“เจ้ามั่นใจว่าที่นั่นจะเปิดในอีกสองปีหรือ? อย่านับวันผิดล่ะ ขอแค่นับวันผิดไปสองสามปี ข้าก็เสี่ยงอันตรายอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว และยังพลาดโอกาสดีๆ ไปด้วย” เซียนเซียน มองเงาลวงตากิเลนตรงหน้า และเอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม

 

 

“อันใด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อข้างั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ที่ข้าชี้แนะเจ้าเคยผิดพลาดหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้าได้ประโยชน์จากซากปรักหักพังจากอีกแห่งหนึ่งที่บอกก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้หรอก จากพรสวรรค์เผ่าผลึกของพวกเจ้า ฝึกฝนมาถึงขั้นนี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี ในสายตาคนเผ่าเจ้าก็นับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว” เงาลวงตากิเลนชูคอขึ้น พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

 

 

“ตั้งแต่ที่ข้าถือกำเนิด เจ้าและข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน หากข้าเป็นอะไรไป เจ้าก็ต้องวิญญาณแหลกสลายเช่นกัน จะไม่เชื่อถือเจ้าได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นแค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนในตอนนั้น หากจำผิดหรือลืมอะไรไป ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ข้าเลยรู้สึกไม่ค่อยเชื่อถือเท่านั้น” หญิงสาวเผ่าผลึกจ้องเขม็งไปยังกิเลนขนาดจิ๋วตรงหน้า แล้วเอ่ยอย่างไม่โกรธาเลยสักนิด

 

 

“ใช่แล้ว! ข้าเป็นแค่หนึ่งในเศษเสี้ยววิญญาณของจิตวิญญาณเที่ยงแท้กิเลนที่ระเบิดตัวเองตัวนั้น แต่ตอนนั้นเขาถูกศัตรูบีบจนต้องเพลี่ยงพล้ำ ต่อให้ไม่ระเบิดตัวเองจิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่อาจหนีรอดออกมาได้เช่นกัน แม้ว่าสุดท้ายจะสำแดงอิทธิฤทธิ์เหนือชั้น แยกจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมากกว่าแสนส่วน แต่เพื่อจะฟื้นคืนชีพ วันข้างหน้าจะได้มีโอกาสฝึกบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง จึงทิ้งข่าวสารสำคัญอย่างสมบูรณ์แบบเอาไว้ในทุกๆ เศษเสี้ยวจิตวิญญาณ รังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดเหล่านั้น วางใจเถิด ไม่มีทางผิดพลาดแน่” กิเลนจิ๋วหัวเราะฮ่าๆ ขณะเอ่ย

 

 

“แน่นอน ข้าฝึกฝนมาจนถึงระดับนี้ ต้องขอบคุณที่ตอนเจ้าสิงร่างข้านั้นข้ายังเป็นทารกในครรภ์อยู่ ทว่าเงากิเลนทำเช่นนั้นในตอนแรก เดิมก็เพื่อถือโอกาสอาศัยทารกในครรภ์เพื่อถือกำเนิด แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสุดท้ายเจ้าทำเสร็จได้อย่างไร ถึงอย่างไรเสียก็กลายเป็นครึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณข้าแล้ว แต่ตอนนั้นเจ้าไม่ได้มีเจตนาดีอะไรกับข้า” เซียนเซียน แววตาเปล่งประกาย เบะปากขณะเอ่ย

 

 

“เหตุใดยังเอ่ยเรื่องนี้อีก! สุดท้ายข้าก็ทำสำเร็จมิใช่หรือ! และเพราะข้าโชคร้าย คาดไม่ถึงว่าจะสิงร่างเจ้า มิเช่นนั้นหากข้าไปหาคนอื่นในตอนนั้นล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นอิสระได้ตั้งนานแล้ว” กิเลนจิ๋วได้ฟังผิวก็เปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะอารมณ์เสียอย่างสุดๆ

 

 

“ช่างเถิด เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้สถานการณ์ของเจ้าในตอนนั้นหรือ ตอนนั้นข้าถือกำเนิดในหมู่บ้านเล็กๆ ของเผ่าผลึก ผู้ที่ยังไม่ได้ถือกำเนิดเป็นทารก ก็มีข้าเพียงคนเดียว เจ้าแค่คิดว่าตอนนั้นจิตวิญญาณและสติปัญญาของข้ายังไม่สมบูรณ์ จึงคิดจะยึดครองร่างข้าอย่างสบายๆ นั่นคือความจริง” เซียนเซียนกลับหัวเราะคิกคักออกมา

 

 

“ตอนนั้นข้าหนีออกมาได้ พลังของจิตวิญญาณก็ใกล้จะหมดแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องหาร่างสิงที่ง่ายที่สุด มิเช่นนั้นหนึ่งในเศษเสี้ยวจิตวิญญาณวิญญาณเที่ยงแท้ การยึดครองร่างของเผ่าผลึกที่โตเต็มวัย ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ง่ายดาย เหตุใดต้องมาหาเจ้า” กิเลนจิ๋วหัวเราะหึๆ ออกมา แล้วเอ่ยอย่างจนปัญญา

 

 

“เอาล่ะ เจ้าและข้าไม่ต้องพูดถึงเรื่องในวันนั้นแล้ว แม้ว่าเจ้าจะเกิดใหม่ไม่สำเร็จ แต่ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้ การเข้าไปในรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในครั้งนี้ล้วนมีประโยชน์ต่อเราทั้งสองในเวลาเดียวกัน อย่าให้มีอะไรผิดพลาด มิเช่นนั้นก็ต้องรให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น แล้วค่อยไปหารังจิตวิญญาณเที่ยงแท้นั่นอีกครั้ง แม้ว่าจะบอกว่าต้องรอนาน แต่ก็ดีกว่าตอนนี้ที่ต้องเข้าไปในเทือกเขามารสีทองกับผู้ที่มีพลังยุทธ์เหนือกว่าตนเองสองคน” หญิงสาวเผ่าผลึกเอ่ยอย่างมีแผนการ

 

 

“พรสวรรค์เผ่าผลึกอย่างพวกเจ้าไม่สูงนักจริงๆ แม้ว่าจะมีข้าชี้แนะ ประกอบกับกินยาลูกกลอนไปจำนวนมาก หากอยากพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ค่อยจะเป็นไปได้นัก แต่เจ้าเสียเวลาไปนานขนาดนี้ กลับได้ไม่คุ้มเสีย แต่จะว่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ถูกมารอสูรระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับบาดเจ็บหนักยึดครองเข้าพอดี แม้ว่าเจ้าจะเสี่ยงอันตรายสักหน่อย แต่ไปคนเดียวจะมั่นคงกว่า”

 

 

คำพูดของเงาลวงตากิเลนหยุดชะงัก แล้วเอ่ยต่อ

 

 

“วางใจเถิด เจ้าไม่ได้เตรียมวิธีการควบคุมสองคนนั้นไว้แล้วหรือ หากพวกเขาไม่มีเจตนาอื่นก็ดี หากมีล่ะก็ ก็สำแดงวิธีการเหล่านั้นออกมา แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ ที่ระดับสูงกว่าเจ้าสองสามขั้น แต่หากไม่ทันระวังตัวก็ยากที่จะต้านทานแน่”

 

 

“สิ่งมีชีวิตธรรมดา! ความหมายของเจ้าคือในบรรดาสองคนนี้มีผู้ที่ไม่ธรรมดาแล้ว วิธีการเหล่านั้นคงไม่พลาดหรอกนะ” หญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้ฉลาดเป็นกรด ชั่วพริบตาก็ฟังอะไรออก สีหน้าหวาดกลัว

 

 

“เจ้าและสองคนนั้นล้วนเคยคบค้ากันแค่สองครั้ง แม้ว่าข้าจะซ่อนอยู่ในร่างของเจ้า แต่ก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้ กลิ่นอายบนร่างของเย่ว์จงนั้นบางครั้งก็แข็งแกร่งบางครั้งก็อ่อนแอ ราวกับไม่มีอยู่จริง ในเวลาเดียวกันที่เข้าใกล้หว่างคิ้วจะมีจิตสังหารแผ่ออกมาจากเรือนร่าง หากข้าดูไม่ผิดล่ะก็ เขาน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาอันบ้าคลั่งอย่างหารอำพรางและการสังหารเป็นหลัก แน่นอนว่าน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาลับอื่นๆ ไปด้วย มิเช่นนั้นคงไม่อาจเข้าออกเทือกเขามารสีทองได้อย่างอิสระเช่นนี้ ทว่าเมื่อนำเย่ว์จงมาเทียบกับเจ้าผู้ที่มีนามว่าหานลี่ ก็แค่พิเศษเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เพียงพอให้หวาดกลัว คนหลังไม่เพียงมีพลังยุทธ์เหนือกว่าเย่ว์จง ยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาและความสามารถล้วนไม่ธรรมดา แม้แต่ข้าก็ยังรู้สึกได้ว่าอันตราย ทว่าวิธีควบคุมพวกเขาที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้า ล้วนเป็นวิธีที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว โดยเฉพาะวิธีการรักษาชีวิต ยิ่งไม่สามารถคาดการณ์ได้ แม้ว่าเมื่อต่อสู้กันจะไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ แต่หากจะรักษาชีวิตเอาไว้นั้นกลับเป็นเรื่องที่ทำได้สบายๆ” กิเลนจิ๋วใช้น้ำเสียงมั่นใจเอ่ยขึ้น

 

 

“ในเมื่อเงากิเลนกล่าวเช่นนี้ ข้าก็สบายใจแล้ว ทว่าเทียบกันแล้ว ข้ากลับกังวลอีกเรื่องหนึ่ง” เซียนเซียนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แววตาเปล่งประกายขณะเอ่ย

 

 

“อ๋อ มีปัญหาอะไร?” กิเลนจิ๋วสะบัดหัวสะบัดหาง ท่าทางอยากรู้อยากเห็น

 

 

“ตอนนั้นที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของกิเลนตัวนั้นระเบิดตัวเองออก สามารถแยกจิตวิญญาณได้เป็นแสนดวงแล้วหลบหนีได้ สุดท้ายผู้ที่หนีออกมาได้คงไม่ได้มีเจ้าเพียงดวงเดียวสินะ คนเหล่านี้ก็รู้ตำแหน่งของรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้เช่นกัน ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ที่นั่นไม่ถูกใครเปิดไปแล้วหรือ ประโยชน์ในนั้นอาจจะถูกคนชิงไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่สุดท้ายพวกเราก็ไปอย่างเปล่าประโยชน์นะ” เซียนเซียนเอ่ยสิ่งที่ไตร่ตรองออกมาทีละประโยคๆ

 

 

“ตอนนั้นแม้ว่าจะแยกจิตออกมาจำนวนมาก แต่ที่หนีออกมาได้จริงๆ ก็มีเพียงไม่กี่ดวง ที่เหลือก็สิงร่างไม่สำเร็จและเกิดอุบัติเหตุอื่นๆ จะยังมีจิตวิญญาณอื่นอยู่หรือไม่ ก็พูดยาก ผ่านมานานขนาดนี้ต่อให้มีก็เหมือนกันกับข้า มีบุคลิกเป็นของตนเองแล้ว ผู้ใดก็ไม่มีทางถูกกลืนกินไปง่ายๆ ทว่าก่อนที่จะเปิดรังของจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ข้ารู้สึกว่าความเป็นไปได้มันมีไม่มากนัก!” เงาลวงตากิเลนเสียงเปลี่ยนไป พลางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

 

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ขอแค่ได้ประโยชน์ในรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้ การฝึกฝนในอนาคตก็น่าจะยาวไกลแล้ว” เซียนเซียนเอ่ยพึมพำกับตนเอง

 

 

“หึๆ นั่นมันก็ใช่ มิเช่นนั้นข้าจะเก็บรักษาข่าวนี้เอาไว้อย่างชัดเจนได้อย่างไร” เงากิเลนเอ่ยเตือน

 

 

ครั้งนี้เซียนเซียน ฉีกยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ

 

 

เงาลวงตากิเลนขนาดจิ๋ววงล้อมรอบหญิงสาวผู้นี้สองสามรอบ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า

 

 

“เอาล่ะ ผู้ที่มีนามว่าหานลี่ผู้นั้น จิตสัมผัสไม่อ่อนแอ วันข้างหน้าตอนที่เดินทางไปกับเขา ไม่จำเป็นก็อย่าติดต่อกับข้า เพื่อไม่ให้ถูกเขาดูอะไรออก หากจะปรากฏตัวอีกครั้ง ทางที่ดีที่สุดก็คือตอนที่อยู่ในรังจิตวิญญาณเที่ยงแท้แล้ว”

 

 

จากนั้นเงาลวงตากิเลนก็กระโจนเข้าไปในร่างของหญิงสาวเผ่าผลึก ชั่วขณะนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้เงา

 

 

หญิงสาวผู้นี้ถอนหายใจออกมาเบาๆ ร่างกายพลิ้วไหว เดินเข้าไปในเขตอาคมส่งตัวเช่นกัน

 

 

โบกมือไปมาในจานอาคม เงาอันงดงามหายวับไปท่ามกลางลำแสงที่เปล่งแสงสว่างวาบ

 

 

สามวันต่อมาบนภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเมืองเมฆา ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง สวมชุดคลุมสีเขียว สองมือไหล่หลังกำลังยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์ตรงยอดเขา พลางมองทัศนียภาพอันเขียวขจีตรงหน้า

 

 

ร่างกายของเขาไม่ไหวติง สีหน้าราบเรียบ

 

 

นั่นก็คือหานลี่ที่นัดไว้ว่าจะมาที่นี่

 

 

เขามาถึงที่นี่สักพักแล้ว ยามนี้ท้องฟ้าเพิ่งจะสาดแสงเจิดจ้าได้ไม่นาน ดูแล้วคงมาเช้าไปหน่อย

 

 

ทว่าเขาเองนานๆ จะมีเวลาว่างเช่นนี้สักครั้ง หลังจากสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปสองสามครั้ง ก็อารมณ์ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เลวนัก

 

 

หานลี่ไม่ได้รออยู่นานนัก หลังจากรออยู่อีกครึ่งชั่วยาม เขาก็ชักสีหน้า หันหน้าไปมองกลางอากาศ

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ท้องฟ้าก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น สายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลังจากกะพริบวาบสองสามครา ก็ร่อนลงด้านข้างหานลี่

 

 

เงาร่างคนสายหนึ่งหม่นแสงลงแล้วปรากฏขึ้น กลับเป็นเย่ว์จงผู้นั้น!

 

 

“คารวะท่านอาวุโสหาน ปล่อยให้ท่านอาวุโสรอนานแล้ว” เย่ว์จงคารวะหานลี่ เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าตั้งใจมาเร็วหน่อยเท่านั้น” หานลี่สั่นศีรษะ มองความผิดปกติบนใบหน้าไม่ออกเลยสักนิด

 

 

เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ เย่ว์จงก็ฉีกยิ้ม แล้วหาที่ที่สะอาดๆ แถวนั้นนั่งสมาธิลง

 

 

หานลี่ยังคงยืนเหม่อมองอยู่บนก้อนหินยักษ์ ไม่ได้มีเจตนาจะลงมา

 

 

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งมื้ออาหาร หญิงสาวนามว่าเซียนเซียนก็มาถึงเช่นกัน

 

 

เมื่อนางกลายเป็นลำแสงสีขาว ร่อนลงจากกลางอากาศนั้น หานลี่ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย

 

 

ส่วนเย่ว์จงก็ยืนขึ้น

 

 

“ท่านเซียนเซียนมาถึงแล้ว เช่นนั้นล่ะก็คนก็ครบแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถิด” หานลี่รอให้หญิงสาวเผ่าผลึกปรากฏตัว ก็เอ่ยขึ้นเสียเลย

 

 

จากนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ

 

 

เย่ว์จงและเซียนเซียนเห็นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมไล่ตามไปติดๆ โดยไม่ปริปากใดๆ

 

 

ระยะทางหนึ่งเดือนจะกล่าวว่ายาวก็ไม่ยาว จะกล่าวว่าสั้นก็ไม่สั้น ประกอบกับบวกเวลาที่เข้าไปในเทือกเขามารสีทองอีกหนึ่งเดือน

 

 

ดังนั้นหากเดินทางอย่างราบรื่น สามเดือนต่อจากนี้ พวกเขาก็กลับมาถึงเมืองเมฆาอีกครั้ง

 

 

หานลี่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ควบคุมลำแสงหลีกหนีห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม

 

 

ระหว่างทางนั้นปลอดภัยไร้อันตราย!

 

 

หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามคนบินผ่านเทือกเขานิรนามที่ทอดตัวเรียงติดกันไปผืนหนึ่ง ตรงหน้ามีทะเลหมอกไร้ขอบเขตที่ก่อตัวขึ้นจากหมอกสีเขียวทอดยาวอยู่

 

 

“นี่คือทะเลหมอกสีเขียวเขตต้องห้ามของเทือกเขามารสีทอง และเป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียวของเทือกเขามารสีทอง หากอยากบุกเข้าไปทางอื่นล่ะก็ หึๆ แน่นอนว่าย่อมมีแต่ต้องตายเพียงเท่านั้น” เย่ว์จงเห็นทะเลหมอกนี้ แววตาก็เปล่งประกายขณะเอ่ย น้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจ