แต่ครู่ต่อมาชายหนุ่มก็เอ่ยต่ออย่างกระตือรือร้นว่า

 

 

“แต่ผู้ที่ถูกเห็ดทำร้ายกล่าวว่า เขตอาคมจิตวิญญาณสีทองของเขาสามารถกักลำแสงแบ่งเบาของเห็ดเซียนตัวนั้นได้นานสองเดือน และยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะในร่างของเห็ดเซียนมีเขตอาคมนี้อยู่ เขาจึงสามารถหลอมจานอาคมที่สามารถแกะรอยเห็ดเซียนได้ ขอแค่เข้าใกล้เห็ดเซียนในระยะร้อยลี้ ก็จะสามารถพบร่องรอยของมันได้ทันที เคล็ดวิชาหลีกหนีและเคล็ดวิชาอำพรางกายของเห็ดเซียนตัวนี้น่าตกตะลึงนัก และยังมีความสามารถพิเศษอีก แต่วิธีการต่อสู้ของมันกลับไม่ค่อยล้ำเลิศนัก ประกอบกับได้รับบาดเจ็บอยู่ คิดดูแล้วคงไม่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขามารสีทองแน่ คงทำได้เพียงแอบซ่อนตัวอยู่รอบนอก เช่นนั้นเดือนนี้จึงเป็นโอกาสดีในการไล่จับมัน ผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของพวกเราชั่วคราว เดิมทีคิดว่าจะไม่เข้าไปในเทือกเขาในช่วงที่พ่นไอออกมาร แต่ตอนนี้มีเรื่องดีๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องอยากเข้าไปเสี่ยงดวงสักครั้ง ส่วนคนที่อยู่ไกลหน่อย แม้ว่าจะรีบมาก็พลาดช่วงเวลางามๆ ไปแล้ว” หานลี่และพวกทั้งสามได้ฟังรายละเอียดเช่นนี้ ถึงได้ถึงบางอ้อขึ้นมา

 

 

เย่ว์จงครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงเอ่ยอย่างระมัดระวังรอบคอบ

 

 

“แม้ว่าสมุนไพรวิญญาณร่างมนุษย์จะหายากมาก แต่สรรพคุณหลังจากกินเข้าไปแล้วผู้ใดก็ไม่เคยบันทึกเอาไว้ และไม่จำเป็นต้องไปเปรียบกับยาสมุนไพรระดับสุดยอด ทว่าสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้ เป็นสิ่งที่หายากในตำนานเท่านั้น เช่นนั้นล่ะก็ ไม่เท่ากับสามารถดึงดูดคนจำนวนมากให้ยอมเข้าไปในเทือกเขายามที่ไอมารพ่นออกมาในระยะเวลาสั้นๆ หรือ ถึงอย่างไรเสียการเข้าไปในช่วงเวลานี้ อันตรายก็มากกว่าปกติสองสามส่วน แม้ว่าจะแค่เคลื่อนไหวที่รอบนอก ก็มีโอกาสพบมารอสูรที่แข็งแกร่งมากได้”

 

 

“พี่เย่ว์ไม่รู้อะไร หลังจากที่เห็ดเซียนปรากฏตัว หมู่บ้านของเราก็มีอาวุโสระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น และยอมใช้ยาลูกกลอนมหัศจรรย์สามเม็ดและดอกบัวมรกตหมื่นปีสามต้น ประกอบกับศิลาวิญญาณจำนวนมาก แลกกับเห็ดเซียนต้นนี้ และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สนใจว่าเป็นหรือตาย ตอนนี้อาวุโสผู้นี้ก็พักอยู่ในหมู่บ้าน และกล่าวว่าจะรอจนกว่าการเปิดเทือกเขามารสีทองหนึ่งเดือนจบลง ถึงจะจากไป ใช่แล้ว โลหิตเห็ดเซียนสองสามหยดนั้นท่านอาวุโสผู้นี้ก็เป็นผู้ซื้อเอาไว้” หญิงสาวชาววังหน้าตาสะสวยอีกคนเอ่ยอธิบายขึ้น

 

 

“ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์?” ครั้งนี้กลับเป็นหานลี่ที่เอ่ยถามด้วยความตกตะลึง

 

 

“ใช่แล้ว ท่านอาวุโสผู้นี้แซ่กู่ พลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา ดูแล้วไม่เหมือนกับคนของเมฆาสวรรค์ของพวกเรา” หญิงสาวสวมชุดชาววังมองหานลี่สองสามแวบ รู้สึกว่าไม่สะดุดตาเลยสักนิด ก็ตอบกลับอย่างราบเรียบ

 

 

“ดูแล้วความจริงแล้วคนที่นี่ทำก็เพื่อค่าตอบแทนที่สูงลิบของอาวุโสกู่ผู้นี้สินะ” เซียนเซียน ฟังมาจนถึงตอนนี้ก็ฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย

 

 

“ผู้บำเพ็ญเพียรที่มาที่นี่ ไม่ว่าพลังยุทธ์สูงต่ำส่วนใหญ่ล้วนลำบากใจ และขาดแคลนศิลาวิญญาณทั้งนั้น มิเช่นนั้นคงไม่ยอมเสี่ยงเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง ค่าตอบแทนที่สูงลิบเช่นนี้ หากพวกเราได้มา ก็ไม่ต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้อีกต่อไป และไม่ต้องเสี่ยงอันตรายไปไล่สังหารมารอสูรอะไรอีก” หญิงสาวสวมชุดชาววังแค่นเสียงหึ ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจกับคำพูดของเซียนเซียน เล็กน้อย

 

 

หญิงสาวเผ่าผลึกฉีกยิ้มน้อยๆ แล้วเม้มปากไม่ได้ปริปากใดๆ

 

 

“นีเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท สหายสองท่านลี้ล้วนเป็นสหายของหลานเย่ว์” ชายชราแซ่เยี่ยนดูเหมือนจะเป็นอาวุโสสายตรงของหญิงสาวสวมชุดชาววัง แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยตักเตือนหนึ่งประโยค

 

 

ใบหน้าของหญิงสาวสวมชุดชาววังดูไม่ค่อยดีใจนัก แต่ปากก็ยังตอบรับและไม่พูดอะไรอีก

 

 

“ในเมื่อเรื่องราวสองสามวันก่อนทำให้ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ หรือว่าตอนนี้ผู้ที่รับหน้าที่ดูแลที่นี่ไม่ใช่ ‘ท่านอาวุโสเลี่ยว’ แล้ว” เย่ว์จงดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่ไม่เข้าใจนัก ทว่าหลังจากกวาดสายตาไปรอบด้าน ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามอีกเรื่องหนึ่ง

 

 

“พี่เย่ว์เดาไม่ผิด ท่านอาวุโสเลี่ยวจากไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนี้ได้เปลี่ยนผู้ดูแลแล้ว มันยุ่งยากมาก แม้กระทั่งฟื้นฟูการทดสอบในอดีตขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบ จะถูกปฏิเสธร่มขจัดอัสนี และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้คุยง่ายเหมือนท่านอาวุโสเลี่ยวในอดีต ไม่มีทางปล่อยร่มขจัดอัสนีออกมาก่อนแน่ พี่เย่ว์มาก็ดีแล้ว วันนี้เป็นวันเปิดการทดสอบวันแรกพอดี ดังนั้นถึงได้มีคนมากมายมารวมตัวกันที่นี่” ชายหนุ่มหน้าขาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างบ่นกระปอดกระแปด

 

 

“เอาล่ะ บางเรื่องก็อย่าพูดซี้ซั้ว ‘ผู้ดูแลหมิ่น’ ที่มาใหม่เปิดการทดสอบอีกครั้ง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กำลังคนที่มากเกินไปไปตายใต้เงื้อมมือของมารอสูร” ชายชรากลับเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา

 

 

“แต่การทดสอบชนิดนี้ มันเป็นกฎในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เป็นเพราะก่อนหน้านี้มีสหายร่วมวิถีไปเพลี่ยงพล้ำในเทือกเขามารสีทองมากเกินไป ถึงได้มีกฎเช่นนี้ออกมา ยามนี้ทุกปีมีคนที่ยอมเข้าไปในเทือกเขาแค่ปีละไม่กี่คน การจัดการทดสอบขึ้นมันยิ่งไม่เกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ!” ชายหนุ่มกลับเบะปากขณะเอ่ย ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

 

 

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีร่วมขจัดอัสนีก็ไม่อาจเข้าไปในเทือกเขาได้ ตอนนี้ผู้ที่รับหน้าที่การตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ใช่ท่านอาวุโสเลี่ยวแล้ว กฎย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป” ชายชราแซ่เยี่ยนเอ่ยอย่างมีเลศนัย

 

 

เมื่อเห็นว่าแม้แต่ชายชราที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดในบรรดาพวกเขายังกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไระเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ

 

 

“ไม่ว่าพี่เย่ว์อยากจะเข้าไปทำอะไรในเทือกเขาครั้งนี้ แต่ในเมื่อมาได้โอกาสพอดี ก็คงไม่ยอมละทิ้งไปสินะ มิสู้ร่วมเดินทางกับพวกเรา มีพี่เย่ว์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นนักล่ามารอสูร ประกอบกับจานอาคมแกะรอย อัตราที่พวกเราจะจับเห็ดเซียนได้ ก็น่าจะมากกว่าคนอื่นแหลายส่วนแล้ว ถึงครานั้นหากจับเห็ดเซียนได้ พี่เย่ว์ก็จะได้ค่าตอบแทนไปส่วนหนึ่ง ที่เหลือพวกเราจะแบ่งกันอีกที พี่เย่ว์คิดเห็นอย่างไร?” หญิงสาวสวมชุดชาววังหัวเราะคิกคักขณะเอ่ยชักจูงเย่ว์จง

 

 

เย่ว์จงได้ยินคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี กลับไม่ได้ตอบอะไรกลับในทันใด

 

 

“พี่เย่ว์ เวลาของพวกเรามีไม่มากนัก จึงไม่อาจปลีกตัวไปได้ ส่วนค่าตอบแทนนั้น แต่อันหนึ่งได้แล้ว อีกอันยังไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ สหายก็น่าจะเลือกสิ่งที่ชาญฉลาดสินะ” หญิงสาวเผ่าผลึกกลับมองออกว่าเย่ว์จงกำลังรู้สึกสนใจ จึงเอ่ยเตือนอย่างราบเรียบ

 

 

“สหายเซียนโปรดวางใจ ในเมื่อข้าน้อยรับค่าตอบแทนมาส่วนหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่ ท่านอาวุโสเยี่ยน ชนรุ่นหลังมีธุระอื่น เกรงว่าคงไม่อาจร่วมเดินทางกับพวกเจ้าได้” เย่ว์จงมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจ

 

 

“ไม่เป็นไร ความจริงแล้ว การเข้าไปในเทือกเขามารสีทองในครั้งนี้ของพวกเราก็มีโอกาสไม่น้อย รอบนอกเทือกเขามารสีทองไม่นับว่ากว้างใหญ่นัก แต่หากอยากหาร่องรอยของเห็ดเซียนให้เจอในไอมาร ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องนี้ผู้ใดก็พูดยาก ไม่แน่ว่ายิ่งไม่หวังจะเจอสิ่งนี้ อาจจะยิ่งเจอมันโดยบังเอิญก็ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นีเอ๋อร์ เจ้าเอารูปร่างของเห็ดเซียนและจานอาคมแกะรอยให้หลานเย่ว์ไปชุดหนึ่ง” ชายชราแซ่เยี่ยนออกคำสั่งอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

 

 

หญิงสาวสวมชุดชาววังได้ยิน พลันควักแผ่นป้ายศิลาสีขาวและจานอาคมสีฟ้าออกมาจากกำไลเก็บของอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

 

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสเยี่ยน” เย่ว์จงลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธรับของทั้งสองชิ้นมา

 

 

“หึๆ นี่มันจะมีค่าอะไร ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ข้าและบิดาของเจ้าก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่หลายส่วน” ชายชราเอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างแผ่วเบา

 

 

หานลี่ที่เอาสองมือไพล่หลังมองเห็นฉากนี้ มุมปากก็หยักขึ้นเล็กน้อย เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา

 

 

และแทบจะในเวลาเดียวกัน ข้างหูของหญิงสาวเผ่าผลึกก็มีเสียงถ่ายทอดเสียงของหานลี่ดังขึ้น

 

 

“ยามที่สหายออกเดินทาง มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกผู้แซ่หานสินะ อะไรคือ ‘ไอมารพ่นออกมา’ รอบนอกอาจจะพบกับมารอสูรที่แข็งแกร่ง?”

 

 

เซียนเซียน ได้ยินคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นริมฝีปากบางก็เผยอออกแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ ถ่ายทอดเสียงกลับมาอย่างไร้สุ้มเสียงเช่นกัน

 

 

“คารวะท่านอาวุโสหาน! แม้ว่าไอมารที่พ่นออกมาจะมีผลกระทบต่อการเดินทางของพวกเราอยู่บ้าง แต่ขอแค่ไม่เข้าไปลึก ก็ไม่เป็นปัญหาอันใด เดิมชนรุ่นหลังคิดว่าหลังจากเข้าไปแล้ว ค่อยบอกเรื่องนี้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หลังจากที่จัดการมารอสูรระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว นอกจากโลหิตเที่ยงแท้และแก่นมารแล้ว ชนรุ่นหลังก็จะแบ่งวัตถุดิบให้อีกส่วนหนึ่ง? หวังว่าท่านอาวุโสหานจะไม่ถือสากับเรื่องนี้!”

 

 

เซียนเซียนผู้นี้นับว่าชาญฉลาดมาก เมื่อได้คำซักถามของหานลี่ ทันใดนั้นก็มีท่าทีนอบน้อม และเป็นฝ่ายเอ่ยเสนอค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นให้ก่อน

 

 

ยามนั้นข้างหูของหญิงสาวเผ่าผลึกเงียบไป แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็มีเสียงอันเย็นชาของหานลี่ดังขึ้นว่า

 

 

“ปกติแล้วข้าเกลียดผู้ที่จงใจหลอกลวงข้าที่สุด ครั้งนี้จะไม่ถือสา หากพบอีกครั้ง การร่วมมือของพวกเราจะสิ้นสุดลงในทันที แม้ว่าข้าจะอยากซ่อมแซมเกราะมารเหนือชั้น แต่ไม่มีทางอดทนให้ผู้อื่นปั่นหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดที่เด็ดขาดของหานลี่ หญิงสาวเผ่าผลึกกลับรู้สึกผ่อนคลายลง รู้ว่าในที่สุดก็รอดแล้ว

 

 

และในยามนั้นเย่ว์จงและชายชราแซ่เยี่ยนและพวกก็เริ่มพูดคุยเรื่องเก่าๆ กันด้วยท่าทางมีความสุข

 

 

แต่ในยามนั้นเอง เรื่องหนึ่งพลันเกิดขึ้นซึ่งแม้แต่หานลี่ก็ไม่คาดคิดมาก่อน

 

 

ที่นี่นอกจากระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอดที่มีพลังยุทธ์สูงที่สุดสองคนแล้ว ไม่เพียงจะเป็นผู้ที่มาจากภายนอก และยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่งจะได้ยินว่าคนเหล่านั้นไม่สนใจชื่อเสียงของเย่ว์จง

 

 

ทว่าตอนนี้พวกเขาได้ฟังคนอื่นๆ ถ่ายทอดเสียงกันจบแล้ว ในที่สุดก็รู้ว่าชื่อเสียงของเย่ว์จงมาด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนแทบจะดวงตาเปล่งประกายในเวลาเดียวกัน

 

 

จากนั้นหลังจากที่ทั้งสองคนสนทนากันอย่างลับๆ สองสามประโยคแล้ว หนึ่งในนั้นชายวัยกลางคนที่ศีรษะเป็นสี่เหลี่ยม บนหัวมีผมสีเขียวยุ่งเหยิงก็หยัดกายลุกขึ้น ตรงไปยังเย่ว์จงและพวกอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก

 

 

“เจ้าคือนักล่ามารอสูรที่มีชื่อเสียงที่สุดในหมู่บ้าน จะต้องคุ้นเคยกับเทือกเขามารสีทองมากสินะ” คนผู้นี้เดินมาอยู่ห่างจากเย่ว์จงไปสองสามจั้ง ก็ใช้น้ำเสียงไม่เป็นมิตรเอ่ยถาม

 

 

“มีชื่อเสียงนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ข้าไม่ได้เข้าไปในเทือกเขามารสีทองมาร้อยกว่าปีแล้ว ตอนนี้ไม่นับว่าคุ้นเคยอะไร? ท่านอาวุโสมีอะไรหรือ?” แม้ว่าเย่ว์จงจะรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่ก็ยังคงตอบกลับอย่างไม่ต้อยต่ำและไม่สูงส่ง

 

 

“ไม่ว่าเจ้าจะคุ้นเคยหรือเลอะเลือน พรุ่งนี้ข้าและสหายเยี่ยนจะเข้าไปหาเห็ดเซียนในเทือกเขามารสีทอง เจ้าไปกับพวกเราเถิด” ชนต่างเผ่าผมสีเขียวผู้นั้นหรี่ตาทั้งสองข้างลง ปากก็เอ่ยสิ่งที่บ้าคลั่งออกมา

 

 

เมื่อได้ยินคำนี้ ไม่ใช่แค่เยว์จงและหญิงสาวสวมชุดชาววังและพวกที่หน้าเปลี่ยนสี เซียนเซียน และหานลี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน

 

 

ชายชราเซียนเยี่ยนกลับยังคงรักษาสีหน้าเยือกเย็นเอาไว้ได้ แต่ก็มองอีกฝ่าย พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายท่านกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร?”

 

 

“อะไรหมายความว่าอย่างไร แน่นอนว่าอยากยืมแรงสหายสักหน่อย อันใด สหายรู้สึกไม่เหมาะสมหรือ?” และไม่รู้ว่าชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีที่พึ่งอันใด คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตัวเอง จะเอ่ยอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด