“นักล่ามารอสูร? อันใด สหายผู้นี้มักจะเข้าไปในเทือกเขามารสีทองหรือ?” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี เอ่ยถามอย่างเชื่องช้า

 

 

“ชนรุ่นหลังเคยเข้าไปในเทือกเขามารสีทองทั้งหมดสามสิบเจ็ดครั้ง ในเจ็ดครั้งเคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา!” รอยบากบนใบหน้าของเย่ว์จงบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่กลับเอ่ยอย่างนอบน้อมออกมา

 

 

สามสิบเจ็ดครั้ง? หานลี่ได้ฟัง ก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

ในเมื่อเขารับปากเซียนเซียนไว้ว่าจะเข้าไปในเทือกเขามารสีทองตั้งแต่แรก แน่นอนว่าต้องตรวจสอบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทือกเขาเหล่านี้มาก่อนแล้วรอบหนึ่ง

 

 

อันตรายในเทือกเขามารสีทองมากกว่าที่หญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้กล่าวไว้อย่างแน่ ตอนนี้ยังกล้าเข้าไปในเทือกเขาแห่งนี้อีก แน่นอนว่าต้องมีความกล้าหาญมาก และแม้แต่คนเหล่านี้ก็ไม่อาจเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาได้โดยง่าย แค่สังหารมารอสูรระดับต่ำอยู่ที่รอบนอกเท่านั้น แต่คนที่อยู่เบื้องหน้ากลับมีพลังยุทธ์แค่ระดับเทพแปลงขั้นกลาง คาดไม่ถึงว่าจะเคยเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทองมานับครั้งไม่ถ้วน

 

 

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเขาเข้าไปลึกขนาดไหน แต่ก็คงเป็นเรื่องที่ทำให้คนฟังตกตะลึงแน่

 

 

เซียนเซียนเอ่ยอธิบายต่อว่า

 

 

“แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้ชนรุ่นหลังและท่านอาวุโสจะไม่ต้องเข้าไปลึก แต่จุดที่ต้องไปนั้นอยู่ห่างจากทางเข้าเทือกเขาไปค่อนข้างไกล หากพบกับมารอสูรที่แข็งแกร่งรอบนอก ก็จะแย่หน่อย ดังนั้นเพื่อเป็นการรับประกัน ข้าจึงยอมจ้างพี่เย่ว์ให้มารับหน้าที่นำทาง หากเป็นเช่นนั้น ก็จะได้ไม่ผิดพลาด พี่เย่ว์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้ตำแหน่งของมารอสูรที่แข็งแกร่งได้ล่วงหน้า แม้จะมีไอมารรบกวนอยู่ในบรรดาไม่กี่คน”

 

 

“ท่านเซียนเซียนชมเกินไปแล้ว! หากผิดพลาดก็มิกล้ารับไหว อีกอย่างผู้แซ่เย่ว์ไม่ได้เข้าไปในเทือกเขามารสีทองมานานแล้ว ไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายในนั้นมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นในระยะนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรเสียครั้งที่แล้วที่เข้าไปในเทือกเขา ก็เป็นเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีก่อน” เย่ว์จงกลับเผยความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมา

 

 

“เพิ่งร้อยกว่าปี จะมีอะไรแตกต่างได้ ตอนนั้นพี่เย่ว์มีชื่อเสียงขนาดนี้ ครั้งนี้แค่ไปที่รอบนอกก็น่าจะปลอดภัยสินะ” เซียนเซียนกลับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

 

 

“ท่านเซียนเซียนไม่รู้อะไร ความน่ากลัวของเทือกเขามารสีทองไม่ได้อยู่ที่มารอสูรที่น่ากลัวเหล่านั้น แต่เป็นเพราะสภาพภูมิประเทศที่แทบจะเปลี่ยนแปลงในทุกวัน และไอมารที่สะสมอยู่เป็นเวลานาน ภายใต้ผลกระทบจากไอมารเหล่านี้ สองสามวันก่อนอาจจะยังว่างเปล่า เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสูง วันที่สองอาจจะมีภูเขายักษ์ปรากฏขึ้น และกลายเป็นรังของมารอสูรชนิดใดก็ได้ สำหรับมารอสูรเหล่านี้การพลิกภูเขายักษ์ กระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นไม้ธรรมดาๆ และปล่อยออกมาอีกครั้งเป็นเรื่องที่ง่ายดังปอกกล้วย ครั้งนี้หากไม่กล่าวว่าจะไม่เข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา ช่วงนี้ข้าน้อยเองก็ต้องการของเหลววิญญาณมรกตหมื่นปีสักขวด ต่อให้ท่านเซียนเซียนเสนอราคาที่สูงกว่านี้ ผู้แซ่เย่ว์ก็ไม่มีทางยอมเสี่ยงแน่” เย่ว์จงเอ่ยด้วยสีหน้าซื่อตรง

 

 

“สหายเย่ว์โปรดวางใจ การเดินทางนี้จะอยู่แค่รอบนอก ไม่มีเจตนาจะเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาอย่างแน่นอน พลังยุทธ์ของน้องหญิงเทียบพี่เย่ว์ไม่ได้ ไม่มีความกล้าขนาดนั้น” เซียนเซียนได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงความน่ากลัวของเทือกเขามารสีทองอย่างละเอียด ก็หน้าเปลี่ยนสี แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้มอ่อนโยนขณะเอ่ย

 

 

“เช่นนั้นก็ได้ และยิ่งไปกว่านั้นตามที่กล่าวกันไว้ นอกจากบังเอิญพบมารอสูรระหว่างทางแล้ว ข้าน้อยจะไม่เข้าร่วมภารกิจใดๆ ของสหายและท่านอาวุโสหาน แค่รับหน้าที่นำทางเท่านั้น ท่านเซียนเซียนน่าจะไม่มีปัญหาอะไรสินะ” เย่ว์จงมีสีหน้าผ่อนคลายลง หลังจากขบคิดแล้วก็เอ่ยขึ้น

 

 

“ไม่มีปัญหา ต่อให้ถึงยามนั้นมีสิ่งใดต้องการให้พี่เย่ว์ช่วย ข้าก็จะตอบแทนท่านด้วยสิ่งอื่น ไม่มีทางบังคับแน่” หญิงสาวเผ่าผลึกตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปิดทางตนเอง

 

 

ครั้งนี้เย่ว์จงครุ่นคิดแล้วพลันพยักหน้า นับว่าเป็นการยอมรับโดยดุษณี

 

 

หานลี่ที่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเลยมีสีหน้าราบเรียบมาโดยตลอด แค่พิจารณาเย่ว์จงอย่างเงียบๆ ตอนนี้เมื่อเห็นทั้งสองพูดคุยกันจบ ในที่สุดถึงได้เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยขึ้นว่า

 

 

“ความจริงแล้วผู้แซ่หานไม่รู้อะไรกับเกี่ยวกับเทือกเขามารสีทองและมารอสูรเลย แค่รู้จากปากคนใกล้ตัวและบันทึกในคัมภีร์เท่านั้น โชคดีที่เซียนเชิญสหายเย่ว์ผู้ชำนาญเทือกเขามารสีทองมาเข้าร่วม นี่เป็นการดีจริงๆ แต่ข้าก็มีปัญหาเกี่ยวกับเทือกเขามารสีทองอยู่สองสามข้อ อยากให้สหายเย่ว์แถลงไขให้สักหน่อย”

 

 

“ท่านอาวุโสหานสงสัยสิ่งใดโปรดถามมาได้เลยขอรับ ชนรุ่นหลังจะบอกอย่างไม่ปิดบัง” เย่ว์จงตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิด

 

 

“มารอสูรระดับสูงในเทือกเขานั้นไม่ต้องพูดถึง มารอสูรระดับต่ำเหล่านั้นเบิกเนตรหรือยัง ระดับการเบิกเนตรเทียบกับอสูรวิญญาณธรรมดาแล้วเป็นอย่างไร? ยังมี…” หานลี่เองก็ไม่เกรงใจ เอ่ยซักถามออกมาตรงๆ

 

 

ส่วนเย่ว์จงผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้รู้จักเทือกเขามารสีทองจริงๆ หลังจากได้ฟังแล้วก็ตอบอย่างละเอียดยิบในทันที

 

 

หญิงสาวเผ่าผลึกที่อยู่ด้านข้างได้ยินทั้งสองพูดคุยกัน ก็พูดแทรกขึ้นเป็นบางครั้งคราวภายใต้ความรู้สึกสนใจใครรู้

 

 

ทั้งสามพูดคุยกันในบรรยากาศที่ปรองดองกันเป็นกว่าครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหานลี่ก็ได้ข้อมูลที่ตนเองอยากรู้

 

 

เมื่อปัญหาสุดท้ายถูกคำตอบทำให้พึงพอใจแล้ว หานลี่ก็เผยรอยยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า

 

 

“ในเมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว คิดดูแล้วการเดินทางครั้งนี้คงราบรื่นดี แต่ไม่ทราบว่าสหายเซียนคิดว่าจะออกเดินทางเมื่อใด?”

 

 

“เทือกเขามารสีทองอยู่ห่างจากเมืองเมฆาของพวกเราไม่ไกลนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางสองสามเดือน แม้ว่าจะมีเวลาเพียงพอ แต่ก็ไม่อาจเสียเวลานานได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านอาวุโสคิดว่าสามวันหลังจากนี้จะออกเดินทางเป็นอย่างไร?” เซียนเซียนครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามหานลี่

 

 

เย่ว์จงพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยขัดแย้งอะไร

 

 

“ได้ ตามที่สหายกล่าว สามวันให้หลังพวกเราพบกันด้านนอกประตูทิศตะวันออกห่างออกไปสิบลี้” หานลี่ลูบใต้คาง แล้วพลันเห็นด้วย

 

 

เย่ว์จงเอ่ยก็พยักหน้า ไม่ได้เผยเจตนาขัดแข้งอะไรออกมา

 

 

“หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้แซ่หานขอกลับไปเตรียมตัวก่อน” หานลี่ไม่ได้มีเจตนาจะรั้งรอนานนัก จึงขอตัวลา

 

 

“สิ่งที่ควรพูดชนรุ่นหลังก็ได้พูดไปแล้ว ชนรุ่นหลังขอส่งท่านอาวุโสด้วยความเคารพ” เซียนเซียนเอ่ยอย่างนอบน้อม และพลิกฝ่ามือหยิบจานอาคมออกมาอีกครั้ง

 

 

ดังนั้นหานลี่จึงเหยียบไปบนเขตอาคมส่งตัวท่ามกลางการส่งด้วยสายตาของทั้งสองคน แล้วหายวับไปท่ามกลางลำแสงวิญญาณด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

“สหายเซียน ท่านอาวุโสหานผู้นี้พึ่งพาได้หรือไม่? เจ้าบอกว่าเขาคือมารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงตนหนึ่ง แต่ข้ากลับสัมผัสกลิ่นอายเคล็ดวิชามารบนร่างของเขาไม่ได้เลย ข้าหาประสบการณ์อยู่ในเทือกเขามารสีทองมาหลายครั้ง จึงมั่นใจว่าย่อมสัมผัสกลิ่นอายมารได้ดี?” เมื่อเห็นหานลี่ส่งตัวออกไปแล้ว เย่ว์จงก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่งตามความรู้สึก แต่ทันใดนั้นก็ย่นคิ้วเอ่ยถาม

 

 

“พี่เย่ว์โปรดวางใจ ความจริงแล้วหากไม่ใช่เพราะท่านอาวุโสหานผู้นี้คือมารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ข้าก็ไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายสนใจได้ แต่จะว่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะการเดินทางครั้งนี้ต้องตามหามารผู้บำเพ็ญเพียรตนหนึ่ง เมืองเมฆาของพวกเรามีชนชั้นสูงระดับเผ่าเบื้องบนตั้งมากมาย ข้าคงไม่รอมาเนิ่นนานเพียงนี้” เซียนเซียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แต่ก็ตอบกลับอย่างมั่นใจ

 

 

“เช่นนั้นท่านอาวุโสหานผู้นี้ก็น่าจะมีเคล็ดวิชาลับปกปิดกลิ่นอายมารสินะ มิเช่นนั้นคงไม่อาจเก็บกลิ่นอายมารได้ถึงขั้นนี้ นอกจากนี้แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้ของเซียนมีจุดประสงค์อะไร แต่ในเมื่อต้องใช้มารผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงตนหนึ่งร่วมทางด้วย คิดดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้เซียนยังเลือกเข้าไปในเทือกเขามารสีทองปีนี้ มันไม่ใช่ความคิดที่ดีอะไรเลย ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่เทือกเขามารสีทองพ่นไอมารออกมาในรอบสามร้อยปีจะมีสักครั้งหนึ่ง ในระยะเวลาสิบปีนี้มารอสูรที่แข็งแกร่งเหล่านั้นมีโอกาสที่จะออกมารอบนอกไม่น้อย เหตุใดเซียนไม่รออีกสักสี่ห้าปีเล่า?” เย่ว์จงครุ่นคิด แล้วเอ่ยถามขึ้น

 

 

“ขอโทษด้วย! น้องหญิงมีความลำบากใจ จึงไม่อาจบอกเรื่องนี้กับสหายได้ ข้าจำต้องเข้าไปในเทือกเขามารสีทองภายในสองปีนี้ มิเช่นนั้นครั้งต่อไป คงต้องรออีกสองสามร้อยปี น้องหญิงรอนานขนาดนั้นไม่ได้จริงๆ มีเพียงต้องลองเสี่ยงแล้ว ทว่าด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้เอาของเหลวสีเขียวมรกตหมื่นปีขวดนี้มาจ้างพี่เย่ว์ ข้าเองก็จะบอกพี่เย่ว์อย่างไม่ปิดบัง คนที่ข้าไปหาก่อนหน้านี้ ล้วนไม่มั่นใจว่าจะพาพวกเราไปตามหาสถานที่ที่ต้องการได้อย่างปลอดภัยในช่วงเวลาที่ไอมารระเบิด ข้าถึงได้มาหาสหาย” เซียนเซียนลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้หัวเราะขมขื่นออกมาขณะเอ่ย

 

 

“ในเมื่อท่านเซียนเซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เย่ว์ก็มีเพียงต้องไปสักครั้งแล้ว แต่บอกเอาไว้ก่อนนะ การเข้าไปในเทือกเขามารสีทองตอนที่ไอมารระเบิดออกอย่างเป็นทางการแล้ว ข้าเองก็มั่นใจแค่เจ็ดแปดส่วน ว่าจะพาพวกเจ้าไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย แต่หากบังเอิญพบมารอสูรที่แข็งแกร่งอะไรขวางทางไว้ หรือมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น เป็นอันตรายอาจเพลี่ยงพล้ำล่ะก็ ผู้แซ่เย่ว์จะสะบัดหน้าหนีในทันที และยิ่งไปกว่านั้นของเหลววิญญาณมรกตอีกครึ่งขวดที่เซียนสัญญาเอาไว้ ก็ยังคงต้องจ่ายตามเดิม” เย่ว์จงดูเหมือนจะเอ่ยเตือน

 

 

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นสิง่ที่ข้าตกลงกับพี่เย่ว์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลง” เซียนเซียนฉีกยิ้มอ่อนช้อยขณะเอ่ย

 

 

“ทว่าเขาว่าท่านเซียนดูเหมือนว่าจะไม่ได้บอกเรื่องไอมารระเบิดกับท่านอาวุโสหาน ถึงยามนั้นจะไม่เกิดปัญหาอะไรสินะ?” เย่ว์จงพยักหน้า จากนั้นก็หรี่ตาทั้งสองข้างพลางเอ่ยถาม

 

 

“สาเหตุที่ข้าพาท่านอาวุโสหานไปด้วย ก็เพราะต้องการอาศัยอิทธิฤทธิ์ทางสายมารของท่านอาวุโสหาน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการระเบิดของไอมาร หากแม้แต่พี่เย่ว์ก็ยังไม่อาจนำพวกเราเข้าออกเทือกเขามารสีทองได้อย่างปลอดภัย ต่อให้บอกท่านอาวุโสหานก็มีผลลัพธ์เช่นเดิม อีกอย่างเมื่อเข้าไปในเทือกเขา ท่านอาวุโสหานย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่แค่จะรู้ช้าหรือเร็วหน่อยเท่านั้น” หญิงสาวเผ่าผลึกกะพริบดวงตาคู่งาม เผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ขณะเอ่ย

 

 

“นั่นมันก็ใช่ ทว่าหากบอกเร็วหน่อย เกรงว่าท่านเซียนเซียนคงไม่อาจเชิญท่านอาวุโสหานผู้นี้ได้ในราคาค่าตอบแทนแค่นี้สินะ” เย่ว์จงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา เผยสีหน้ารู้ทันขณะเอ่ย

 

 

มุมปากของเซียนเซียนหยักขึ้น ฉีกยิ้มไม่ได้เปล่งคำพูดใดๆ

 

 

จากนั้นเย่ว์จงและหญิงสาวเผ่าผลึกก็พูดคุยรายละเอียดกันเล็กน้อย แล้วก้าวเข้าไปในเขตอาคมส่งตัวถูกส่งออกมาเช่นกัน

 

 

ชั่วพริบตาในห้วงมิติเวลาจึงเหลือท่านเซียนเซียนเพียงผู้เดียว

 

 

รอยยิ้มที่เผยออกมาบนใบหน้าของหญิงสาวเผ่าผลึกค่อยๆ หายวับไป และยิ่งไปกว่านั้นคิ้วดำขลับยังเลิกขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

ฉับพลันนั้นแขนเสื้อของนางพลันสะบัด ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพลันบินออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วกลายเป็นอสูรน้อยสีเขียวอ่อนขนาดเท่ากำปั้นตัวหนึ่ง

 

 

อสูรตัวน้อยเรือนกายเต็มไปด้วยเกล็ด แขนขาทั้งสี่แหลมคม ในเวลาเดียวกันบนหัวก็เขาคู่หนึ่ง เขี้ยวงอกออกมาจากปาก คาดไม่ถึงว่ามีท่าทางเหมือนกับจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนอย่างไรอย่างนั้น

 

 

แต่แค่อสูรน้อยตัวนี้เรือนร่างรางเลือนมาก กลับเป็นร่างที่ไร้รูปร่าง ท่าทางแค่ถูกลมพัดก็สลายหายไปแล้ว