“ศิษย์พี่ ท่านดูสิ นอกประตูช่างครึกครื้นยิ่งนัก” มั่วชิงเฉินมองถนนเส้นใหญ่ข้างประตู จากนั้นเอียงใบหน้ามาพูดกับเยี่ยเทียนหยวน
พวกนางจากไปนานแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าหลิวซางเจินจุนเลื่อนขั้นไปยังระดับถอดดวงจิตแล้ว เมื่อเห็นภาพอันเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“ศิษย์น้อง พวกเราเข้าไปคารวะอาวุโสสูงสุดประมุขพรรคกันก่อนเถิด” เยี่ยเทียนหยวนจูงมือมั่วชิงเฉิน คนหนึ่งกลุ่มเดินเข้าไปในประตู
เมื่อคนรอบๆ เห็นพวกเขามุ่งหน้าไปยังประตูก็แอบกระซิบกระซาบกัน เพียงแต่ถูกระดับบำเพ็ญเพียรของคนกลุ่มนี้ทำให้กลัวจึงไม่มีผู้ใดกล้าพูดเสียงดัง
ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูเปลี่ยนไปนานแล้ว เมื่อเห็นพวกมั่วชิงเฉินเดินมา สีหน้าก็เคารพนอบน้อมแต่ยังคงไว้ซึ่งมารยาท พวกเขาพูดด้วยความเคารพ “พวกท่านเหล่าผู้อาวุโสมาถึงที่นี่ มิทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือไม่ขอรับ”
เยี่ยเทียนหยวนส่งป้ายคำสั่งสีเขียวชิ้นหนึ่งออกไป
ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูรับไปพิจารณา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาพูดตะกุกตะกัก “คะ…คารวะบรรพจารย์ลั่วหยาง”
พูดจบก็ลัดนิ้วร่ายเคล็ดวิชาเปิดประตูภูเขาออกอย่างรุนแรง จากนั้นส่งพวกเขาเข้าไปอย่างนอบน้อม
หลังจากเห็นประตูเขาเหยากวงปิดลงอีกครา ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านนอกก็คึกคักขั้นมา พวกเขาคาดเดาถึงที่มาของคนเหล่านั้นอย่างเซ็งแซ่
ยามนั้นเงาสีทองสายหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปครู่เดียวก็เคลื่อนมาใกล้และร่อนลงบนแท่นบนยอดเขาหลินเทียน
ผู้บำเพ็ญเพียรที่รออยู่บนยอดเขาหลินเทียนอยู่ก่อนแล้วทรุดตัวลงคารวะ อีกทั้งเป็นเพราะการปรากฏตัวของพวกมั่วชิงเฉินทำให้เกิดการล่าช้า เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรรีบเร่งขึ้นไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เมื่อพวกเขาขึ้นมาถึงแล้วและเพิ่งจะหอบหายใจ ก็เห็นลูกศิษย์พรรคเหยากวงกำลังพูดอะไรบางอย่างกับหลิวซางเจินจุน จากนั้นก็เห็นหลิวซางเจินจุนยืนขึ้นด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ทันที เขาเดินไปหาเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรและพูดอย่างนอบน้อม “ขออภัย วันนี้ข้ามีธุระเล็กน้อย การสนทนาพรตครั้งนี้ขอเชิญเสวียนหั่วเจินจวินสนทนาเถิด”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อกว้างสีทองและเหาะอย่างปราดเปรียวไปทางพรรคเหยากวง
ปัจจุบันนี้การสนทนาวิถีพรต ณ ยอดเขาหลินเทียนเป็นไปอย่างเป็นระเบียบ ครึ่งปีจะจัดขึ้นหนึ่งครา ผู้สนทนานอกจากหลิวซางเจินจุนแล้วยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจากพรรคเหยากวงและพรรคอื่นๆ
แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหล่านี้จะไม่ได้เข้าใจพรตอย่างลึกซึ้งเท่าหลิวซางเจินจุน แต่ก็มีที่มาหลากหลาย ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรได้รับฟังคุณธรรมที่ต่างกัน ไม่ว่าอย่างไรการสนทนาวิถีพรตทุกครั้งก็เป็นโอกาสที่หาได้ยาก
แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่เห็นหลิวซางเจินจุนจากไป แต่ก็นั่งขัดสมาธิลงอย่างเป็นระเบียบเพื่อเตรียมพร้อมฟังเสวียนหั่วเจินจวินเทศนาวิถีพรต
แต่คาดไม่ถึงว่าเสวียนหั่วเจินจวินจะผุดลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อและไล่ตามหลิวซางเจินจุนไป ทั้งยังเหาะไปสบถไปพลาง
พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาของทั้งสอง เหลือเพียงผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งที่จ้องมองเท่านั้น
เฉียนเสี่ยวเหยี่ยนผู้ดูแลพรรคเหยากวงคนใหม่กัดฟันพูด “ผู้บำเพ็ญเพียรทุกท่าน วันนี้เสวียนหั่วเจินจวินเชิญทุกท่านหารือกันได้ตามสบาย ส่วนเรื่องสนทนาวิถีพรตจะจัดขึ้นในอีกสามวันนับจากนี้”
เวลาแค่สามวันไม่นับว่าหนักหนาอะไรสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร ทันทีที่ลูกศิษย์พรรคเหยากวงจากไป ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ก็วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นทันที
จากนั้นก็มีคนนึกถึงคนที่เจอที่ประตูทางเข้า เขาพูด “เมื่อครู่ข้าพบคนกลุ่มหนึ่งที่ประตูเหยากวง ช่างน่าเหลือเชื่อนัก นอกจากสตรีหนึ่งนางที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายแล้ว ปราณที่ออกมาจากคนอื่นก็เป็นปราณที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเท่านั้นจะมีได้ ทั้งยังมีอีกสองท่านที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย! ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูเหยากวงเองก็ต้อนรับพวกเขาเข้ามาด้วยความเคารพ”
“หมายความว่าที่พวกหลิวซางเจินจุนจากไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือ มิน่าเป็นไปได้ ถึงจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย แต่ก็มิได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าหลิวซางเจินจุนมิใช่หรือ” มีคนถามขึ้นมาอย่างสงสัย
ผู้บำเพ็ญเพียรอีกหนึ่งคนที่เห็นพวกมั่วชิงเฉินเช่นกันเอ่ย “ต้องเกี่ยวข้องกันแน่ เจ้าลองคิดดูสิ ปัจจุบันนี้ตำแหน่งของเหยากวงเป็นเช่นไร แม้พวกลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูจะเป็นแค่ระดับสร้างรากฐาน ยามไหนกันเล่าที่เขาจะต้องเคารพผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเช่นนี้ ยามนั้นข้ามองเห็นชัดเจนว่าลูกศิษย์คนนั้นพูดติดอ่างด้วย จริงสิ เขาเรียกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายท่านหนึ่งว่าบรรพจารย์ลั่วหยาง…”
“ว่าอย่างไรนะ ลั่วหยางเจินจวิน!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่เคยได้ยินเกี่ยวกับเยี่ยเทียนหยวนพูดขึ้น “เป็นไปได้อย่างไร ลั่วหยางเจินจวินเพิ่งจะอายุสี่ร้อยกว่าปี แต่กลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายแล้วหรือ”
ไม่ว่าจะเคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเยี่ยเทียนหยวน ทั้งหมดล้วนตกตะลึงและพูดในใจว่าพรรคเหยากวงนี่ช่างเหลือเชื่อจริงๆ นอกจากเจินจุนระดับถอดดวงจิตหนึ่งท่านแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายอีกหลายท่าน!
นอกจากการพูดคุยกันอย่างเซ็งแซ่ของผู้บำเพ็ญเพียรบนยอดเขาหลินเทียน ทางหลิวซางเจินจุนและเสวียนหั่วเจินจวินก็ร่อนเคียงกันลงบนเขาโฮ่วเต๋อ มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนชะงักเมื่อเห็นหลิวซางเจินจุน
เสวียนหั่วเจินจวินปรี่เข้ามาใช้พัดกกเคาะศีรษะเยี่ยเทียนหยวนหนึ่งที “พวกเจ้าทั้งสอง เหตุใดถึงได้โง่งมขึ้นเรื่อยๆ กัน ยังไม่คารวะหลิวซางเจินจุนอีก!”
“บรรพจารย์ ท่านเลื่อนขั้นแล้วหรือ!” มั่วชิงเฉินยังคงรู้สึกตกใจอยู่ นางรู้ว่าเทียนหยวนไม่อาจเทียบจงหลางได้ แต่กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตที่ไม่มีมาเนิ่นนานแล้วปรากฏตัวขึ้น
หลิวซางเจินจุนหัวเราะ เขามองทั้งสองคนพลางพยักหน้าไม่หยุด “ลั่วหยาง ชิงเฉิง พวกเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก ข้าปลื้มใจนัก”
เขาเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตจึงมองออก เกรงว่าทั้งสองนี้จะอยู่ไม่ไกลจากการเลื่อนขั้นแล้ว ไม่แน่ว่าเหยากวงอาจมีผู้บำเพ็ญเพียรบรรลุระดับถอดดวงจิตใหม่ในเวลาเดียวกันอีกสองคน…
หลังจากเล่าเรื่องต่างๆ ในช่วงหลายปีมานี้อย่างเผินๆ มั่วชิงเฉินก็มอบโอสถเซียนกลั่นจิตให้แก่เสวียนหั่วเจินจวิน ตามด้วยเอ่ย “บรรพจารย์ มิทราบว่าอาจารย์ของข้าอยู่หรือไม่”
“เหอกวงหรือ” หลิวซางเจินจุนยิ้ม “เขาไม่อยู่ เขาเข้าไปในแดนสวรรค์มี่หลัวตูเมื่อสิบกว่าปีก่อน จวบจนบัดนี้ยังมิกลับออกมา”
มั่วชิงเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
การเดินทางในจงหลางครั้งนี้ นางมิได้พบกับอาจารย์มาเกือบร้อยปีแล้ว ถ้าจะพูดว่าไม่เป็นห่วงก็จะเป็นการพูดปด
หลิวซางเจินจุนอ่านความคิดของมั่วชิงเฉินออก เขาพูดเสียงดังพลางยิ้ม “ชิงเฉิน เจ้ามิต้องเป็นห่วงเหอกวง ก่อนเขาจะไปอีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะบรรลุระดับถอดดวงจิตแล้ว เขาไปแดนสวรรค์มี่หลัวตูเพื่อตามหาบุพเพสันนิวาส มิแน่อาจจะบรรลุระดับถอดดวงจิตที่แดนวิญญาณสวรรค์แล้ว จะว่าไปแล้วถ้าหากมิใช่ว่าชิงเฉิงมีโอสถเซียนกลั่นจิต ข้าก็จะให้พวกเจ้าไปที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูเช่นเดียวกัน”
หลิวซางเจินจุนเล่าความเปลี่ยนแปลงของเทียนหยวนในหลายปีมานี้ให้แก่ทั้งสองคนฟัง
มั่วชิงเฉินเพิ่งจะทราบว่าแดนทับซ้อนที่แดนสวรรค์มี่หลัวตูมีสะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และแดนวิญญาณ ถ้าหากว่าหาพบ ไม่แน่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่อาจจะเข้าไปในแดนวิญญาณได้
นึกมาถึงตรงนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “บรรพจารย์ อาจารย์ของข้าคงมิได้เข้าไปในแดนวิญญาณแล้วกระมัง”
หลิวซางเจินจุนส่ายหน้า “นางหนูนี่ อยากพบอาจารย์มิจำเป็นต้องคาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าเสียขนาดนั้น แดนวิญญาณสวรรค์เทียบกับที่อื่นมิได้ หากวันหนึ่งมีการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเกิดขึ้น จะเงียบเชียบไร้ข่าวคราวได้อย่างไรเล่า”
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างเขินอาย
หลังจากพูดสิ่งที่ควรพูดหมดแล้ว พวกมั่วชิงเฉินก็กลับไปยังเขาลั่วเฉิน มีเพียงเยี่ยเทียนหยวนที่ถูกเสวียนหั่วเจินจวินลากตัวไป สั่งสอนเรื่องที่จนวันนี้เขายังไม่พาบุตรชายตัวอ้วนกลับมาอยู่เนิ่นนานถึงได้ปล่อยตัวกลับ
หลังก้าวลงบนเขาลั่วเฉินมั่วหร่านอีถึงได้ถอนหายใจออกมา นางพูดเสียงเบา “น้องสิบหก ข้าคิดว่าพวกเขาจะ…” พูดจบก็กอดตูตูในอ้อมแขนแน่น
มั่วชิงเฉินยิ้มและปลอบโยน “พี่สิบ ท่านอยู่ที่เหยากวงอย่างสบายใจเถิด ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนพวกบรรพจารย์คงจะเป็นกังวลเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ทั่วทั้งทวีปแห่งเทพ บรรพจารย์เป็นผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์อันดับหนึ่ง จะมีใครกล้ามาหาเรื่องกันเล่า หากอยากรู้เรื่องกฎเกณฑ์ แต่เดิมก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ตั้งเอาไว้”
เหตุผลที่นางกล้าพามั่วหร่านอีและครอบครัวมา ก็เพราะเข้าใจดีว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงในพรรคไม่ใช่พวกคนคิดเล็กคิดน้อย ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด มากที่สุดก็คือไม่รับตูตูเอาไว้
ความเป็นจริงไม่เกินที่มั่วชิงเฉินคาดเอาไว้ ไม่ว่าจะหลิวซางเจินจุนหรือเสวียนหั่วเจินจวิน เมื่อเห็นตูตูก็ไม่เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงท่าทีเฉกเช่นยามปกติเท่านั้น
ได้ยินดังนั้นมั่วหร่านอีก็หัวใจเต้นแรง นางพึมพำ “กฎเกณฑ์มีผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ตั้ง…”
หลายปีมานี้ตั้งแต่นางมีตูตู นางคิดมาตลอดว่าไม่ว่าผู้ใดจะทำร้ายตูตู นางก็จะปกป้องไว้ด้วยชีวิต แต่กลับลืมไปว่าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งถึงจะปกป้องได้ดีที่สุด!
“พี่สิบ?”
ครู่ใหญ่กว่าที่มั่วหร่านอีจะได้สติ นางมองมั่วชิงเฉินและยิ้มออกมาจากใจจริง “น้องสิบหก ข้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงแค่เข้าใจแล้วเท่านั้น”
มิใช่เรื่องบังเอิญ ไม่เพียงแค่กู้หลีจะไม่อยู่ที่สำนัก ต้วนชิงเกอ มั่วหลีลั่วและสหายสนิทคนอื่นที่มั่วชิงเฉินคุ้นเคยต่างก็ทัศนาจรอยู่ข้างนอก
มั่วชิงเฉินทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ
ว่ากันว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้อารมณ์ แต่ก็ไม่ได้ไร้ไมตรี และเมื่อระดับบำเพ็ญเพียรสูงขึ้น แต่ละคนก็มีทางเดินของตัวเอง ชุมนุมกันน้อยลงและแยกจากกันมากขึ้น ไม่พบกันร้อยปีนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ว่าขอเพียงแต่ละคนยังสบายดีก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
พวกมั่วชิงเฉินพักผ่อนแค่หนึ่งวัน เช้าวันที่สองก็กล่าวลาหลิวซางเจินจุนและรีบรุดไปยังทะเลขนาบใจ
เพิ่งเหาะผ่านเทือกเขาฟางจูได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้อันดุเดือดท่ามกลางป่าทึบ
มั่วชิงเฉินปลดปล่อยจิตสัมผัส จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เยี่ยนเยี่ยนหรือ”
“ศิษย์พี่ พวกท่านรอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูสักหน่อย” มั่วชิงเฉินกล่าวจบก็หายไปในกลุ่มเมฆทันที
“นายท่าน ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่” อีกาไฟตะโกน
“มิต้อง พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่เดิมก็พอ” เสียงของมั่วชิงเฉินดังมาจากระยะไกล
ชั่วพริบตาก็ร่อนลงในป่าทึบ แรงกดดันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายกระจายออกไปอย่างไม่ปิดบัง
ทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่หันหน้ามาพร้อมกัน สตรีนางนั้นตะโกนเรียกอย่างประหลาดใจ “น้าสิบหก…”
บุรุษผู้นั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ เมื่อได้ยินเยี่ยนเยี่ยนเรียกน้าสิบหกใบหน้าก็เขียวคล้ำ หนีเอาตัวรอดต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายไม่ได้ จึงได้แต่คารวะอย่างสั่นๆ “ผู้อาวุโส…”
เพิ่งจะพูดออกไปหนึ่งคำก็เห็นก้อนอิฐส่องแสงเรืองรองสีทองลอยมา ร่างทั้งร่างถูกตีจนขึ้นมาอยู่บนขอนไม้
เห็นหวังเยี่ยนเยี่ยนมีท่าทีกระอักกระอ่วน ในใจของมั่วชิงเฉินบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีนัก “เยี่ยนเยี่ยน นี่เจ้า…”
“น้าสิบหก เร็วเข้า รีบตามเยี่ยนเยี่ยนกลับทะเลขนาดใจเถิด มารดาข้า…นางไม่ไหวแล้ว” หวังเยี่ยนเยี่ยนพูดอย่างสะอึกสะอื้น
“ไปกันเถิด!” มั่วชิงเฉินคว้ามือของหวังเยี่ยนเยี่ยน สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครา เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมก็ห่อหุ้มกายของนาง ครู่เดียวก็กลับไปในกลุ่มเมฆ
“เจ้าคือเยี่ยนเยี่ยนหรือ” มั่วหร่านอีมองหวังเยี่ยนเยี่ยนด้วยสีหน้าเปลี่ยนไป “เยี่ยนเยี่ยน เกิดเรื่องขึ้นกับมารดาของเจ้าหรือ”
“พี่สิบ ท่านอย่าเพิ่งถามเลย พวกเรารีบไปที่ทะเลขนาบใจกันเถิด!”
ทุกคนนั่งลงบนสมบัติวิเศษเหาะเหินของเยี่ยเทียนหยวนมุ่งหน้าสู่ทะเลขนาบใจด้วยความเร็ว ระหว่างนั้นก็ฟังหวังเยี่ยนเยี่ยนพูดถึงสถานการณ์ของมั่วหนิงโหรว
ไม่ได้เหนือความคาดหมายนัก เมื่อปีนั้นมั่วหนิงโหรวคิดตกว่านางจะกลับไปที่ทะเลขนาบใจ นางจึงกลายเป็นคู่ครองของคุณชายหก
หลายปีมานี้สามีภรรยารักกันอย่างลึกซึ้งราวกับคู่รักสวรรค์สร้าง จนคนรอบกายอิจฉา
เพียงแต่น่าเสียดายที่เมื่อหลายปีก่อนมั่วหนิงโหรวถูกคุณชายสี่ตระกูลหวังทำให้เป็นร่างเตาหลอมดูดกลืนพลังจนป่วย อีกทั้งสติปัญญาก็ไม่ได้โดดเด่น หากมิใช่เพราะมั่วชิงเฉินปรากฏกายขึ้นมาพอดี วิญญาณของนางก็คงสลายไปนานแล้ว แม้ว่าภายหลังจากบำรุงรักษาทุกวิถีทางจนกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานได้ก็นับว่าเหนือความคาดหมายแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนไประดับก่อแก่นปราณ
กินโอสถอายุวัฒนะยืดอายุไปแล้วหนึ่งร้อยปี บัดนี้อายุใกล้จะสี่ร้อยปีก็ถึงเวลาสุดท้ายของชีวิตแล้ว
หลายปีก่อนตระกูลหวังได้ส่งยันต์ส่งสารหมื่นลี้มาให้แก่มั่วชิงเฉินแล้ว แต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับ หวังเยี่ยนเยี่ยนที่เห็นกับตาว่ามั่วหนิงโหรวไม่ไหวแล้วจึงทำได้เพียงรีบมาด้วยตนเอง นึกไม่ถึงว่ามาได้เพียงครึ่งทางก็จะพบกับผู้บำเพ็ญเพียรไม่ดีจนเกือบจะหลงกล
พวกนางรีบเร่งไปยังทะเลขนาบใจโดยเร็วที่สุด เมื่อเหยียบลงบนจวนตระกูลหวังบนเกาะใจศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ยินเสียงร้องดังออกมาจากข้างใน