ตอนที่ 660 หากผูกพัน

พันธกานต์ปราณอัคคี

เมื่อเหยียบลงบนดินแดนที่คุ้นเคย ทุกคนยืนมองเทือกเขาทอดยาวสุดลูกหูลูกตากลางอากาศด้วยความรู้สึกหลากหลาย

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเป่าปากยาวและทำท่าคารวะให้แก่ทุกคน “ภูเขาเขียวชอุ่มมิอาจเปลี่ยนแปลงความยาวของสายน้ำ พวกเราคงได้พบกันอีก ณ แดนวิญญาณ”

ทันทีที่พูดจบเขาก็หายไปท่ามกลางป่าเขาอย่างรวดเร็ว

พวกนางไม่ได้หยุด แต่เหาะออกไปจากดินแดนรกร้างที่มีเหล่าปีศาจเคลื่อนไหวอยู่อย่างรวดเร็ว หลัวอวี้เฉิงหยุดลงโดยพลันเมื่อเหาะมาทางทิศใต้ได้ระยะหนึ่ง เขาหันไปมองมั่วชิงเฉิน “ชิงเฉิน สหายเยี่ย พวกเราแยกกันที่นี่เถิด”

มั่วชิงเฉินยิ้มกว้างพลางมองเขา “ได้ ขอให้เจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพอวี้เฉิง”

หลัวอวี้เฉิงมองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้งหนึ่งครา จากนั้นพยักหน้า “ข้าทราบ แล้วพบกัน”

จากนั้นปีกวายุสีเขียวก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง เพิ่งจะหันหลังไปก็ถูกจับไหล่เอาไว้

“สหายเยี่ย?” หลัวอวี้เฉิงมองมือบนไหล่ของตนอย่างประหลาดใจ

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเคร่งเครียดจนมองไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร เขาพูดเรียบๆ “เหตุใดสหายหลัวถึงได้รีบเยี่ยงนี้เล่า”

หลัวอวี้เฉิงสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเอ่ย “ข้าน้อยทัศนาจรมานานแล้ว เรื่องที่ต้องทำก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นก็ควรกลับตระกูลไปทำเรื่องที่ตนเองต้องทำแล้ว”

“เช่นนั้นหรือ” เยี่ยเทียนหยวนมองไปยังมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง พวกข้าจะไปรอเจ้าที่โรงเตี๊ยมเมืองหลิงหลงข้างหน้า”

“ศิษย์พี่…”

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือมาลูบเส้นผมของของมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้องมิต้องเอ่ยอะไร ข้าเข้าใจดี เจ้ารีบตามมาล่ะ อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่”

พูดจบก็เหาะไปข้างหน้าโดยไม่เหลียวมามอง

คนอื่นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็มองมั่วชิงเฉินและหลัวอวี้เฉิง จากนั้นก็จากไปเงียบๆ เช่นกัน

เหลือเพียงมั่วชิงเฉินกับหลัวอวี้เฉิงที่ตกอยู่ในความเงียบ

“ชิงเฉิน ข้าจะกลับบ้านแล้ว” ท้ายที่สุดหลัวอวี้เฉิงก็ทำลายความเงียบ

มั่วชิงเฉินประจันหน้ากับหลัวอวี้เฉิงคล้ายกับสายตาใสกระจ่างสามารถมองทะลุได้ทุกอย่าง นางยิ้ม “อวี้เฉิง เจ้ากลับตระกูลไปเพื่อรับช่วงกิจการของตระกูลต่อใช่หรือไม่”

“เหตุใดถึงคิดเช่นนั้นเล่า”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือ คราแรกที่พวกเรารู้จักกันก็เพราะข้าบังเอิญได้ยินเจ้าคุยกับคนในตระกูล ยามนั้นเจ้าแบกรับภารกิจของตระกูลอยู่มิใช่หรือ ยามนี้ที่กลับตระกูลไปก็มิใช่ว่าเพื่อรับช่วงต่อกิจการของตระกูลหรอกหรือ”

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ เขาอยากจะลูบเรือนผมของมั่วชิงเฉินแต่ก็เก็บมือกลับไป เขาพูดยิ้มๆ “นับว่าไม่เชิง ข้าจะกลับไปสืบทอดตระกูล”

“จากนั้นจะไม่ออกทัศนาจรแล้วหรือ” มั่วชิงเฉินถาม

แม้ว่าหลัวอวี้เฉิงจะไม่เคยเอ่ยปาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้มีความรู้สึกเช่นนี้

หลัวอวี้เฉิงเงียบลงชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้า

ในฐานะผู้ที่สามารถสื่อสารกับแดนวิญญาณได้ การดำรงอยู่ในโลกมนุษย์เป็นการทำลายสมดุลกฎแห่งธรรมชาติ ถ้าหากว่าสืบทอดสำเร็จแล้วออกทัศนาจรอีก เช่นนั้นจะทำให้เกิดภัยพิบัติ

“อวี้เฉิงคิดดีแล้วหรือ”

“อืม ข้าคิดดีตั้งนานแล้ว”

มั่วชิงเฉินยื่นมือออกมาพลางยิ้ม “เช่นนั้น อวี้เฉิง ไว้วันหน้าพบกันในแดนวิญญาณ”

“พบกันในแดนวิญญาณ”

มั่วชิงเฉินลดสายตาลง “เช่นนั้นข้าไปก่อนเล่า ศิษย์พี่กำลังรออยู่…”

หลัวอวี้เฉิงมองร่างของมั่วชิงเฉินหมุนตัวจากไปด้วยสายตาล้ำลึก ทันทีที่ปีกวายุกางออก เขาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้านางในทันที

“ชิงเฉิน ข้า…กอดเจ้าได้หรือไม่”

สายตาของมั่วชิงเฉินยังคงหลุบลงต่ำ นางพยักหน้า

หลัวอวี้เฉิงยื่นมือออกมาโอบนางเข้าสู้อ้อมกอดของตัวเอง กดคางลงบนเรือนผมของนาง จากนั้นก็หลับตาลง

……

จันทร์เสี้ยวคล้ายจะร่วงโรย เงาสะท้อนข้างทะเลสาบปรากฏเป็นวงกลมส่องประกายบนผิวน้ำ

ความรู้สึกของคนผู้หนึ่ง เงยมองฟ้าอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าฟ้าอยู่ไกลเพียงใด

คล้ายห่านแตกแถวแสนเดียวดาย ล่องลอยท่ามกลางเมฆขาว บรรเลงบทเพลงไม่สมบูรณ์

ควันพวยพุ่งเหนือชายคา เอ่ยอำลากับปล่องไฟ จากกันครานี้ตราบนิจนิรันดร์…

……

“ชิงเฉิน ครานี้ข้าไปก่อนเล่า แล้วพบกัน” หลัวอวี้เฉิงผลักมั่วชิงเฉินออกเบาๆ โบกมือให้นางพลางยิ้ม จากนั้นก็กลายเป็นสายลมสีเขียวสายหนึ่งหายเข้าไปในท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาวในพริบตาเดียว

“ลาก่อน…” น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมาจากหางตาของมั่วชิงเฉินในที่สุด นางคลึงหน้าตัวเองลวกๆ จากนั้นก็ยิ้มและหมุนตัวเหาะไปข้างหน้า

ภายในโรงเตี๊ยมเมืองหลิงหลง เยี่ยเทียนหยวนถือกาสุรา เขาดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า

อีกาไฟต่อว่าอย่างไม่เข้าใจนัก “ลั่วหยางเจินจวิน ท่านโง่หรือท่านทึ่มกันแน่ ทิ้งภรรยาของตนไว้ให้ผู้อื่น หากถูกลักพาตัวหนีไปจะทำเยี่ยงไร ที่นั่นยิ่งใกล้บ้านของเขาอยู่ด้วย”

อาชิงมองเยี่ยเทียนหยวน ตามด้วยมองอีกาไฟ จากนั้นก็หันไปมองมั่วหร่านอีอีกครา ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ “แม่เสือ พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า มาอุ้มบุตรชายไปเร็ว” มั่วหร่านอีส่งตูตูให้อาชิงพลางเหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนเช่นเดียวกัน

เยี่ยเทียนหยวนดื่มสุราต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

อีกาไฟใช้ปีกคว้ากาสุรามาพลางกลอกตา “ดื่มสุราแล้วช่วยอะไรเล่า หากว่าเป็นกังวลก็รีบไปหานายท่านสิ”

เยี่ยเทียนหยวนยิ้ม “ข้ามิได้เป็นกังวล ข้าเชื่อใจศิษย์น้องและเชื่อในการปฏิบัติตนของสหายหลัว”

“เช่นนั้นแล้วเจ้าใช้สุราลบความเศร้าอะไรเล่า” อีกาไฟตบกาสุรา

เยี่ยเทียนหยวนหยุดก่อนจะถามว่า “มาโรงเตี๊ยมแล้วไม่ดื่มสุรา เช่นนั้นแล้วจะให้นั่งเฉยๆ หรือ”

ทุกคนลองคิดดูแล้วก็พบว่าจริง ตั้งแต่เข้ามาในโรงเตี๊ยมพวกเขาก็จ้องมองเยี่ยเทียนหยวนด้วยอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูก ใครจะไปนึกกันว่าต้องดื่มสุรา

คิดเช่นนั้นแล้วทุกคนก็รู้สึกอึดอัดใจ

เยี่ยเทียนหยวนหลุบตาลงพลางยิ้ม เขาใช้สองมือยกจอกสุราจิบหนึ่งอึก

เขาเป็นบุรุษ เขาทราบความรู้สึกของบุรุษอีกคนที่มีต่อศิษย์น้อง จนถึงสามารถฝ่าภยันตรายเพื่อศิษย์น้องได้เช่นเดียวกันกับเขา ที่ยังทิ้งศิษย์น้องไว้และพูดว่ามิเป็นไรนั่นเป็นการหลอกตัวเอง

แต่เพราะรู้ดีว่าทุกสิ่งที่คนผู้นั้นทำให้ศิษย์น้อง เขาถึงได้เข้าใจมากขึ้นว่าพวกเขาต้องการอำลากันเพียงลำพัง

เขาทำไม่ได้หากต้องปล่อยมือและช่วยให้พวกเขาครองคู่กัน แต่นี่ เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้

กลิ่นอายอันคุ้นเคยโชยมา ทันทีที่อีกาไฟกางปีกและบินไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเกาะที่หน้าอกของมั่วชิงเฉิน “นายท่าน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ข้าคิดว่าท่านจะหนีไปกับเขาแล้วเสียอีก!”

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนในห้องโถงมองไปยังร่างของมั่วชิงเฉินในชั่วพริบตา

เส้นเลือดสีน้ำเงินตรงขมับของมั่วชิงเฉินเต้นตุบ นางยื่นมือออกมาตบอีกาไฟจนลอยออกไป จากนั้นก้าวยาวๆ ยังห้องอันงดงาม

คนหนึ่งกลุ่มจากเมืองหลิงหลงไปและเหาะต่อไปยังทิศใต้

“ชิงเฉิน พวกเจ้าอยากกลับไปที่เหยากวงหรือไม่” มั่วหร่านอีถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “จากมานานเกินไป อยากกลับไปเยี่ยมอาจารย์เสียหน่อย จากนั้น…”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงชั่วครู่ จากนั้นมองมั่วหร่านอีพลางพูด “พี่สิบ จากนั้นพวกเราไปทะเลขนาบใจเพื่อเยี่ยมพี่สิบสี่กันเถิด”

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมีอายุประมาณสามร้อยปี ก่อนไปจงหลาง นางได้สั่งให้พวกเหลียงเฉินส่งโอสถอายุวัฒนะมั่วหนิงโหรวหนึ่งเม็ด

โอสถอายุวัฒนะสามารถเพิ่มอายุไขได้เกินร้อยปี จวบจนวันนี้มั่วหนิงโหรวมีอายุสามร้อยเก้าสิบกว่าแล้ว ถ้าหากไม่เลื่อนไประดับก่อแก่นปราณ แม้ว่าจะอยู่บนโลกแต่ก็ถึงขีดจำกัดอายุขัยแล้ว

หากจะไปสิบทวีปตะวันออกก็ต้องผ่านเทือกเขาฟางจูที่ตั้งของพรรคเหยากวง เมื่อมั่วหร่านอีได้ยินก็มิได้คัดค้าน พวกเขาเหาะไปยังเทือกเขาฟางจูด้วยความรวดเร็ว

เพียงแต่เมื่อนึกถึงเรื่องของมั่วหนิงโหรว สองพี่น้องก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

พรรคเหยากวงในตอนนี้มีขนาดใหญ่กว่าก่อนที่มั่วชิงเฉินจะจากไปกว่าเท่าตัว ด้านข้างประตูมีถนนกว้างใหญ่อยู่หนึ่งเส้น เชื่อมต่อโดยตรงกับยอดเขาสูงนอกประตูพรรค

ปัจจุบันยอดเขาแห่งนี้ถูกเรียกว่ายอดเขาหลินเทียน (เผชิญฟ้า) เป็นสถานที่ที่หลิวซางเจินจุนใช้เปิดม่านสนทนาวิถีพรต กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของผู้บำเพ็ญเพียรหลายพรรคและผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก

วันนี้เป็นวันที่หลิวซางเจินจุนมีเปิดม่านสนทนาวิถีพรตพอดี บนถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ครึกครื้นผิดปกติ

ยามพวกมั่วชิงเฉินร่อนลงก็ทำให้คนตกใจในชั่วพริบตา