ถังซีชูแฟลชไดรฟ์ขึ้นพร้อมกับยิ้ม “เท่าที่ฉันรู้จักฉินซินหยิ่ง เธอจะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจในการไขว่คว้าหาชื่อเสียง และไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา เพียงเพราะทำภาพสเก็ตช์งานออกแบบของฉันหายไป เธอจะพยายามจนถึงที่สุดที่จะหาภาพสเก็ตช์งานออกแบบมาเพื่อให้เธอชนะผู้อื่น เพราะฉะนั้นฉันจึงวางแผน…”
เซียวจิ่งมองหน้าถังซีและขมวดคิ้ว “เธอจะทำยังไง”
ถังซียิ้ม แบมือออก มองดูแฟลชไดรฟ์ในมือแล้วกล่าวเน้นทีละคำ “เพราะฉะนั้นฉันจึงวางแผนขายภาพสเก็ตช์งานออกแบบให้เธอ”
เฉียวเหลียงจ้องมองถังซีด้วยความตกใจ เซียวจิ่งตะโกนว่า “เธอจะช่วยผู้หญิงคนนั้นเหรอ!”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ถังซียิ้มเยือกเย็น “ฉันแค่อยากเห็นปฏิกิริยาของเธอว่าเป็นอย่างไร เมื่อคนที่เธอดูถูก ตบหน้าเธอด้วยอาชีพที่เธอภูมิใจนักหนา!”
“และ…” ถังซีหันไปด้านข้างมองเฉียวเหลียงแล้วกล่าวว่า “ช่วยจดทะเบียนเปิดบริษัทให้ฉันที ค่าถ่ายโฆษณาโอนมาเข้าบัญชีฉันแล้ว ฉันจะใช้เงินสามล้านหยวนเป็นทุนเริ่มต้นธุรกิจ”
เฉียวเหลียงเลิกคิ้ว มองถังซีด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “คุณไม่เข้าร่วมกับบริษัทผมเหรอ”
ถังซีส่ายศีรษะ “ค่าจ้างฉันแพง และฉันเป็นคนพิถีพิถันมาก ไม่อยากทำงานร่วมกับใครหลายๆ คนที่จะมาลดมาตรฐานฉัน”
เฉียวเหลียงส่ายศีรษะ หัวเราะและลูบผมถังซี “ผมเป็นหนึ่งใน ‘หลายๆ คน’ นั้นหรือเปล่า”
ถังซีไม่ปฏิเสธ เธอยักไหล่แล้วมองเซียวจิ่งซึ่งกำลังจ้องมองเธอ และรีบปลอบใจเขา “พี่จิ่ง อย่าโกรธเลยน่า ฉันไม่ได้หมายถึงพี่ พี่กับเฉียวเหลียงเป็นเจ้านายคนพวกนั้น ไม่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาอย่างแน่นอน อย่าเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดผิดไป”
ใบหน้าเฉียวเหลียงเปลี่ยนเป็นเย็นชา และส่งสายตาดุดันให้เซียวจิ่ง เซียวจิ่งยักไหล่ หัวเราะแล้วตะโกนว่าถังซีคือ ‘น้องสาวสุดที่รัก’ และถามถังซีอย่างจริงจังว่า “โหรวโหรว เธอจะตั้งชื่อบริษัทว่าอะไร” แล้วหัวเราะอีก “ชื่อบริษัทน้องสาวพี่ต้องเป็นที่ประทับใจสุดๆ!”
ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “ใช่ค่ะ ต้องน่าประทับใจมากๆ ฉันคิดอยู่นาน และตัดสินใจว่าจะใช้ชื่อ ‘เดอะควีน’ ”
เฉียวเหลียงส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม และลูบผมถังซีเมื่อได้ยินชื่อบริษัท ถังซียิ้มให้เขาแล้วหันไปมองเซียวจิ่ง “พี่คิดว่าเป็นยังไงคะ พี่จิ่ง ไม่โดนใจเลยเหรอ”
“โดนสิ ฟังดูทรงพลังมาก!” เซียวจิ่งพยักหน้า “น่าประทับใจสุดๆ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะที่จะก่อตั้งบริษัทออกแบบแฟชั่น เธอต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
ถังซียิ้ม “ฉันรู้ค่ะว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นฉันจะพยายามทำสุดความสามารถ” เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วยิ้ม “ตอนอยู่เมืองหลวงฉันรู้จักดีไซเนอร์หลายคนที่มีความสามารถในการออกแบบมาก แต่บริษัทออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงไม่มีโอกาสเจอพวกเขา ฉันจะให้ข้อมูลพวกเขา พี่ช่วยติดต่อให้ฉันได้ไหม”
จากนั้นเธอก็มองหน้าเซียวจิ่ง “และฉันจะไม่ออกแบบแค่เสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว เดอะควีนต้องสร้างราชินี ดังนั้นเครื่องแต่งกายจากการออกแบบของเดอะควีน ต้องมีตั้งแต่หัวจรดเท้า เราจะออกแบบตั้งแต่เครื่องแต่งกายบนศีรษะจนถึงรองเท้า เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่แค่บริษัทออกแบบเสื้อผ้า”
หางตาเซียวจิ่งหรี่ลง “น้องรัก ความคิดเธอช่างมหัศจรรย์ แต่ยากมากที่จะทำให้สำเร็จ เธอมีพลังมากพอที่จะทำได้ในตอนนี้หรือ แล้วอีกอย่าง… สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบริษัทที่หรูหราคือการเริ่มต้นก้าวแรก เธอจะทำยังไง”
ถังซียิ้มด้วยรอยยิ้มเร้นลับ เธอหันไปมองเซียวจิ่งทางด้านข้างแล้วกล่าวว่า “พี่จิ่งรอดูก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
จากนั้นถังซีก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเธอยิ่งดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึง “บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่จะไม่สำเร็จด้วยมือฉัน นอกจากสิ่งที่ฉันไม่อยากทำเท่านั้นแหละ”
เฉียวเหลียงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ มองลึกลงไปในตาถังซีด้วยรอยยิ้มจางๆ “อย่าทำงานหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นผมจะต้องเศร้า” เขากล่าว
ถังซีตัวสั่นขึ้นมา มองหน้าเฉียวเหลียงด้วยความหวาดหวั่น และเรื่องที่เฉียวอวี่ซินพูดกับเธอในวันนั้นก็ผุดขึ้นมาในใจทันที เธอหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “แน่นอนค่ะ ฉันจะไม่ทำงานหนักเกินไป เพราะฉันจะไม่ยอมให้คุณเศร้า”
เฉียวเหลียงอยากคุยกับถังซีมากกว่านี้ อยากถามว่าเธอเป็นอย่างไรบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา อยากบอกเธอว่าเขาคิดถึงเธอมากแค่ไหน แต่เซียวจิ่ง บุคคลที่สามผู้น่ารำคาญไม่ยอมออกไปจากห้องคนไข้เสียที บางทีเซียวจิ่งอาจต้องการแก้แค้น หรือเพียงแค่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอเธอกับเขา โดยไม่ยอมกลับไป เฉียวเหลียงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับก่อน แล้วเซียวจิ่งก็ตามเขาออกมา
ถังซีอดหัวเราะไม่ได้อยู่พักใหญ่ ขณะมองดูชายหนุ่มทั้งสองกลับไป คนหนึ่งดูหงุดหงิดและโกรธแค้น อีกคนยิ้มอย่างมีความสุข เพราะในที่สุดเขาก็ได้แก้แค้น
ขณะเดินออกจากโรงพยาบาล เฉียวเหลียงเหลือบสายตามองเซียวจิ่งอย่างเย็นชา เซียวจิ่งยักไหล่อย่างไม่กลัวเกรงและมองหน้าเฉียวเหลียง “พ่อนายมีปฏิกิริยานะ เขาติดต่อผู้ถือหุ้นเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปทุกวัน ฉันกลัวว่าสักวันรองประธานจะทรยศพวกเรา ที่สำคัญพ่อนายเสนอเงื่อนไขที่ดีมาก ถ้าฉันไม่ได้เติบโตมากับนาย ฉันคงไปอยู่ฝ่ายพ่อนายแล้ว”
เฉียวเหลียงมองดูเซียวจิ่งอย่างไม่แยแส อาห้ารีบเปิดประตูให้พวกเขา เซียวจิ่งเดินนำไปขึ้นรถและเฉียวเหลียงตามมา “แล้วไงอีก”
“ถึงแม้จะเป็นการดีที่ตอนนี้พนักงานของเราเข้ามายึดแผนกเลขานุการไว้แล้ว แต่จะเป็นที่จับตาเกินไป นายคิดว่าจำเป็นไหมที่จะต้องส่งพวกเขาไปอยู่แผนกอื่นๆ บ้าง”
“ไม่จำเป็น” เฉียวเหลียงยิ้มเยือกเย็น “ในเมื่อคนไม่รู้จักพอมันอยากติดสินบน ก็ปล่อยให้พวกมันคายสิ่งที่กินเข้าไปออกมา ที่สำคัญคือช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปต้องการเงิน”
“แล้วคนในตระกูลเฉียวล่ะ” เซียวจิ่งมองหน้าเฉียวเหลียง “กำจัดพวกเขาทุกคนเหรอ”
เฉียวเหลียงยิ้มเยือกเย็น หันไปมองเซียวจิ่งที่นั่งข้างๆ “ฉันใช้เวลาไปมากมายกับเกมนี้ ไม่ใช่เพื่อให้คนพวกนั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เพื่อให้พวกเขารู้ว่าจะเป็นยังไงเมื่อทำให้ฉันขุ่นเคือง”
เซียวจิ่งยักไหล่และพยักหน้า “อีกอย่างหนึ่ง ดูเหมือนพ่อนายต้องการให้ลู่หงคุนเข้ามาเป็นผู้จัดการแผนกหนึ่งในเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป เมื่อเร็วๆ นี้เขาพยายามเกลี้ยกล่อมฝ่ายบุคคล แต่สามีวิเวียนไม่เห็นด้วย”
เมื่อเฉียวเหลียงได้ยินคำพูดของเซียวจิ่ง ประกายเย็นยะเยือกก็วาววับในดวงตา เขากล่าวว่า “เขาคิดจริงๆ หรือว่า เฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปเป็นบริษัทของตัวเอง หลายปีมานี้ดูเหมือนเขาจะไปไกลเกินไป”
ถึงแม้เฉียวเหลียงจะไม่แสดงออกทางสีหน้า และแม้จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงเมื่อกล่าวประโยคนี้ แต่เซียวจิ่งก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเขากลายเป็นน้ำแข็งไปในทันที
ลู่หงคุนถือกำเนิดจากลู่กวงสยงกับชู้… หรือจะเรียกว่าภรรยาคนปัจจุบันของเขาก็ได้ ผู้ชายคนนี้จึงเป็นน้องชายต่างมารดาของเฉียวเหลียง
เซียวจิ่งเลิกคิ้วมองเฉียวเหลียง และอดพูดไม่ได้ว่า “ใจเย็นๆ อย่าทำให้เขาสาหัสถึงขั้นพิการล่ะ ไม่อย่างนั้นนายจะมีความผิดทางอาญา”