ยวหมาน เจ้ากำลังทำอะไร?”
ฮั่วเสี่ยวหมานค่อยๆ หันกลับมา รอยยิ้มดูประหลาด “พี่สาวอวิ๋นฮุ่ย ท่านว่าเสี่ยวหมานสวมชุดแต่งงานไปพบพี่ชายฉ่าง เขาจะต้องดีใจมากแน่เลยใช่หรือไม่?”
…………………………