หานลี่ยืนอยู่ด้านข้างเย่ว์จงสายตามองไปยังทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไป เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

 

 

เซียนเซียน เห็นสถานการณ์ตรงหน้า แววตาพลันฉายแววเร่าร้อน

 

 

จากนั้นทั้งสามก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี ตรงเข้าไปหาทะเลหมอกที่อยู่ไกลออกไปโดยมีเย่ว์จงเป็นผู้นำทาง

 

 

ทะเลหมอกที่ดูเหมือนใกล้ความจริงแล้วไกล ทั้งสามคนใช้ความเร็วไม่เชื่องช้า ก็ยังคงใช้เวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา ถึงจะเข้าใกล้มันได้จริงๆ

 

 

หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

 

 

เดิมทีอยู่ไกลออกไปไม่ทันสังเกตยามนี้เข้าใกล้แล้วคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงอึกทึกมาจากทะเลหมอกสีเขียว ราวกับว่าด้านในกำลังมีเสียงฟ้าคำรนฝนคำราม ท่าทางน่าตกตะลึง

 

 

ฉับพลันนั้นเย่ว์จงที่กลายเป็นลำแสงสีโลหิตพลันหยุดชะงัก หยุดลงตรงหน้าหมอกสีเขียว และปรากฏกายขึ้น

 

 

มือหนึ่งพลิกฝ่ามือในมือมีแผ่นป้ายสีทองอีกแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น ชูขึ้นลำแสงสีทองสายหนึ่งจมหายเข้าไปในหมอกหนาทึบอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ชั่วขณะนั้นหมอกหนาทึบที่เดิมทียื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าเมื่อลำแสงสีทองกวาดผ่านไปก็ทยอยกันเปิดทางออก กลายเป็นทางเดินตามธรรมชาติสายหนึ่ง

 

 

“สหายทั้งสองตามมาให้ดี อย่าออกจากเส้นทางเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะเป็นปัญหาไม่น้อย” เย่ว์จงกำชับ แล้วขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีตรงไปด้านหน้าอีกครั้ง

 

 

แม้จะไม่รู้ว่าหากบินออกจากเดินทาง เข้าไปในหมอกสีเขียวจริงๆ จะเปิดปัญหาอะไร แน่นอนว่าหานลี่ก็ไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวโดยใช่เหตุนี้ แค่ตามหลังเย่ว์จงไปอย่างเงียบๆ

 

 

กลับเป็นเซียนเซียน ที่แม้ว่าจะบินเข้ามาในทางเดินเช่นกัน แต่กลับทนไม่ไหวเอ่ยปากถามท่ามกลางลำแสงหลีกหนีว่า

 

 

“ก่อนหน้านี้หน้าหญิงเคยมาเทือกเขามารสีทองครั้งหนึ่ง หากจำไม่ผิดล่ะก็ พวกเราควรไปที่อื่นก่อนใช่หรือไม่”

 

 

“หากเป็นคนธรรมดาแน่นอนว่าย่อมต้องไปอีกที แต่ข้าน้อยมีชื่อเสียงในที่นี่แล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องยุ่งยากปานนั้น” เย่ว์จงกลับสั่นศีรษะขณะตอบกลับ

 

 

เมื่อได้ฟังอีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ เซียนเซียน ย่อมปิดปากเงียบไม่ปริปากใดๆ

 

 

ภายใต้การนำทางด้วยลำแสงสีทองอยู่ตรงหน้า ชั่วพริบตาทั้งสามคนก็บินเข้ามาในทะเลหมอกได้สิบลี้เศษ

 

 

ฉับพลันนั้นแววตาของหานลี่พลันเปล่งแสงสว่างวาบ ห่างออกไปด้านล่างสองสามลี้ มีสิ่งปลูกสร้างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ

 

 

เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้นนั้นก็มองเห็นอย่างชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะเป็นห้องหินน้อยใหญ่นับร้อยหลัง แบ่งออกเป็นสองฝั่งกลายเป็นเมืองแคบยาวเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

 

ส่วนใจกลางของเมืองมีหอคอยยักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งอยู่หอหนึ่ง แบ่งออกเป็นห้าชั้น สร้างขึ้นจากศิลายักษ์สีเขียวเทา ดูแล้วสะดุดตามาก

 

 

บนถนนของหมู่บ้านดูเหมือนว่าจะคนกำลังสัญจรไปมา แต่จำนวนคนกลับไม่มากนัก

 

 

เย่ว์จงตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา แล้วพุ่งตรงไปยังหอคอยที่อยู่ตรงใจกลางของหมู่บ้าน

 

 

หานลี่และเซียนเซียน ย่อมไล่ตามไปติดๆ

 

 

เมื่อลำแสงหลีกหนีหม่นแสง ทั้งสามคนก็แทบจะมาปรากฏหน้าหอคอยยักษ์พร้อมกัน

 

 

ยามนี้หานลี่กวาดสายตาไป แล้วถึงได้มองเห็นอย่างชัดเจน

 

 

บนประตูยักษ์สูงสองสามจั้งของหอคอยมีแผ่นป้ายแขวนเอาไว้ ด้านบนเขียนตัวอักษรโบราณตวัดๆ เอาไว้ว่า ‘หอเมฆาอัสนี’

 

 

“สหายทั้งสองตามข้ามาเถิด ที่นี่คือที่รับแผ่นป้ายเขตต้องห้าม คิดดูแล้วท่านเซียนเซียนน่าจะเคยมาครั้งที่แล้วสินะ” เย่ว์จงฉีกยิ้มให้หญิงสาวเผ่าผลึกขณะเอ่ย

 

 

“ใช่แล้ว ทว่าตอนที่ข้ามาครั้งที่แล้ว ยังต้องไปซื้อ ‘แผ่นป้ายแยกเมฆา’ อีกที่ ถึงจะเข้ามาที่นี่ได้” เซียนเซียน พยักหน้า

 

 

“แผ่นป้ายแยกเมฆาที่ท่านเซียนได้ไป เป็นแค่ของชั่วคราว หากเกินหนึ่งเดือน ก็หมดประสิทธิภาพทันที เมื่อครู่สมบัติที่ข้าใช้แยกเมฆา กลับเป็นสมบัติที่ใช้ซ้ำได้ นี่เป็นสิ่งที่ท่านอาวุโสผู้ที่รับหน้าที่ดูแลที่นี่คนหนึ่งมอบให้ผู้แซ่เย่ว์ที่มักจะเข้าออกเทือกเขามารสีทองอยู่หลายครั้ง ทว่าหมอกชั้นนอกเหล่านั้น แม้จะยุ่งยากไปหน่อย แต่หากหลงเข้าไปก็ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต และยิ่งไปกว่านั้นขอแค่ติดอยู่ในนั้นเดือนสองเดือน แน่นอนว่าย่อมถูกคนของที่นี่นำตัวออกมา แต่ตอนนี้พวกกเราต้องเข้าไปเอา ‘ธงขจัดอัสนี’ ถึงจะสามารถเข้าไปในเทือกเขามารสีทองอย่างแท้จริงได้ เขตต้องห้ามอัสนีเทวะเหล่านั้นแม้แต่ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจบุกเข้าไปได้” เย่ว์จงอธิบายสองประโยค แล้วสาวเท้าก้าวเข้าไปในหอคอย

 

 

เมื่อประตูหอคอยเปิดออกมาสู่ด้านนอก ชั้นหนึ่งดูแล้วว่างเปล่า ดูเหมือนว่าจะมีคนมาที่นี่น้อยมาก

 

 

หานลี่ได้ฟังคำพูดของเย่ว์จงจบก็พยักหน้า เดินเข้าไปเช่นกัน

 

 

เซียนเซียน เดินตามหลังหานลี่ไป

 

 

ชั่วพริบตาทั้งสามคนก็เดินเข้ามาในประตูใหญ่ของหอคอย

 

 

ชั้นหนึ่งนอกจากโต๊ะเก้าอี้สองสามตัวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก ดังนั้นทั้งสามจึงเดินไปขึ้นบันไดด้านข้างไป

 

 

ชั้นสองนั้นว่างเปล่า

 

 

ทั้งสามแทบจะตรงไปชั้นสามโดยไม่หยุดพักเลยสักนิด

 

 

ทางเข้าชั้นสามกลับมีม่านลำแสงสีขาวอ่อนชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่ตีนบันได

 

 

เยว์จงกลับดูเหมือนมองไม่เห็นม่านลำแสงนี้ ร่างกายพลิ้วไหว เดินผ่านไป

 

 

หานลี่เลิกคิ้วขึ้น จมหายเข้าไปในม่านลำแสงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นกัน

 

 

ม่านลำแสงนี้ไม่มีเจตนาขวางกั้นใดๆ ดังคาด

 

 

แต่เมื่อหานลี่มาปรากฏตัวที่อีกด้านของม่านลำแสง สีหน้ากลับเปลี่ยนสี

 

 

ด้านบนบันไดมีเสียงเอะอะดังขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยอยู่ที่ชั้นสาม

 

 

เย่ว์จงและเซียนเซียน ย่อมได้ยินเสียงนี้เช่นกัน ทั้งสองล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

 

 

ทว่าเย่ว์จงกลับมีสีหน้าผ่อนคลายดังเดิมในพริบตา และเดินขึ้นไปต่ออย่างเยือกเย็น

 

 

เสียงด้านบนหยุดชะงัก ดูแล้วคงพบการปรากฏตัวของเย่ว์จงแล้ว

 

 

และในยามนั้นหานลี่ถึงได้เดินมาถึงชั้นสามด้วยสีหน้าราบเรียบ

 

 

ชั้นสามไม่นับว่ากว้างใหญ่นัก มีความกว้างแค่ยี่สิบจั้งเศษ ยามนี้กลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

 

 

ชนต่างเผ่าสวมอาภรณ์หลากหลายสามสิบกว่าคนกำลังนั่งสมาธิอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่าของชั้นสาม

 

 

ชั้นนี้นอกจากโต๊ะหินทรงกลมตรงกลางแล้ว บนพื้นก็เป็นฟูกขาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันใต้ก้นของพวกเขา

 

 

หานลี่แลพวกทั้งสามมาปรากฏตัวที่ชั้นนี้ สายตาของคนเหล่านี้ย่อมมองมาเป็นตาเดียว

 

 

“เอ๋ พี่ใหญ่เย่ว์!”

 

 

“สหายเย่ว์ก็มาแล้ว”

 

 

“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่เย่ว์ไม่มีทางละทิ้งโอกาสเช่นนี้แน่”

 

 

……

 

 

ทั้งสามสิบกว่าคนนี้เห็นเย่ว์จงอย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นคนกว่าครึ่งก็ทักทายด้วยความกระตือรือร้น หนึ่งในนั้นมีผู้ที่พลังยุทธ์สูงกว่าเย่ว์จงเสียอีก

 

 

คนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักเย่ว์จง เมื่อได้ยินชื่อของเย่ว์จง คงจำนวนไม่น้อยก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที บางคนก็เปลี่ยนเป็นสายตาไม่เป็นมิตร

 

 

ดูแล้วแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักเย่ว์จง แต่ชื่อเสียงของเย่ว์จงก็เป็นที่คุ้นหูในเทือกเขามารสีทอง

 

 

ทว่าชนต่างเผ่าที่ได้ยินชื่อเย่ว์จงแล้วยังมีท่าทีไม่สะทกสะท้าน ก็มีอยู่สี่ห้าคน

 

 

พวกเขาแค่พิจารณาหานลี่และพวกทั้งสามคนขึ้นลงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

 

 

หานลี่กวาดจิตสัมผัสออกไป แล้วพึมพำอยู่ในใจ

 

 

ที่นี่คนส่วนใหญ่อยู่ในระดับเทพแปลงขึ้นไป หนึ่งในนั้นมีระดับสูญสุญตาอยู่มากกว่าครึ่ง ระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอดก็มีอยู่สามคน

 

 

และยังมีคนที่ถูกอะไรสักอย่างปิดบังพลังปราณเอาไว้ เขาจึงไม่อาจคาดเดาพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายได้

 

 

ไม่เหมือนกับหานลี่ เซียนเซียน เห็นเย่ว์จงมีชื่อเสียงที่นี่ขนาดนี้ ดวงตาสดใสก็กลอกไปมา

 

 

“อาวุโสเหยี่ยนก็อยู่ที่นี่? หรือว่าเทือกเขามารสีทองเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” เย่ว์จงคารวะให้กับผู้ที่รู้จักก่อน สุดท้ายสายตาก็ตกอยู่บนร่างชายชราร่างกายผ่ายผอมผมสีเทาขมุกขมัว กล่าวเข้าไปเอ่ยทักทายด้วยความเคารพทันที

 

 

ชายชราผู้นี้คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตระดับสูญสุญตาทั้งสามคน ใช้สายตาอ่อนโยนมองมาทางเย่ว์จง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับมีความสัมพันธ์อันดีกับเย่ว์จงมากกว่าผู้อื่น

 

 

“อันใด หลานเย่ว์ไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้หรือ ไม่อยากเข้าไปในเทือกเขามารสีทองงั้นหรือ?” ชายชราผมสีเทาได้ยินคำถามของเย่ว์จง ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา และถามย้อนกลับ

 

 

“ชนรุ่นหลังจะเข้าในเทือกเขามารสีทอง แต่กลับเพราะสาเหตุอื่น ตอนนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เทือกเขาพ่นไอมารออกมา เหตุใดถึงมีคนมารวมตัวกันจำนวนมากถึงเพียงนี้ หรือว่าล้วนอยากยื่นใบสมัคร คนของร่มขจัดอัสนี? นี่มันแปลกไปหน่อยแล้ว” สายตาของเย่ว์จงกวาดไปยังผู้ที่ไม่รู้จัก แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“ไม่ใช่เพราะอยากเข้าไปในเทือกเข้า ผู้ใดจะมาที่นี่ ส่วนเหตุผลนั้นก็คงต้องเล่ายาว เอ๋ สหายทั้งสองคือ…” ชายชราผู้นั้นพลันถอนหายใจ แต่หลังจากกวาดสายตาไปที่ด้านหลังของเย่ว์จงมองเห็นหานลี่และหญิงสาวเผ่าผลึกสองแวบแล้ว ก็เอ่ยถามด้วยความฉงนสงสัย

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก ท่านอาวุโสหานและท่านเซียนเซียนเป็นสหายที่จะร่วมเดินทางเข้าไปในเทือกเขามารสีทองกับข้าในครั้งนี้ ท่านอาวุโสเยี่ยนมีอะไรก็พูดมาตรงๆ เลย ตอนนี้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องนี้น่าจะมีแค่พวกเราสามคน” เย่ว์จงแนะนำสองประโยค แล้วเอ่ยต่อด้วยความกลัดกลุ้ม

 

 

“นั่นมันก็ใช่ ความจริงแล้วหากกล่าวสั้นๆ ก็นับว่าง่ายมาก สองสามวันก่อนมีคนเห็ดเซียนร่างมนุษย์บุกเข้ามาในหมู่บ้าน และโจมตีผู้บำเพ็ญเพียรไปคนหนึ่ง จากนั้นก็หนีเข้าไปในเทือกเขามารสีทองจากใต้ดิน” หลังจากที่ชายชราขบคิดเล็กน้อยแล้ว ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า

 

 

“เห็ดเซียนร่างมนุษย์? ข้าฟังไม่ผิดสินะ!” เย่ว์จงได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่

 

 

หานลี่และหญิงสาวเผ่าผลึกได้ยินก็มองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

 

 

“ไม่ผิด เป็นเห็ดเซียนไม่ผิดแน่ ตอนที่มันหนีไปนั้น มีคนโจมตีโดนมัน จนได้โลหิตเซียนของมันมาสองสามหยด จึงนำมาแลกกับศิลาวิญญาณก้อนใหญ่ในหมู่บ้าน” ชายชราเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม

 

 

“สมุนไพรวิญญาณแปลงกาย เดิมทีก็หายากมาแล้ว ไม่ใช่ว่าอายุยิ่งมาก ก็จะยิ่งแปลงกายได้ มันต้องอาศัยจังหวะที่หาได้ยาก ถึงจะมีโอกาสฝึกฝนจนแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ดูเหมือนว่าทั้งแดนวิญญาณก่อนหน้านี้จะไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน หากข่าวนี้แพร่ออกไป ที่อื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสะเทือนทั้งเมฆาสวรรค์แน่ เช่นนั้นคนอื่นๆ ถึงได้รีบมาที่นี่” เย่ว์จงถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย

 

 

“พี่ใหญ่เย่ว์กล่าวผิดแล้ว บางทีอีกสักระยะหนึ่ง คนจากภายนอกที่มารวมตัวที่นี่อาจจะมากกว่านี้ แต่ผู้ที่อยู่ค่อนข้างไกลกลับไม่มีโอกาสแล้ว เห็นเซียนนั้นไม่เพียงเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหลีกหนีธรณีและพฤกษา ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนอิทธิฤทธิ์หลีกลี้หนีไกลจากลำแสงแบ่งเงาด้วย” ชายหนุ่มหน้าขาวใสอีกคนหนึ่ง กลับเอ่ยปากแทรกขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ

 

 

“ลำแสงแบ่งเงา! ในเมื่อเห็ดเซียนมีเคล็ดวิชาหลีกหนีในตำนาน เหล่าสหายจะเสี่ยงอันตรายเข้าไปในเทือกเขามารสีทองทำไมกัน? หากมีอิทธิฤทธิ์นี้ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจจับมันได้” เซียนเซียน ฟังมาถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

 

 

“เซียนผู้นี้ไม่รู้อะไร นับว่าเห็ดเซียนต้นนั้นโชคร้าย ผู้บำเพ็ญเพียรที่มันทำร้าย บังเอิญก็เป็นผู้ที่ฝึกฝนเขตอาคมลำแสงปราณแท้สีทองเข้าพอดี แม้ว่าจะถูกมันทำให้ได้รับบาดเจ็บหนักโดยไม่ทันตั้งแต่ แต่ก็โจมตีย้อนกลับไป เขตอาคมลำแสงเองก็โจมตีถูกเห็ดเซียนเช่นกัน ผลคือตอนที่หนีไป แม้ว่าตอนแรกจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ลำแสงแบ่งเงาออกมา แต่ก็สำแดงได้เพียงครึ่งหนึ่ง เขตอาคมลำแสงก็กำเริบ ถูกบีบให้สำแดงตัวออกมา ไม่รู้ว่ามันมีความสามารถอื่นอันใดอีก คาดไม่ถึงว่าจะไม่หวาดกลัวพลังแรงกดจากหมื่นอัสนีของเขตอาคมเมฆาอัสนี ทะลวงผ่านเขตอาคมเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง” ชายหนุ่มหน้าขาวเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก