ตอนที่ 600 วิธีสร้างบารมี โดย ProjectZyphon
ภูเขาเก้าลูกตั้งเรียงราย กว้างใหญ่ตระการตา
แต่ละลูกมีตำหนักโบราณหลังหนึ่งตั้งอยู่ มองเห็นได้เลือนราง ลึกลับเสียจนทำให้ผู้คนทอดตาแล
นี่จะต้องเป็นสถานที่ลับซึ่งซุกซ่อนมหาวาสนาแห่งหนึ่งเช่นกันอย่างไม่ต้องสงสัย!
เดิมทีในตำหนักใหญ่อันลึกลับแห่งนั้น นอกจากมรรคคาถาซึ่งซ่อนเร้นความลับอันยิ่งใหญ่บทหนึ่งแล้ว หลินสวินก็ไม่ได้อะไรอีกเลย ในใจย่อมรู้สึกไม่ใคร่เต็มใจเป็นธรรมดา
ทว่าเวลานี้ครั้นรู้ว่าศุภโชคปรากฏขึ้นต่อหน้าอีกครั้ง จิตใจจึงไหวสั่น ความไม่เต็มใจทั้งหมดพลันหายวับไปจนเกลี้ยง
“ใช่! ครั้งนี้จะต้องทำการใหญ่!”
หลินสวินลับคมดาบพร้อมสู้เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดว่าควรลงมือกับภูเขาลูกไหนดีนั้น บนแท่นบูชาเก่าแก่แท่นหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปพลันเกิดคลื่นปั่นป่วนแพร่ออกมากะทันหัน
ที่ตามติดมาคือเงาร่างขบวนหนึ่งที่กระโดดออกมาอย่างโซซัดโซเซ ดุจว่าหนีเอาชีวิตรอดอย่างไรอย่างนั้น
“น่าชังนัก! นี่มันสถานที่เส็งเคร็งอะไรกันแน่ ถึงกับซ่อนไอสังหารหนักหน่วงเอาไว้ เดินพลาดก้าวเดียวก็จะเอาชีวิตไปเสียแล้ว ทำเอาเผ่าเราเสียยอดฝีมือไปมากมาย!”
“ลาหัวโล้นของพุทธนิกายทุกคนร้ายกาจดังคาด ทิ้งวาสนาไว้ แต่จัดวางไอสังหารไว้มากมายขนาดนี้ วิธีการโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว”
เงาร่างกลุ่มนั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าวัวมารทรงพลังนั่นเอง!
เพียงแต่ว่าหนนี้พวกเขาต่างสะบักสะบอม อาภรณ์ยับเยิน เส้นผมยุ่งเหยิง อีกทั้งคนจำนวนมากยังมีเลือดอาบทั่วร่าง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อยทีเดียว
ทันทีที่ปรากฏตัว พวกเขาก็สบถสาปแช่ง แต่ละคนมีท่าทางขวัญกระเจิง ลุกลี้ลุกลนขุ่นเคือง ทำให้ผู้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาผ่านประสบการณ์และการเข่นฆ่าแบบไหนมากันแน่ ถึงได้กลายสภาพเป็นเช่นนี้
มีเพียงผู้เดียวที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ น่าจะเป็นหนิวทุนเทียน ‘ราชันวัวมารน้อย’ ผู้เป็นหัวหน้าเท่านั้น
เงาร่างของเขาสูงตระหง่านดุจดั่งหอคอยเหล็ก ห้าวหาญเหิมฮึก แววตาดุจสายฟ้า มีอำนาจเหิมหาญ มาดปกครองทั่วหล้าอย่างหนึ่ง
เพียงแต่ครั้งนี้สีหน้าของเขาก็อึมครึมไม่น่าดูเช่นเดียวกัน
ทว่ายามที่สังเกตเห็นพวกหลินสวิน สีหน้าของหนิวทุนเทียนพลันชะกไป กลางนัยน์ตาฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง คล้ายกับไม่คาดคิดว่าจะยังมีคนชิงตัดหน้ามาที่นี่ก่อนพวกเขา
“อะไรกัน ผู้ฝึกปราณเผ่ามนุษย์แจ้นมาอยู่ต่อหน้าพวกเรา?”
ในเวลานี้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ด้านข้างหนิวทุนเทียนก็สังเกตเห็นพวกหลินสวินแล้ว แต่ละคนมองมาด้วยสีหน้าระแวดระวังเจือไอสังหาร
บัดนั้นบรรยากาศได้เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
“สถานการณ์ชักจะท่าไม่ดีแล้ว พวกเราต้องรีบดำเนินการโดยด่วน”
เจ้าคางคกมุ่นคิ้ว ไหนเลยจะไปคิดว่าเพิ่งเตรียมจะทำการใหญ่สักตั้ง ก็มีผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งกรูออกมา ทำให้สถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นซับซ้อนยิ่งขึ้น
เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์นั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกหลินสวินขึ้นไปอีก หลังจากผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลังปรากฏตัวออกมา บนแท่นบูชาเก่าแก่ส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็เริ่มส่งเสียงคำรามสนั่น!
“ระยำ! ต่อจากนี้ไปอย่าให้ข้าได้เห็นลาหัวโล้นของพุทธนิกายอีกเชียว มิฉะนั้นจะฆ่าทิ้งให้หมด!”
“นั่นเป็นสถานที่บ้าบออะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้อันตรายปานนั้น ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่ของเผ่าเราแทบจะตายอยู่ในนั้นกันหมด!”
ที่ตามมาคือเสียงสาปแช่งระลอกแล้วระลอกเล่า พร้อมกับปรากฏเงาร่างของผู้แข็งแกร่งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เช่นกลุ่มของเมิ่งเหลียนชิงแห่งเผ่าหงส์หิรัณย์ กลุ่มของข่งซิ่วแห่งเผ่าโห่วเมฆา กลุ่มของเสวียนหลัวจื่อแห่งเผ่าเต่าทมิฬ…
เนืองแน่นเป็นขนัด กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เพียงแต่พวกเขาแต่ละคนล้วนมีสภาพค่อนข้างสะบักสะบอม เสื้อผ้าเปื้อนเลือด ขวัญหนีดีฝ่อ ทันทีที่ปรากฏตัวก็แหกปากสาปแช่งกันยกใหญ่ พาให้อึ้งงันยิ่ง
“ดูเหมือนว่าเส้นทางบนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งนั้นก็ไม่ได้ปลอดภัย ภายในนั้นเต็มไปด้วยอันตรายและไอสังหาร ถึงได้ทำให้เจ้าพวกนี้บ้าคลั่งขนาดนี้ จะต้องสูญเสียกำลังคนไปไม่น้อยอย่างแน่นอน”
บัดนี้เจ้าคางคกเริ่มมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นขึ้นมา
หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนก็พอจะเดาได้คร่าวๆ เพียงแต่ในเวลานี้พวกเขากลับยิ้มไม่ออก
ภูเขาใหญ่เก้าลูกตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น วาสนาจะต้องซุกซ่อนอยู่บนยอดเขาเก้าลูกนี้เป็นแน่ และในตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างก็มากันหมด แค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนที่ช่วงชิงวาสนาต่อจากนี้ จะต้องเลี่ยงการสังหารนองเลือดไม่ได้เป็นแน่
“ศิษย์น้องจ้าว พวกเจ้าถึงขั้นรุดหน้ามาก่อนแล้ว?”
ทันใดนั้นพลันเกิดเสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นมาจากระยะไกล กลับเป็นบนแท่นบูชาแท่นหนึ่ง เงาร่างของพวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อเดินออกมาไม่ขาดสาย
ผู้ที่เอ่ยคำก็คือซูซิงเฟิงนั่นเอง
ยามที่พวกเขามองเห็นว่าหลินสวิน จ้าวจิ่วเซวียนและเจ้าคางคกถึงกับล่วงหน้ามาถึงก่อน ทั้งยังอยู่ในสภาพปลอดภัย ต่างก็อดประหลาดใจน้อยๆ ไม่ได้
“ศิษย์น้องจ้าว มาทางนี้”
เซียวหรันเอ่ยปากเสียงนุ่ม บุคลิกแปลกแยกเหมือนที่ผ่านมาก
จ้าวจิ่งเซวียนค่อนข้างลังเล สายตามองไปที่หลินสวิน
สีหน้าหลินสวินราบเรียบ สื่อจิตว่า ‘ความแค้นระหว่างข้ากับมือสังหารคนนั้นก็น่าจะคลี่คลายในอีกไม่ช้า พวกเราเข้าไปเถอะ’
เวลานี้จ้าวจิ่งเซวียนไม่ได้ลังเลอีกต่อไป แต่ไรมานางไม่ใช่สตรีที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินสวิน นางยินดีที่จะเคารพความรู้สึกและการตัดสินใจของหลินสวิน
เจ้าคางคกที่อยู่ด้านข้างมองเห็นทุกอย่างแก่สายตา ในใจก็อดลอบปลงตกไม่ได้ ‘นี่คือผู้หญิงที่เฉลียวฉลาดมากคนหนึ่ง ถ้าหากว่านางต้องตาเจ้าหนูนี่ขึ้นมาจริงๆ กลัวก็แต่เจ้าหนูนี่คงไม่อาจหลุดลอยไปจากเงื้อมมือของนางไปตลอดชีวิตเป็นแน่…’
“ศิษย์น้องจ้าว พวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
ขณะที่พวกของหลินสวินเพิ่งจะเข้ามาใกล้ ซูซิงเฟิงก็อดส่งเสียงเอ่ยถามไม่ได้
“เดินมาอีกทางหนึ่ง”
จ้าวจิ่งเซวียนตอบคำถามอย่างราบเรียบสบายๆ
เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้ทำให้ซูซิงเฟิงไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาอดมุ่นคิ้วไม่ได้ มองจ้าวจิ่งเซวียน แล้วมองไปที่หลินสวินกับเจ้าคางคก ท้ายที่สุดก็ยังคงอดกลั้นเอาไว้ ไม่ได้พูดมากความอะไร
“พวกเจ้าสามารถมาถึงได้โดยสวัสดิภาพ ข้าก็วางใจแล้ว”
เซียวหรันทอดถอนใจ “บนเส้นทางเมื่อครู่นี้เต็มไปด้วยไอสังหาร แม้ว่าจะเป็นพวกเราก็เกือบประสบเคราะห์อยู่ในนั้น มาถึงที่นี่ได้โดยสวัสดิภาพก็นับว่าโชคช่วยแล้ว”
“ไม่ใช่แค่โชคช่วย เป็นโชคดีเหลือเกินชัดๆ เมื่อเทียบกับขุมกำลังเผ่าอื่นๆ พวกเจ้าไม่ได้สูญเสียใครเลยสักคน”
น้ำเสียงของเจ้าคางคกอึมครึมแปลกประหลาด บางทีอาจเพราะมีความเกี่ยวข้องกับหลินสวิน ทำให้เขารู้สึกขัดตาผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณพวกนี้มาโดยตลอด
“นี่เจ้าอยากให้พวกเราสูญเสียจนอดไม่ไหวหรือ”
เหวินเสียงโกรธ จ้องเจ้าคางคกพลางตำหนิ
“ข้าก็แค่บอกว่าพวกเจ้าโชคดีมาก หูข้างไหนของเจ้ากันที่ได้ยินว่าข้ากำลังสาปแช่งพวกเจ้าอยู่ เด็กเมื่อวานซืน เจ้านี่ช่างตื๊อไม่เลิกราเลยเชียว”
เจ้าคางคกก็ถลึงตาใส่ ไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน
อวิ๋นเช่อที่ไม่ยอมเอ่ยปากเรื่อยมาก็เริ่มจะทนดูต่อไปไม่ได้ กล่าวว่า “ใครบอกว่าพวกเราไม่ได้สูญเสียกัน ถ้าไม่ได้ครอบครองยันต์จักจั่นทอง พวกเรา…”
ไม่รอให้พูดจบก็ถูกซูซิงเฟิงตวาดเสียงกร้าว “ศิษย์น้องอวิ๋นเช่อ อย่าพูดมากความ!”
เห็นชัดว่าอวิ๋นเช่อเองก็รับรู้ถึงความไม่เหมาะควร สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนเงียบปากไม่เอ่ยคำทันที
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้หลินสวินผู้เห็นทุกอย่างในสายตา ภายในใจยังคงเกิดความตระหนักรู้เสี้ยวหนึ่งขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าบนเส้นทางก่อนหน้านี้ เหตุที่พวกของเซียวหรันสามารถมาถึงอย่างครบครัน จะต้องอาศัยการคุ้มครองชีวิตจาก ‘ยันต์จักจั่นทอง’ อย่างแน่นอน!
หากคาดคะเนเช่นนี้ ก็หมายความว่าในกลุ่มของพวกเซียวหรันจะต้องมีเสียยันต์จักจั่นทองไปแล้วแน่!
ว่าแต่จะเป็นใครกัน
ณ ตอนนี้หลินสวินยังมองไม่ออก แต่ว่านี่เป็นข่าวสารที่มีค่าอย่างหนึ่งแน่นอน หากเกิดปะทะกับพวกเขาขึ้นมา ไม่แน่ว่ายังพอจะสังหารคู่ต่อสู้ให้สิ้นซากได้คนหนึ่ง!
“ท่านทั้งหลาย ที่แห่งนี้มีภูเขาทั้งหมดเก้าลูก เผ่าวัวมารทรงพลังของพวกเราจะครอบครองลูกแรกจากทางซ้ายมือ ไม่ทราบว่าใครมีข้อข้องใจ?”
ฉับพลันในลานมีเสียงตะโกนประหนึ่งอสนีดังขึ้น สายตาของหนิวทุนเทียนคมกริบ กวาดมองทั่วลาน ทั่วสรรพางค์กายรายล้อมด้วยแสงนิล อหังการทะยานฟ้า กลิ่นอายข่มขู่เต็มเปี่ยม
ยามนี้กลุ่มผู้กล้าแต่ละเผ่าต่างมาถึงแล้ว ปักหลักในพื้นที่หนึ่ง สายตาทอประกาย กำลังสำรวจภูเขาเก้าลูกที่อยู่ระยะไกล
ครั้นได้ยินหนิวทุนเทียนเอ่ยวาจานี้ ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากต่างหน้าเคร่งขรึม นี่ก็เท่ากับบังคับครองวาสนากันโต้งๆ หรือ
“เฮอะ! เผ่าวัวมารทรงพลังของพวกเจ้าอย่าได้กำแหงเกินไปนัก มีผู้ร่วมหนทางตั้งมากมาย อาศัยอะไรพวกเจ้าถึงจะครอบครองภูเขาลูกหนึ่งในนั้นกัน”
เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้น เทียบผลุบเทียวโผล่อยู่กลางลาน ทำให้ผู้คนแยกแยะที่มาไม่ออก
“อาศัยอะไร?”
หนิวทุนเทียนหัวเราะลั่น น้ำเสียงดุจระฆังกังสดาล ซัดสะเทือนฟ้าดิน
ฉับพลันเขาเอื้อมมือออกไปคว้า บัดนั้นกลางอากาศพลันระเบิด เผยเงาร่างสายหนึ่งออกมาท่ามกลางผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาเพลิงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
ตูม!
จากนั้นมือใหญ่ของหนิวทุนเทียนประหนึ่งดาบ ผ่าฟันอย่างรุนแรง ร่างนั้นถูกผ่าเป็นสองท่อนตรงๆ เลือดสดดั่งน้ำตกสาดกระเซ็นไปทั่วพสุธา กลิ่นคาวเลือดหาที่เปรียบมิได้
ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง เขาลงมืออย่างไม่เกรงใจสักนิด สังหารคนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ท่าทางอหังการและแข็งแกร่งระดับนั้นทำให้ผู้คนทั้งลานหน้าเปลี่ยนสี
“มีน้ำยาแค่นี้ ยังมีหน้ามาถามข้าว่าอาศัยอะไร?”
หนิวทุนเทียนดูแคลน หว่างคิ้วเปี่ยมด้วยความถือดี “ยังมีใครไม่ยอม ลุกออกมาอย่ารั้งรอ ข้าจะเล่นด้วยทีละคน!”
ทันใดนั้นทั่วลานต่างเงียบสงัด ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากกล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก ช่วยไม่ได้ เป็นที่รู้กันดีว่าหนิวทุนเทียนนั้นแข็งแกร่งและอหังการเกินไป ดุจดั่งราชามาร ไม่อาจเทียบพลังได้
“สหายยุทธ์ แต่เดิมวาสนานั้นไร้เจ้าของ แต่ละคนล้วนอาศัยฝีมือไปช่วงชิงกันทั้งนั้น หากเพียงเพราะวาจาของเจ้าเพียงคนเดียวก็ครอบครองภูเขาหนึ่งลูกได้ ข้าเชื่อว่าในลานนี้คงไม่มีใครยอมหรอก”
ที่เหนือความคาดหมายของผู้คนคือ ในเวลาเช่นนี้เซียวหรันที่แยกตัวเอกเทศปานนกกระสาป่าในพยับเมฆเรื่อยมาถึงกับเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนและราบเรียบ แต่กลับดังก้องไปทั่วทุกที่ในลาน
สิ่งนี้ทำให้หลินสวินอดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ จนถึงตอนนี้ เขายังคงกริ่งเกรงเซียวหรันคนนี้อยู่บ้าง มองคนๆ นี้ไม่ค่อยออกอยู่สักหน่อย
“เจ้าเป็นใครอีก”
หนิวทุนเทียนที่อยู่ไกลออกไปสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาดุจสายฟ้าเย็นเยียบ กวาดสายตามองมา
“แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เซียวหรัน”
เซียวหรันยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยปาก ทั่วสรรพางค์กายเอ่อล้นด้วยท่วงทำนองมรรค ต่อต้านประจันหน้ากับอีกฝ่าย ในแง่อานุภาพต่างฝ่ายต่างมีดีเฉพาะตัว ไม่อ่อนแอโดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายในลานต่างหันมามอง
“ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือในเผ่ามนุษย์นี่เอง แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณข้าก็เคยได้ยิน แต่ข้ากลับไม่เคยได้ยินบุคคลที่มีนามว่าเซียวหรันเลยสักคน”
น้ำเสียงของหนิวทุนเทียนเย็นยะเยือก อานุภาพแข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งพยับเมฆปกคลุมเมือง กวาดม้วนออกมา
“ละอายนัก ข้าผู้แซ่เซียวแต่เดิมก็เป็นพวกไร้ชื่อเสียง ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็นับว่าเป็นเพียงคนธรรมดา ทำให้สหายยุทธ์หัวเราะเยาะแล้ว”
น้ำเสียงของเซียวหรันอ่อนโยน บุคลิกสันโดษมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ปะทะอานุภาพกับหนิวทุนเทียน ไม่เคยร่นหลีกเลยสักก้าว
สิ่งนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่ายิ่งใจสะท้าน สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเซียวหรัน ขุมกำลังไม่น้อยต่างลอบสื่อจิตอย่างอดไม่ได้ เริ่มระแวงระไวเซียวหรัน
‘ที่แท้เซียวหรันก็อาศัยโอกาสนี้สำแดงพลังของตนออกมา ทำให้ผู้แข็งแกร่งพวกนั้นสั่นสะเทือน เป็นเช่นนี้แล้ว ยามที่แย่งชิงวาสนาต่อจากนี้ คู่ต่อสู้บางคนที่รู้ตัวว่าไม่ทัดเทียม จะต้องไม่กล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายเป็นแน่…’
หลินสวินใคร่ครวญ ในใจอดยำเกรงไม่ได้ หนิวทุนเทียนใช้การฆ่าคนสร้างบารมี ส่วนเซียวหรันกลับตรงกันข้าม เขาอาศัยชั้นเชิงในการประจันหน้ากับหนิวทุนเทียนสร้างบารมี!
และในเมื่อเขากล้าจะทำเช่นนี้ แปลว่าเขามีความมั่นใจที่จะต่อกรกับหนิวทุนเทียนใช่หรือไม่
ทันใดนั้นหนิวทุนเทียนพลันระเบิดหัวเราะออกมา เก็บพลังและไอสังหารรอบตัวพลางกล่าว “มนุษย์อย่างเจ้านี่ช่างฉลาดยิ่งนัก น่าเสียดาย ข้าไม่มีเวลาจะต่อปากต่อคำกับเจ้า ในเมื่อวาสนานี้ทุกคนต่างไม่ยินดีปล่อยไป เช่นนั้นก็ใช้วิธีของแต่ละคนเถิด!”
“เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”
เซียวหรันยิ้มน้อยๆ ราบเรียบดังเดิม ท่าทางเป็นเอกเทศเช่นนั้น กลับเป็นพลังที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถละเลยได้
‘เจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดาเลย’
เจ้าคางคกลอบสื่อจิต ทอดถอนใจออกมา
หลินสวินก็รู้สึกเช่นเดียวกันอย่างลึกซึ้ง ในบรรดาผู้สืบทอดทั้งกลุ่มของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ เซียวหรันเป็นคนเดียวที่เขามองไม่ทะลุมากที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
——