ราชันเร้นลับ 399 : ผู้ถูกกัดกร่อน โดย Ink Stone_Fantasy
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคจ้องมองหนังศีรษะมนุษย์เปื้อนเลือดแซมด้วยกระจุกเส้นผม พลางย้อนนึกกลับไปถึงสภาพเดิมของมัน—เห็ดระยิบระยับแสนเย้ายวนเชื้อเชิญให้หยิบใส่ปากเคี้ยว
ผลดูมแห้งรสกรุบกรอบซึ่งดาร์กเคยชักชวนให้กิน แท้จริงแล้วกลับเป็นชิ้นส่วนนิ้วมือมนุษย์สีขาวซีด!
ในวินาทีนี้ เดอร์ริคเกิดอาการคลื่นไส้รุนแรงพร้อมกับกระเพาะร้องโครกคราก น้ำย่อยพลันตีกลับขึ้นมาถึงลำคอ
เด็กหนุ่มฝืนกัดฟันอดทนไม่ให้อ้วกแตกอ้วนแตก ขณะเดียวกันก็ขยับปากท่องกลอนทำนองไพเราะกังวาน
“ข้าแต่พระองค์ท่าน ได้โปรดนำพาอาณาจักรของท่านลงมายังดินแดนเบื้องหน้า ศัตรูของท่านจักมลายสิ้น ผู้ศรัทธาของท่านจักยินดีปรีดา!”
เสียงของเด็กหนุ่มเปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์แกมอบอุ่นอ่อนโยน เพียงพริบตา เดอร์ริคตระหนักว่าร่างกายตนเบาขึ้นกะทันหัน อาการพะอืดพะอมเลือนหายไป พลังวิญญาณกลับมาเปี่ยมล้นและมีชีวิตชีวา
บทเพลงเมื่อครู่ช่วยเพิ่มความกล้าหาญ พละกำลัง และความว่องไวในปริมาณสูง
นี่คือพลังของลำดับ 9 นักขับขาน!
ดาร์ก·รีเจนซ์นั่งจ้องอดีตเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนร่วมหน่วยร้องเพลงด้วยสีหน้าอึมครึม ก่อนมันจะเปล่งเสียงซ้ำซากในลักษณะห่างไกลความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที
“นายพกอะไรมาด้วย… นายพกอะไรมาด้วย? นายพกอะไรมาด้วย!!”
ทันใดนั้น เสื้อรัดรูปสีดำของดาร์กพลันบวมพองราวกับเลี้ยงงูตัวใหญ่ไว้ข้างในหลายสิบหลายร้อย
แคว่ก!
เถาวัลย์เนื้อมนุษย์ทรงเกลียวหลายสิบเส้นพุ่งทะลวงออกจากเสื้อสีดำรัดรูปในลักษณะน่าขยะแขยง ทุกเส้นล้วนมีกระจุกขนสีดำงอกแซมหลายจุด
เถาวัลย์เกลียวเนื้อมีรูปทรงเรียวแหลมและแผ่ออกมาทุกทิศทาง ดาร์ก·รีเจนซ์จึงมีรูปลักษณ์เหมือนตัวเม่นสีชมพูไม่มีผิดเพี้ยน
ฟ้าว!
ขนเม่นเนื้อยืดเป็นเกลียวและควงสว่านเข้าหาเดอร์ริคด้วยความเร็วสูง เด็กหนุ่มทำได้เพียงยืนมองในจุดเดิมโดยไม่ขยับตัว
อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคคือสมาชิกหน่วยลาดตระเวนมากประสบการณ์และเพิ่งได้รับเลือกให้เข้าหน่วยสำรวจ ย่อมต้องเคยเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดท่ามกลางความมืดมาแล้วนับไม่ถ้วน สถานการณ์เช่นนี้จึงยังไม่ทำให้เด็กหนุ่มสูญเสียความเยือกเย็น
เดอร์ริคบิดเอวพลางยกแขนข้างถือขวานเฮอร์ริเคนขึ้น ก่อนจะสับลงเป็นเส้นตรงเพื่อเฉือนเถาวัลย์เกลียวปลายแหลมอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ขวานเฮอร์ริเคนตัดวัตถุน่าขยะแขยงขาดสะบั้นจนหล่นลงพื้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนของเมืองเงินพิสุทธิ์ สายฟ้าจากขวานจึงโชคร้ายไม่แสดงผล พร้อมกันนั้น เถาวัลย์เนื้อเส้นอื่นๆ พลันพุ่งเข้ามาพันธนาการขวานเฮอร์ริเคนจนมิอาจขยับเขยื้อนแม้แต่หนึ่งเซนติเมตร
เมื่อเด็กหนุ่มตระหนักว่าตนกำลังจะเสียอาวุธไป ดวงตาทั้งสองเริ่มส่องแสงเจิดจ้าจนมีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ย่อส่วนสองดวงปรากฏในดวงตา
มืออีกข้างกำลังถือบางสิ่งจ่อริมฝีปากพลางเริ่มสวดภาวนา
โดยปราศจากสุ้มเสียง เสาเพลิงสีขาวโพลนพลันสาดทอดจากฟากฟ้า ฉาบใส่ร่างกายลักษณะคล้ายก้อนเนื้อหนามสีชมพูตรงหน้าอย่างถ้วนทั่ว
ดาร์กแหกปากกรีดร้องอย่างน่าสมเพช ก้อนเนื้อจำนวนมากหลุดลอกเป็นแผ่นตกลงพื้นในสภาพเกรียมดำ
พวกมันยังคงยุบพองและหงิกงอประหนึ่งมีชีวิตจิตใจ
แต่ทันใดนั้น คล้ายกับพลังวิญญาณในก้อนเนื้อถูกช่วงชิงไปอย่างกะทันหัน ละอองพลังวิญญาณเริ่มระเหยไปรวมกับพลังธรรมชาติอันเกิดจากพิธีกรรม ขณะเดียวกัน เดอร์ริคกำลังเปล่งเสียงบริกรรมมนตร์คาถาจนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมมายาสีชมพูสดใส
คลื่นดังกล่าวซัดโถมใส่เปลวเทียนไขบนโต๊ะไม้กึ่งกลางห้องรับแขก แสงเทียนพลันเบ่งบานเปล่งปลั่งจนก่อตัวเป็นบานประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อน
เดอร์ริควาดสัญลักษณ์ของเดอะฟูลเตรียมไว้บนเทียนไขนานแล้ว!
ทั้งหมดถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า
ปัจจัยข้างต้นทำเด็กหนุ่มสามารถบรรลุความต้องการพื้นฐานของพิธีกรรม และสร้างอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อได้สำเร็จ!
โครม!
หลังจากเก้าอี้ไม้ถูกทำลาย ดาร์ก·รีเจนซ์กระโจนเข้าหาเดอร์ริค เถาวัลย์เกลียวเนื้อหลายเส้นรอบตัวมันพุ่งแหวกอากาศเข้าหาในลักษณะเกรี้ยวกราด แต่เส้นละชุ่มโชกด้วยโลหิตแดงฉาน
แววตาของดาร์กปราศจากความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง มีเพียงความปรารถนาอันแรงกล้าไร้ก้นบึ้งกำลังครอบงำ
เมื่ออุโมงค์วิญญาณก่อตัวสมบูรณ์ ไคลน์ เดอะฟูล เริ่มตอบสนองต่อพิธีกรรม
เกิดเสียงบานประตูดังเสียดสี ประตูมายาสลักลวดลายซับซ้อน เริ่มขยับเปิดออกจนเกิดช่องว่างเพียงเล็กน้อย
ภายในประตูคือฉากอันมืดสนิทซึ่งเต็มไปด้วยเงาดำมีชีวิตจำนวนมาก
เหนือเงาดำขึ้นไปเป็นริ้วแสงพิสุทธิ์จำนวนเจ็ดสี คล้ายกับแต่ละสีอัดแน่นด้วยองค์ความรู้ปริมาณมหาศาล
เหนือริ้วแสงระยิบระยับคือทะเลหมอกสีเทาไร้ขอบเขต และเหนือทะเลหมอกขึ้นไปอีกขั้นก็คือพระราชวังขนาดใหญ่ ซึ่งกำลังดูแคลนทุกสิ่งอย่างเท่าเทียมจากเบื้องบน
ทันใดนั้น ตรงมุมหนึ่งของห้องรับแขกบ้านเด็กหนุ่มเดอร์ริค เงาดำปริศนาพลันกระโจนใส่ดาร์กซึ่งยืนอยู่ในจุดใกล้กว่า
ร่างกายก้อนกลมของดาร์กเริ่มถูกของเหลวสีดำสนิทและเหนียวข้นห่อหุ้มไว้ทุกรูขุมขน ลักษณะคล้ายกับแมวถูกครอบด้วยถุงดำและพยายามดิ้นให้หลุด
เงาดำไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันขยายขนาดขึ้นและนำเงาอีกส่วนพุ่งเข้าหาเดอร์ริคซึ่งกระโจนหลบไปในจุดห่างไกล ขณะเดียวกันเปล่งเสียงแหบพร่าแกมขึงขัง
“หยุดนะ! คิดจะทำอะไรกันแน่!”
ในฐานะผู้เฝ้ามอง แผนของมันคือการจับตามองพฤติกรรมเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างเงียบงันและคอยสังเกตความผิดปรกติ จะลงมือก็ต่อเมื่อสถานการณ์บานปลายยากเกินยับยั้งเท่านั้น
แต่เมื่อได้เห็นบานประตูมายาสลักลวดลายประหลาด จิตของเงาดำพลันถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงด้วยฉากอันลึกลับและน่าเกรงขามด้านในรอยแง้มของประตู
ผู้เฝ้ามองเชื่อมั่นโดยไม่เคลือบแคลงว่า ประตูดังกล่าวต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวตนระดับเทพมารอย่างแน่นอน มันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมือเพื่อห้ามมิให้เดอร์ริคสังเวยบางสิ่งแก่บุคคลด้านในประตู
อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคทราบตำแหน่งของเงาดำมาตั้งแต่แรก และกระโจนหลบไปในจุดตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ เงาดำจึงเหลือเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือ ปล่อยดาร์กเป็นอิสระและปรี่ไปจัดการเดอร์ริคก่อน หรือสองก็คือ จัดการกับดาร์กให้สิ้นซากโดยเร็ว
แน่นอน มันเลือกอย่างหลัง ฝ่ายผิดปรกติหนักข้อกว่าคือดาร์ก การหันหลังให้สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ไม่ต่างอะไรกับความโง่เขลา
ฉวยโอกาสทองดังกล่าว เดอร์ริคล้วงกล่องโลหะจากช่องลับและขว้างใส่บานประตูมายาเหนือเปลวเทียนไขกลางห้องอย่างแม่นยำ มันเล็งปาเข้าไปในช่องแง้มของห้วงมิติโดยปราศจากความลังเล
เมื่อกล่องโลหะสาบสูญจากโลกมนุษย์โดยสมบูรณ์ ประตูมายาพลันปิดดังโครม ตามด้วยการเลือนหายวับไปในพริบตา
เดอร์ริคยังไม่ลืมคำแนะนำของแฮงแมน เด็กหนุ่มแสร้งทำหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกับเสียสติและวิ่งเข้าใส่ ‘เงาดำ’ ซึ่งกำลังจัดการดาร์ก
แต่ก่อนจะปล่อยให้เงาดำพันธนาการร่างกาย เดอร์ริคทำเป็นอาเจียนหนอนสีใสออกมาทางปากและล้มสลบไปต่อหน้า
เงาดำเหนียวข้นคล้ายของเหลวทำการแผ่ปกคลุมร่างเด็กหนุ่มเดอร์ริคทันที
บ้านตระกูลเบเกอร์เข้าสู่ความเงียบงันโดยสมบูรณ์เป็นเวลานาน ภายในห้องรับแขกมี ‘ดักแด้’ สีดำกำลังนอนแน่นิ่งสองจุด
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก เงาดำเริ่มคลายตัวออกจากร่างเด็กหนุ่มทั้งสอง และแฝงตัวกลับไปเป็นความมืดตามเดิม
เมื่อปราศจากดักแด้สีดำ ร่างของเดอร์ริคและดาร์กได้กลับมาปรากฏอีกครั้ง
รายแรกกำลังนอนหมดสติโดยถือหนอนสีใสตัวเล็กไว้ในมือ บนตัวหนอนมีวงแหวนสีใสสิบสองวงเรียงราย ส่วนฝ่ายหลังได้กลายเป็นก้อนเนื้อยุบพองแสนน่ารังเกียจ พร้อมโจมตีใส่คนแปลกหน้าตลอดเวลา
เห็นดังนั้น เงาดำไม่มีทางเลือกนอกจากลงมือให้เด็ดขาดกับดาร์ก มันโผล่ขึ้นจากพื้นและใช้ของเหลวข้นสีดำห่อหุ้มร่างสุดพิสดารของดาร์ก·รีเจนซ์อีกครั้ง
ขณะสายตาชำเลืองไปเห็นนิ้วมือมนุษย์จำนวนมากวางกองระเกะระกะบนโต๊ะ รวมถึงหนังศีรษะพร้อมด้วยกระจุกเส้นขน เงาดำรีบสูดลมหายใจสุดปอดเพื่อระงับสติ ก่อนจะเพ่งสมาธิเพื่อใช้พลังพิเศษควบคุมเงาดำนอกบ้านตระกูลเบเกอร์ จนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมส่งต่อไปถึงห้องของผู้นำสูงสุดบนยอดหอคอย
สายตาของ ‘เงาดำ’ เบนกลับมาจ้องเดอร์ริคผู้นอนหมดสติไปกับพื้น มันมองสลับกลับไปมาระหว่างเด็กหนุ่มหลับสนิทกับหนอนสีใสตัวเล็กด้านข้าง ก่อนจะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างคร่าวตามความเข้าใจตัวเอง
“หรือว่า… ร่างแยกอามุนด์ในตัวเดอร์ริคจะถูกกำจัดเรียบร้อยแล้ว?” เงาดำพึมพำด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
เมื่อนำไปผนวกกับความพิสดารของดาร์ก รวมถึง ‘เห็ดอันเย้ายวน’ และ ‘ผลดูมแห้ง’ เงาดำเริ่มเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้น
บางที อามุนด์อาจเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับผู้อยู่เบื้องหลังความผิดปรกติของดาร์ก และเพื่อให้แผนการของอีกฝ่ายล้มเหลว อามุนด์ถึงกับยอมเสียสละร่างแยกของตน
และการไปเยือนลานฝึกของเดอร์ริค รวมถึงการขึ้นไปแจ้งข่าวให้ผู้นำสูงสุดทราบถึงความผิดปรกติ ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามแผนของอามุนด์ในกรณีไม่ต้องลงมือเอง
ขณะเดียวกัน ผู้บงการซึ่งทำให้ดาร์กมีอาการทางจิต เริ่มระแคะระคายถึงความผิดปรกติของเดอร์ริค จึงควบคุมให้ดาร์กเดินทางมาทำอะไรสักอย่างกับเดอร์ริคถึงบ้าน
เงาดำยืนจ้องนิ้วมือมนุษย์และหนังศีรษะแซมกระจุกเส้นผม
เมื่อครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ เงาดำเริ่มเห็นด้วยกับความเห็นของผู้นำสูงสุด :
“ภัยพิบัติร้ายแรงเหนือจินตนาการกำลังย่างกรายเข้าใกล้เมืองเงินพิสุทธิ์ สิ่งนี้คือสาเหตุให้พวกเรามีโอกาสพบได้เหตุการณ์ประหลาดและตัวตนลึกลับภายในเงามืดบ่อยครั้ง”
…
ในห้องทำงานของผู้นำสูงสุด
เงาดำเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง
โคลิน·อีเลียด เจ้าของมาดอันดุดันและน่าเกรงขาม เพียงพยักหน้ารีบแผ่วเบาด้วยอากัปกิริยาลุ่มลึก
“เดอร์ริค หรือควรต้องเรียกเขาว่าอามุนด์ ได้เตรียมแผนสำหรับเผชิญเหตุการณ์ในวันนี้มานานมากแล้ว ไม่ว่าจะเทียนไขที่สลักสัญลักษณ์ใครบางคน วัตถุชั่วร้ายซึ่งสามารถเปิดเผยเนื้อแท้ของดาร์กได้ การหาข้ออ้างเพื่อขอไปรินน้ำใส่แก้วพลางสวดภาวนาถึงตัวตนลึกลับ รวมไปถึงการโยนวัตถุดังกล่าวใส่แท่นบูชาพิธีกรรมสังเวยในจังหวะเหมาะสม… ปัจจัยทั้งหมดกำลังบ่งชี้ว่า ทุกสิ่งดำเนินไปตามแผนการของอามุนด์โดยไม่ตกหล่น แต่ผมมีสองคำถาม หนึ่ง สัญลักษณ์บนเทียนไขหมายถึงใครกันแน่? อามุนด์หรือเทพผู้อยู่เบื้องหลังอามุนด์อีกที? สอง เหตุใดอามุนด์ถึงยอมสละร่างแยกเพียงเพื่อเปิดเผยความผิดปรกติของทีมสำรวจ? เขาเป็นศัตรูกับผู้อยู่เบื้องหลังการกัดกร่อนทางจิตของดาร์กงั้นหรือ? แล้วทำไมถึงต้องอดทนรอในคุกใต้ดินนานถึงสี่สิบสองปี? หรือกำลังจะบอกว่า อามุนด์มองเห็นเหตุการณ์ในวันนี้ตั้งแต่เมื่อสี่สิบสอง ปีก่อน จึงส่งร่างแยกของตนปะปนมากับร่างหัวหน้าทีมสำรวจในอดีต ทั้งหมดทำไปเพื่อให้แผนการของอีกฝ่ายล้มเหลว…? เขาอดทนรอนานถึงสี่สิบสองปีเพียงเพื่อเรื่องนี้เรื่องเดียว?”
เมื่อได้ยินคำถามมากมายพรั่งพรูจากปากหัวหน้าสภาอาวุโส เงาดำตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนขอรับ! ท่านผู้นำ ลองนึกดูให้ดี เหตุใดอามุนด์ถึงอดทนรอนานถึงสี่สิบสองปี จึงค่อยทำให้อเดลคลุ้มคลั่งขณะเดอร์ริคย้ายมาพักในห้องข้างเคียง? คำตอบเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก เขาตระหนักว่าศัตรูใกล้ลงมือเต็มที จึงจำเป็นต้องใช้ร่างใครสักคน หนีออกจากคุกใต้ดินเพื่อทำลายแผนการของอีกฝ่าย!”
“ไม่ผิดแน่… พวกเราเอาแต่มุ่งประเด็นว่าทำไมถึงต้องเป็นเดอร์ริค โดยลืมคิดเสียสนิทว่ายังมีปัจจัยด้านจังหวะเวลาอยู่ด้วย”
โคลิน·อีเลียด ผู้นำสูงสุดของเมืองเงินพิสุทธิ์ พยักหน้ารับพลางเล่าความคิดเห็นของตัวเองทีละข้อ
เงาดำรีบกล่าวเสริม
“ท่านผู้นำ ได้โปรดรีบจับสมาชิกทีมสำรวจทุกคนมากักขังเป็นการชั่วคราว บางที พวกเขาเหล่านั้นอาจไม่ใช่มนุษย์ปรกติอีกแล้ว… รวมถึงอาวุโสโลเฟียร์ด้วย เธอเองก็ไม่น่าจะรอดพ้นจากการถูกกัดกร่อนเช่นกัน!”
โคลินขมวดคิ้ว
“สำหรับเรื่องนี้ ก่อนคุณจะกลับมารายงานให้ผมฟัง ก่อนดาร์กจะถูกปล่อยตัวจากเขตกักกัน โลเฟียร์ได้มาแจ้งกับผลว่า สมาชิกทีมสำรวจของเธอถูกปนเปื้อนโดยพลังบางชนิด เธอแนะนำให้พวกเราจับตามองคนกลุ่มนั้นอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้ง่ายต่อการเฝ้าระวัง ควรสั่งให้พวกเขาไปทำงานอารักขาความปลอดภัยรอบสุสานกลับหัวของอาวุโสฮาวิค”
ฮาวิคคืออดีตผู้นำของเมืองเงินพิสุทธิ์ จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง มันสร้างสุสานให้ตัวเองและเข้าไปอาศัยแทนบ้าน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ฮาวิคก็เริ่มปรากฏตัวน้อยลงจนกระทั่งประตูสุสานปิดสนิท ไม่สามารถเปิดออกได้อีกเลย
“อาวุโสโลเฟียร์เอ่ยถึงความผิดปรกติมาสักระยะแล้วหรือขอรับ?” เงาดำซักถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
เมื่อเห็นภาษากายเชิงยอมรับจากโคลิน เงาดำพึมพำอย่างโล่งใจกึ่งฉงน
“อาวุโสโลเฟียร์ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…”
“…ผมส่งคนไปจับกุมและนำตัวสมาชิกทีมสำรวจมากักขังจนเกือบครบแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเราห้ามมองข้ามความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อยโดยเด็ดขาด”
โคลินถอนหายใจยาว
“ช่วยตามไอโฟลว์มาหาผม เห็นทีคงต้องนำตัวเดอร์ริคมาสอบปากคำพร้อมกับเธอ”
……………………