สองวันต่อมาถังซีก็ลุกจากเตียงลงมาเดินเล่นไปมาในห้อง การได้เห็นถังซีเคลื่อนไหวได้อย่างปกติทำให้หยางจิ้งเสียนยิ้มออกมาอย่างโล่งอก “ในที่สุดลูกก็ลุกจากเตียงได้แล้ว แม่จะไปจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้นะจ๊ะ”
เธออยากให้ถังซีอยู่ในโรงพยาบาลอีกสักสองวัน แต่ถังซีปฏิเสธ ตอนนี้ 008 สามารถช่วยให้ร่างกายเธอแข็งแรงขึ้นได้แล้ว และเธอเบื่อกลิ่นโรงพยาบาลเต็มที
เมื่อได้ยินว่าหยางจิ้งเสียนกำลังจะไปจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ ดวงตาถังซีก็เป็นประกายสดใส เธอรีบเรียกหยางจิ้งเสียนไว้ “คุณแม่คะ เดี๋ยวก่อนค่ะ หนูจะเก็บข้าวของแล้วไปพร้อมกับคุณแม่ เราจะได้ออกจากโรงพยาบาลเลยหลังจากจัดการเสร็จ หนูไม่อยากอยู่ในห้องผู้ป่วยนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว”
หยางจิ้งเสียนมองหน้าถังซีด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่ แม่จะเก็บของให้เอง”
ถังซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นั่งเท้าคางรอบนโซฟา มองดูหยางจิ้งเสียนเก็บข้าวของของเธอ หยางจิ้งเสียนชอบบุคลิกภาพสงบนิ่งโดยธรรมชาติของถังซี เธอกล่าวขณะรวบรวมข้าวของต่างๆ “ในที่สุดลูกก็ได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที และในที่สุดแม่ก็ได้มีเพื่อนอยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นแม่จะรู้สึกเบื่อมากที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว”
ถังซีเลิกคิ้วมองหยางจิ้งเสียน ขณะแกว่งขาเล่นเบาๆ บนเท้าแขนโซฟา และถามหยางจิ้งเสียนว่า “ทำไมล่ะคะ คุณพ่อกับพี่ๆ ไม่อยู่บ้านเลยเหรอคะ”
หยางจิ้งเสียนส่ายศีรษะ “คุณพ่อของลูกไปทำงานที่เมืองหลวง บริษัทของส่าต้องปรับปรุงเกมรุ่นใหม่ลงระบบวันนี้ เขาต้องทำงานล่วงเวลาและจะกลับบ้านประมาณเที่ยงคืน ส่วนจิ่ง แม่ไม่เจอเขาเลยเกือบสัปดาห์หนึ่งแล้ว แม่ไปหาที่บริษัทเมื่อวานนี้ พบว่าเขายุ่งจนหัวปั่น แม่เลยต้มซุปให้เขา และส่งไปพร้อมกับเสื้อผ้าให้เขาเปลี่ยน”
ถังซีพยักหน้า ไม่น่าแปลกใจที่เฉียวเหลียงกับเซียวจิ่งไม่ได้มาที่นี่ในช่วงสองวันที่ผ่านมา แม้แต่เซียวส่า ที่มาโรงพยาบาลบ่อยกว่าเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้มา ปรากฏว่าเขายุ่งอยู่กับการปรับปรุงระบบเกมของบริษัท
หยางจิ้งเสียนเก็บข้าวของของถังซีเสร็จในไม่ช้า ถังซีจูงมือหยางจิ้งเสียนและร้องออกมาด้วยความดีใจ ว่าในที่สุดเธอก็ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จากนั้นก็เริ่มสาธยายสิ่งที่เธออยากทาน แต่หยางจิ้งเสียนส่ายศีรษะบอกว่า “ลูกทานอาหารเผ็ดร้อนไม่ได้นะจ๊ะตอนนี้ เดี๋ยวกลับถึงบ้านแล้วแม่จะเคี่ยวซุปอ่อนๆ ให้ อาหารแบบนี้ดีต่อสุขภาพลูก”
ถังซีพยักหน้ารับความทรมานนั้น ขณะเข้าไปในลิฟต์เธอถามมารดาว่าหลินหรูเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ ใบหน้าหยางจิ้งเสียนสลดลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินถังซีพูดถึงหลินหรู “แม่ไม่อยากบอกลูกเลยจริงๆ” เธอกล่าวเสียงต่ำ
ถังซีขมวดคิ้ว รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาทันที เธอจับมือหยางจิ้งเสียนแน่น “ร่างกายแม่มีอะไรผิดปกติไปเหรอคะ”
หยางจิ้งเสียนส่ายศีรษะ “เธอกำลังจะหาย แต่เมื่อได้ยินว่าลูกเข้าโรงพยาบาลอีก เธอก็ตกลงมาจากเตียง ไม่แน่ว่าเธอจะลุกขึ้นยืนได้อีกหรือเปล่า ตอนนี้พ่อของลูกกำลังดูแลเธออยู่ในโรงพยาบาล”
ใบหน้าถังซีซีดสลด “ทำไมคุณแม่ถึงบอกแม่เรื่องหนูละคะ ไปเร็วๆ ค่ะ”
หยางจิ้งเสียนจงใจไม่เลือกโรงพยาบาลหลินอัน เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจหลินหรู แล้วหลินหรูรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร หยางจิ้งเสียนลูบหลังถังซี ปลอบเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “โทษใครไม่ได้หรอกลูก วันนั้นตำรวจมาบันทึกคำให้การหลินหรูที่โรงพยาบาล เขาถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างเซียวจิ้นหนิงกับหลินเจียว และพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ แม่ของลูกเป็นห่วงลูกมากเธอพยายามลงจากเตียงจนตกลงมา อาการเธอก็เลยแย่ลง”
เมื่อลิฟต์เปิดออกถังซีจับมือหยางจิ้งเสียนไว้แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “คุณแม่คะ หนูรักคุณแม่มาก คุณแม่รู้ใช่ไหมคะ”
หยางจิ้งเสียนยิ้มและพยักหน้า “ใช่จ้ะ แม่รู้”
ดวงตาถังซีเริ่มแดงเรื่อขณะเธอกล่าวเบาๆ “แต่หนูเพิกเฉยต่อแม่หลินหรูไม่ได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้หนูไม่สามารถกลับบ้านไปกับคุณแม่ได้ แต่…” ถังซีกอดหยางจิ้งเสียน “แต่หนูสัญญากับคุณแม่ว่า หลังจากหนูไปเยี่ยมแม่แล้วหนูจะกลับบ้าน ได้ไหมคะ”
“เด็กโง่” หยางจิ้งเสียนยิ้ม ตบหลังถังซีเบาๆ พร้อมกับน้ำตาคลอ กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ลูกควรไปหาเธอ อีกอย่างหนึ่งถ้าแม่ของลูกได้เจอลูกเธอจะรู้สึกดีขึ้น ไปเถอะจ้ะ”
ถังซีจูบแก้มหยางจิ้งเสียนแรงๆ แล้วหันหลังเดินออกจากโรงพยาบาล
หยางจิ้งเสียนรีบห้ามถังซีแล้วหัวเราะ “เด็กโง่ ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น ลูกจะนั่งแท็กซี่โดยไม่มีเงินได้ยังไง” เธอหยิบเงินสองร้อยหยวนจากกระเป๋าเงินส่งให้ถังซี พร้อมกับบอกว่า “แม่จะกลับบ้านก่อน และเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ลูก ไปหาแม่ของลูกแล้วอย่าลืมกลับไปทานอาหารกลางวันที่บ้านนะจ๊ะ”
ถังซีขยี้จมูกตัวเองอย่างขวยเขิน แล้วเดินออกไป
หยางจิ้งเสียนมองตามร่างถังซีที่ค่อยๆ ลับไป ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มและถอนหายใจ “ยิ่งฉันอยู่กับเด็กคนนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรักเธอ” ช่างเป็นเด็กจิตใจดีอะไรอย่างนี้
เธอคือนางฟ้ากลับชาติมาเกิดจริงๆ
…
วินาทีที่หลินหรูเห็นถังซีดวงตาเธอแดงเรื่อขึ้นมา และน้ำตาก็ไหลริน เธอขยับริมฝีปากแต่ไม่สามารถพูดอะไรได้ ถังซีตกตะลึงมองหน้าเซียวหงอี้ที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ และถามอย่างเคร่งเครียด “เกิดอะไรขึ้นคะ”
ไม่เหมือนกับที่หยางจิ้งเสียนบอก หยางจิ้งเสียนบอกว่าหลินหรูเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ แต่นี่แม่ของเธอดูเหมือนจะเป็นอัมพาตทั้งตัวและพูดไม่ได้!
เซียวหงอี้หน้าแดงก่ำและถอนหายใจ “คุณหมอบอกว่าเส้นประสาทในสมองของแม่ได้รับการกระทบกระเทือน แม่ก็เลย…”
ถังซีขมวดคิ้ว กล่าวกับเซียวหงอี้อย่างเย็นชา “ออกไปข้างนอก!”
เซียวหงอี้มองถังซีด้วยความตกใจ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่พูดอะไร หยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าด้านในแล้วเดินออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงหลินหรูมาก หลังจากเขาเดินออกไปถังซีก็มองไปที่หลินหรู เมื่อเห็นว่าหลินหรูซูบซีดขนาดนี้ดวงตาเธอก็แดงก่ำ น้ำเสียงเธอแหบห้าว “ทำไมแม่ถึงทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ แม่พยายามแสดงความรักที่มีต่อหนู ด้วยชีวิตของแม่เหรอคะ”
จากนั้นถังซีก็กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “หนูคิดว่าพระเจ้าเมตตาต่อหนูมาก ที่ให้หนูมีแม่สองคน ชดเชยความรักจากพ่อและแม่ที่หนูไม่เคยได้ชื่นชมในช่วงครึ่งแรกของชีวิต แต่ทำไมแม่ถึงทรมานตัวเองแบบนี้ แม่ตกใจมากเมื่อได้ยินว่าหนูเข้าโรงพยาบาลใช่ไหมคะ แม่ยอมรับไม่ได้ ก็เลยทำร้ายตัวเองแบบนี้ อย่างนั้นเหรอคะ!”
หลินหรูส่ายศีรษะอย่างสิ้นหวัง ขณะฟังคำกล่าวหาของถังซี ไม่… ไม่… แม่ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น!
ถังซีเย้ยหยัน “ไม่ใช่เหรอคะ แล้วแม่ต้องการอะไร ตอนที่หนูนอนตายอยู่ในโรงพยาบาลเดือนหนึ่ง แม่ไปทำงานได้ตามปกติ แม่มาที่โรงพยาบาลก็เพื่อด่าว่าหนูอย่างไร้ความปรานีด้วยซ้ำ ทำไมอยู่ๆ แม่ถึงอยากกลายเป็น ‘แม่ที่ดี’ ขึ้นมาละคะ ตัวแม่เองก็นอนโรงพยาบาล แม่มาห่วงหนูทำไม ดูสิคะ หนูลุกขึ้นยืนได้แล้ว แต่แม่ล่ะ แม่ทำอะไรได้ แม่เป็นอัมพาต ทำไม่ได้แม้แต่จะคุยกับลูกสาวตัวเอง!” เมื่อพูดถึงคำสุดท้าย น้ำเสียงเธอก็เกือบจะเหมือนคนบ้า
เมื่อได้ยินเสียงเธอดังออกไปข้างนอก เซียวหงอี้ก็เปิดประตูเข้ามาและตะโกนด้วยความโกรธ “เซียวโหรว พอได้แล้ว! อย่าพูดกับแม่ของลูกแบบนี้!”