ตอนที่ 662-1 ซ่อนอาภรณ์สีเขียว

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ท่านแม่…” เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ ใบหน้าของหวังเยี่ยนเยี่ยนก็เปลี่ยนไปซีดขาว นางรีบพุ่งเข้าไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน

พวกมั่วชิงเฉินไล่ตามอย่างใกล้ชิด จนมาถึงสถานที่ที่มีเสียงร้องดังออกมา

อักษรภาษาสันสกฤตสีทองที่กลายเป็นตัวอักษรจริงๆ ตัวแล้วตัวเล่า ลอยวนรอบลานบ้านเป็นวงกลม อีกทั้งเสียงก็ได้กระจายออกไป

ลานบ้านที่ถูกโอบล้อมด้วยอักษรภาษาสันสกฤตสีทองดูศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบ ตามด้วยเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้น ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกอันหนักอึ้งอย่างหนึ่ง

“ท่านแม่ เยี่ยนเยี่ยนกลับมาแล้วเจ้าค่ะ เยี่ยนเยี่ยนพาป้าสิบกับน้าสิบหกมาด้วย…” หวังเยี่ยนเยี่ยนฝ่ากลุ่มคนที่มุงอยู่เข้าไป

มั่วชิงเฉินและมั่วหร่านอีเดินตามเข้าไป

“อมิตาภพุทธ พี่สิบ ชิงเฉิน ในที่สุดพวกท่านก็มาแล้ว” ข้างเตียงมีพระหนุ่ม คิ้วหนา ตาโต รูปหนึ่งนั่งอยู่ เขาคือหู่โถว

“หู่โถว หนิงโหรวนาง…”

หู่โถวยืนขึ้นและเดินเข้ามาคารวะมั่วชิงเฉินกับมั่วหร่านอี “พี่สิบสี่ยังมีวาสนาต้องพบกับพวกท่าน พี่สิบ ชิงเฉิน รีบไปกล่าวอำลาเถิด”

หู่โถวพูดจบก็นั่งลงขัดสมาธิอีกครา ริมฝีปากท่องบทสวดต่อไปไม่หยุด

บทสวดที่เขาท่องนั้นแปลกมาก ไม่ว่าจะยืนใกล้หรือไกลก็ได้ยินเบามาก หากอยากตั้งใจฟังก็มักมีลมพัดไปอย่างไร้ร่องรอย มั่วหนิงโหรวที่อยู่บนเตียงนอนยังคงดูสาวอยู่เพราะเคยกินโอสถชะลอวัย เพียงแต่ผิวหนังที่เปิดเปลือยด้านนอกนั้นสูญเสียความมันวาวไปแล้ว มองดูก็รู้ว่าเป็นตะเกียงที่กำลังจะดับมอด

มั่วหนิงโหรวที่หลับตาลงไปแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ เพราะเสียงตะโกนของหวังเยี่ยนเยี่ยน นางมองหวังเยี่ยนเยี่ยนด้วยดวงตาสั่นไหว ด้วยลมหายใจอ่อนแรงเต็มที “เยี่ยนเยี่ยน…ใช่…”

หวังเยี่ยนเยี่ยนพยักหน้า “ท่านแม่ ป้าสิบกับน้าสิบหกมาแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบก็หันกาย

“หนิงโหรว!” มั่วหร่านอีคว้าข้อมือของมั่วหนิงโหรว ทันใดนั้นก็น้ำตาร่วงหล่นราวหยาดฝน

มั่วชิงเฉินนั่งลงข้างๆ นางจับมืออีกข้างของมั่วหนิงโหรวเอาไว้ “พี่สิบสี่ พวกเรามาแล้ว”

มั่วหนิงโหรวมองทั้งสองคน นางยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก “พี่สิบ น้องสิบหก พวกเจ้า…มิต้องเสียใจ…ควรจะดีใจเพื่อข้า บนโลกใบนี้มีกี่คนกันที่ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว บุตรชายบุตรสาวเพียบพร้อม ทั้งยัง…ได้พบหน้ากับญาติพี่น้องอีกครา…”

“นั่นสิ พวกเรามิได้เสียใจ มิได้เสียใจ…” น้ำตาของมั่วหร่านอีไหลเป็นสาย แต่กลับยิ้มพลางส่งตูตูไปตรงหน้ามั่วหนิงโหรว “น้องพี่เจ้าดูสิ นี่คือหลานชายของเจ้านามว่าตูตู ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่กับน้องสิบหก มีความสุขมาก”

“ท่านคือน้าสิบสี่หรือ” ตูตูส่งยิ้มกว้างให้มั่วหนิงโหรว “น้าสิบสี่ ท่านป่วยหรือ อย่ากลัวไปเลย ตูตูมีโอสถวิญญาณที่น้าสิบหกให้ไว้ จะต้องช่วยรักษาโรคของท่านได้แน่”

มั่วหนิงโหรวยื่นมือออกมาลูบใบหน้าของตูตู “ตูตูช่างเชื่อฟังนัก น้าสิบสี่มิได้กลัวแม้แต่น้อย น้าสิบสี่มิได้ป่วย เพียงแค่เหนื่อยแล้ว อยากนอนพักแล้ว…”

มั่วหร่านอีรับตัวตูตูกลับไป มั่วหนิงโหรวมองมั่วชิงเฉิน “น้องสิบหก ข้า…ข้าอยากกล่าวขอบคุณกับเจ้ามาตลอด…”

ชั่วพริบตาเดียวน้ำตาก็ไหลลงมา มั่วชิงเฉินยิ้มพลางลูบไล้เส้นผมให้มั่วหนิงโหรว “พวกเราพี่น้อง ไยจะต้องขอบคุณกันเล่า”

มั่วหนิงโหรวเบิกตากว้าง น้ำเสียงของนางอ่อนลงเรื่อยๆ “ชิงเฉิน เจ้าจำเทศกาลบุตรสาวเมื่อปีนั้นได้หรือไม่ ริมแม่น้ำอิ้งสยาเมื่อยามนั้นครึกครื้นมาก…ข้าโยนตะกร้าใส่บ๊ะจ่างลงไปในแม่น้ำ และขอพรหนึ่ง…ในบรรดาพี่น้องหนิงโหรวเป็นคนที่เขลาที่สุด ไม่เคยคิดอยากจะไปเผชิญความยากลำบากภายนอก…หรือว่าอายุยืน ข้า ข้าเพียงแค่เฝ้าคอยชายหนุ่มดีๆ สักคน ใช้เกี้ยวแปดคนหามพาข้าไปเป็นเจ้าสาวในยามที่ข้างดงามที่สุด…หากไม่ใช่เจ้า หากไม่ใช่เจ้า…ข้าคงมิได้ครองรักกับพี่หก…”

สายตาของมั่วหนิงโหรวเริ่มหย่อนยาน แต่ใบหน้าของนางยังอ่อนโยนและนิ่งสงบ นางพึมพำ “พี่หก พี่หก”

“หนิงโหรว ข้าอยู่ที่นี่ ข้าอยู่ที่นี่มาตลอด!” มั่วชิงเฉินกับมั่วหร่านอีขยับออกเงียบๆ คุณชายหกจับมือมั่วหนิงโหรวไว้แน่น

ดวงตาของมั่วหนิงโหรวดำขึ้นเรื่อยๆ แต่นางกลับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “พี่หก ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะได้ใช้ชีวิตสองร้อยกว่าปีอย่างมีความสุขเช่นนั้น จากนี้ จากนี้…ท่านจะต้องมีความสุขให้ยิ่งกว่านี้นะ”

มือตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ราวกับคุณชายหกจะไม่รู้ตัว เขากอดมั่วหนิงโหรวแน่นพลางพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่หกรับปากเจ้า ข้าต้องมีความสุขยิ่งกว่านี้แน่ เจ้าวางใจเถิดหนิงโหรว…”

หวังเยี่ยนเยี่ยนและบุรุษหนุ่มอีกสองคนโถมตัวเข้ามาและร้องไห้

มั่วชิงเฉินไม่ได้ระงับอารมณ์ของตนเอง นางปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา

พี่สิบสี่ ชิงเฉินบอกท่านไม่ทันว่าท่านไม่ได้เขลา ท่านเพียงแค่ใช้ชีวิตเรียบง่ายและรู้จักพอที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด

มั่วหนิงโหรวที่ไปโถงศึกษาด้วยกัน มั่วหนิงโหรวที่ไกวชิงช้าด้วยกัน มั่วหนิงโหรวที่ใฝ่ฝันชีวิตอันสวยงามหลังเติบโตด้วยกัน ท้ายที่สุดก็จากญาติพี่น้องไป

นางใช้อิทธิฤทธิ์คืนโฉม พยายามเรียกคืนผู้เป็นที่รักยิ่งกลับมา ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่สุด

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการตายอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ ถึงนางจะมีความสามารถแต่ก็มิอาจฝืนธรรมชาติได้

สำหรับมั่วหนิงโหรวแล้ว จุดจบเช่นนี้ก็เป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว

ต่อจากนี้คืองานศพของมั่วหนิงโหรว ด้วยสภาพจิตใจในยามนี้ของพวกเขานั้นจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับรูปแบบภายนอกนัก

พวกนางพักอาศัยอยู่สักพักเพื่อชี้แนะบุตรสาวและบุตรชายทั้งสามคนของมั่วหนิงโหรวเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียร พร้อมกับทิ้งทักษะการต่อสู้และของวิเศษที่เหมาะกับพวกเขาไว้ พวกมั่วชิงเฉินก็ขอตัวลา

“หู่โถว เจ้าจะกลับอิ๋งโจวหรือไม่” มั่วหร่านอีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก

ดวงตาสีดำวาวของหู่โถวโค้งขึ้น “พี่สิบ ตอนนี้พี่เก้ารั้งอยู่ที่จงหลางแล้ว ท่านก็มีบุตรแล้ว พี่สิบสี่มีบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน ชิงเฉินเองก็มีคู่ครองแล้ว ท่านยังจะให้อาตมาสึกหรือ”

มั่วหร่านอีเป็นมารดาแล้ว อารมณ์ของนาง ถึงอย่างไรโทสะก็เบาลงแล้ว นางเข้าใจว่าทุกคนต่างมีทางเดินของตนเอง ไม่อาจบังคับให้ทำตามใจตนได้ นางทำเพียงส่งเสียงฮึดฮัดออกมาและไม่มองเขาอีก

กลายเป็นมั่วชิงเฉินที่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “หู่โถวเจ้าไปเถิด รีบเป็นพระมหาธรรมาจารย์เร็วเข้าเล่า จะได้สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้ตระกูลมั่ว”

มั่วหร่านอีกลอกตาอยู่ข้างๆ “น้องสิบหก เจ้าพูดกลับกันแล้วกระมัง”

ความวุ่นวายเช่นนี้ทำให้บรรยากาศของการจากลาไม่เศร้าโศกนัก

ขณะที่กำลังจะแยกจากกัน หู่โถวก็พูดกับมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”

ทั้งสองคนเหาะไปข้างๆ มั่วชิงเฉินถาม “มีเรื่องอะไรหรือ”

สีหน้าของหู่โถวเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมที่หาได้ยาก “ชิงเฉิน เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าเจ้าเคยเปลี่ยนแปลงโชคชะตาใช่หรือไม่”

“หือ” มั่วชิงเฉินหัวใจเต้นแรง

หู่โถวถือโอกาสพูดตามตรง “เจ้าเองก็ทราบ วิถีบำเพ็ญเพียรสายพุทธญาณนั้นเมื่อถึงระดับที่กำหนดแล้วจะเปิดตาทิพย์ ใช้มองอดีตและอนาคตได้อย่างชัดเจน แม้ว่าข้าในตอนนี้จะยังไม่ถึงระดับนั้น แต่ข้าสัมผัสขอบเขตได้เล็กน้อย ครั้งนี้มองดวงชะตาของเจ้า ข้าเห็นชัดเจนว่าเจ้าเปลี่ยนแปลงโชคชะตาเพื่อผู้อื่น นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

มั่วชิงเฉินไตร่ตรองอยู่ครู่ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่รักษาเยี่ยเทียนหยวนและหลัวอวี้เฉิงออกมา

หู่โถวขมวดคิ้วแน่น “ประหลาดจริง แม้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา แต่ดูเหมือนว่าชะตากรรมของพวกเขาจะไม่สิ้นสุด ดูเหมือนจะกลับไปยังวงโคจรเริ่มต้น แต่เช่นนี้ชะตากรรมของพวกเจ้าทั้งสามคนนั้นยุ่งเหยิงมาก เทพเซียนบนโลกก็มิอาจคาดเดาได้แม่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตกันแน่ แต่ว่าในฐานะของผู้เปลี่ยนแปลงโชคชะตา นับจากนี้เจ้าจะต้องพบกับหายนะแน่ จะต้องระวังตัวให้มากๆ เล่า”

มั่วชิงเฉินยิ้ม “หู่โถว ไม่ต้องห่วงข้าหรอก เดิมทีชีวิตนี้ข้าก็แย่งมา ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องใดข้าก็จะต้องรับมือได้แน่ ข้าไม่ยอมแพ้หรอก ส่วนเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องที่เหนือความสามารถของมนุษย์”

“เช่นนั้นเจ้าต้องจำให้มั่นว่า อิทธิฤทธิ์นั้นฝืนสมดุลของกฎแห่งสวรรค์ วันหน้าจะต้องใช้อย่างระมัดระวังเล่า” เห็นสีหน้าของมั่วชิงเฉินไม่ใส่ใจ หู่โถวจึงพูดต่อ “รู้ไว้ว่าชีวิตของเจ้าเชื่อมกับคนสองคน หากไม่มีเรื่องเกิดขึ้นแต่ละคนก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากมีเรื่องเกิดขึ้น เกรงว่าพวกเขาคงมิอาจใช้ชีวิตเพียงลำพังได้…”

ได้ยินดังนั้นสีหน้าของมั่วชิงเฉินก็เปลี่ยนไปทันที นางพึมพำถาม “เพราะเหตุใด”

ถ้าหากเป็นศิษย์พี่ก็ไม่เป็นไร แล้วอีกคนเล่า หรือว่าจะเป็นหลัวอวี้เฉิง

ที่หู่โถวกล่าวว่าไม่อาจใช้ชีวิตเพียงลำพังได้ ไม่ใช่เพราะเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกของพวกเขาแต่ละคน แต่เป็นเพราะประสงค์ของสวรรค์

สิ่งนี้ทำให้นางเข้าใจได้ยากจริงๆ เหตุใดชีวิตนางถึงได้เกี่ยวข้องกับอวี้เฉิงเสียขนาดนั้น

หู่โถวมองมั่วชิงเฉิน สุดท้ายก็ไม่ได้พูดถึงที่มาของนางกับหลัวอวี้เฉิง เขาถอนหายใจเบาๆ “โชคชะตาของพวกเขาเปลี่ยนเพราะเจ้า ย่อมต้องแยกย้ายเพราะเจ้าเช่นเดียวกัน เจ้าเพียงแค่ทะนุถนอมกายให้ดีก็พอ ชิงเฉิน ข้าขอตัวลา”

หู่โถวเหยียบบงกชสีทองและจากไป