ราชันเร้นลับ 400 : ‘เด็กใหม่’ เป็นงาน

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 400 : ‘เด็กใหม่’ เป็นงาน โดย Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องมืดสนิท พื้นห้องค่อนข้างแข็งกระด้าง เดอร์ริค·เบเกอร์ ผู้แสร้งทำเป็นหมดสติจนถึงเมื่อครู่ เริ่มพยุงตัวลุกขึ้นยืน

ขวานเฮอร์ริเคนถูกปลดออกไปตรวจสอบหาความผิดปรกติ เฉกเช่นวัตถุและสมบัติติดตัวทุกชนิดบนเสื้อผ้า ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ

เดอร์ริคสูดลมหายใจยาวพลางกวาดสายตารอบตัวหนึ่งหน

ดวงตาเด็กหนุ่มกำลังส่องสว่าง คล้ายกับมีดวงตะวันฉบับย่อส่วนอยู่ข้างใน ช่วยให้มองเห็นทุกสิ่งภายในห้องได้อย่างชัดเจน

ภายในห้องอันไม่คุ้นเคยแห่งนี้ เดอร์ริคมองเห็นเครื่องเรือนเพียงสามชนิด : โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สองตัว และเทียนไขหนึ่งแท่งกลางโต๊ะ

พื้นห้องทำจากหินลวดลายซับซ้อน

เทียนไขถูกใช้งานไปประมาณครึ่งหนึ่ง

สำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ เครื่องเรือนข้างต้นคือของใช้จำเป็นต่อหนึ่งห้อง เนื่องจากสัตว์ประหลาดจากความมืดจะลอบโจมตีหากบรรยากาศรอบขาดแสงสว่างเป็นเวลานาน

โดยไม่รีรอ เดอร์ริคเดินไปนั่งบนเก้าอี้และเอื้อมมือหยิบเทียนไข

ถัดมา เด็กหนุ่มลงมือหักเทียนไขออกเป็นสามเล่ม เล่มแรกยาวสามส่วนสี่จากของเดิม ก่อนจะนำท่อนคงเหลือมาแบ่งครึ่งให้กลายเป็นอีกสองเล่ม

เดอร์ริคจัดการตกแต่งเทียนไขเล็กน้อย จนไส้เทียนแต่ละเล่มอยู่ในสภาพพร้อมจุด

พรึบ!

เด็กหนุ่มถูปลายนิ้วสร้างเพลิงสีทองและนำไปจุดไส้เทียนทั้งสาม

สองเล่มด้านบนคือตัวแทนเดอะฟูล ส่วนท่อนล่างโดดเดี่ยวคือตัวแทนของเดอร์ริค

หลังจากเตรียมแท่นบูชาเสร็จ เด็กหนุ่มมิได้เทผงสมุนไพร สารสกัด หรือน้ำมันสกัดลงบนเปลวเทียนเหมือนทุกครั้ง ตรงกันข้าม มันลัดขั้นตอนไปท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเดอะฟูลทันที ตามด้วยการเข้าฌานเพ่งสมาธิจดจ่อ

เดอร์ริคสวดภาวนาซ้ำไปมาด้วยท่วงทำนองราบเรียบ ประหนึ่งพยายามสะกดจิตตัวเองให้เข้าสู่ภวังค์

ด้วยความช่วยเหลือจากฌาน เด็กหนุ่มเริ่มเข้าสู่ภาวะไม่ปรกติ จิตล่องลอย พลังวิญญาณไหลซึมออกจากร่างกายเป็นระยะในปริมาณไม่มาก สมองค่อนข้างขาวโพลน แต่สติกลับยังคมชัดอยู่หลายส่วน ไม่สูญเสียตัวตนโดยสิ้นเชิง กายจิตรู้สึกคลับคล้ายกำลังโบยบินขึ้นไปยังดินแดนบนฟากฟ้า

สิ่งนี้เรียกว่า ‘ละเมอเทียม’

เดอร์ริค ผู้ได้รับอนุญาตจากเดอะฟูลเป็นกรณีพิเศษ กำลังประกอบพิธีกรรมในรูปแบบสั้นกระชับเพื่อแข่งกับเวลา

เหนือห้วงมิติสายหมอกสีเทา ท่ามกลางพระราชวังหรูหราโอ่อ่า

ไคลน์ ผู้กำลังนั่งเล่นดวงตาดำล้วน พลันสังเกตเห็นดาวแดงตัวแทนเดอะซันเริ่มยุบพองและส่องสว่าง ก่อนจะฉายแสงออกมาเป็นร่างมายาของเด็กหนุ่ม ขณะเดียวกัน คลื่นสายหมอกเบื้องล่างเริ่มมีการไหลเวียนเล็กน้อยจนมองเห็นด้วยตาเปล่า

ฉากตรงหน้าทำให้ไคลน์เกิดความโล่งใจ เพราะสิ่งนี้หมายความว่า เดอะซันน้อยผ่านส่วนยากสุดของภารกิจเสี่ยงตายมาแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนกลบเกลื่อนให้แนบเนียน

ไคลน์ไม่มัวรีรอ มันวางดวงตาดำล้วนและหยิบไพ่จักรพรรดิมืดขึ้นมาถือ

ตัวตนชายหนุ่มถูกยกระดับขึ้นทันตาเห็น พลังของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาเริ่มยอมรับในตัวไคลน์และให้ความร่วมมือ

ถัดมา มันหยิบกระดาษรูปคนขึ้นมาถือ ก่อนจะสะบัดข้อมือเหวี่ยงไปทางร่างมายาของเดอะซันน้อยด้านข้าง

พลังของห้วงมิติเริ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระดาษ ก่อเกิดเป็นเทวทูตผู้มีปีกสีดำสนิทสิบสองคู่ มาพร้อมบรรยากาศน่าเกรงขามเหนือพรรณนา

เทวทูตเคลื่อนตัวผ่านแสงสีแดงเข้มของดวงดาว และผสานเป็นหนึ่งเดียวกับร่างมายาของเด็กหนุ่มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน

จากนั้น เทวทูตเริ่มลุกไหม้และสลายตัวไป จนกระทั่งเหลือเพียงซากขี้เถ้าของกระดาษ

มาถึงตรงนี้ งานของไคลน์จบลงอย่างสมบูรณ์ ส่วนเรื่อง ‘เทวทูตกระดาษ’ ของตนจะช่วยเหลือเดอะซันได้มากน้อยเพียงใด คงต้องสุดแล้วแต่โชคชะตา ชายหนุ่มไม่มั่นใจในตัวเองมากนัก

เราพยายามสุดฝีมือแล้ว… หลังจากนี้ต้องสวดภาวนาให้สวรรค์เห็นใจ…

ท่ามกลางสติอันเลือนราง เดอร์ริคมองเห็นเทวทูตกำลังร่อนลงจากสวรรค์และโอบกอดตนไว้ด้วยปีกสีดำสิบสองคู่

ทันใดนั้น สติเด็กหนุ่มกลับมาคมชัดอีกครั้ง เบื้องหน้าปรากฏภาพเทียนไขสามเล่มกำลังลุกไหม้อย่างอ่อนโยน

หลังจากแสดงการคำนับต่อเดอะฟูลเสร็จ เดอร์ริครีบจบพิธีกรรมและดับเทียนสองเล่มเล็กซึ่งเป็นตัวแทนเดอะฟูล

ถัดมา เด็กหนุ่มกำเศษเทียนทั้งสองแท่งไว้ในมือพร้อมกับสร้างเปลวเพลิงสีทองลุกโชน

แปะ. แปะ. แปะ.

เมื่อเทียนไขสองเล่มเล็กเริ่มละลายกลายเป็นของเหลว เดอร์ริคนำน้ำตาเทียนหยดใส่เทียนไขเล่มยาวเพื่อเพิ่มขนาด รวมถึงหยดรอบโคนเทียนเพื่อให้มีลักษณะคล้ายกับเพิ่งถูกใช้งาน

เมื่อเทียนสองเล่มเล็กละลายจนหมด บนโต๊ะไม้จึงเหลือแค่เทียนเล่มใหญ่ในสภาพถูกจุดมาสักระยะหนึ่ง แม้ความยาวจะสั้นลงจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตทั่วไปของการใช้งาน

หลังจากลบร่องรอยน่าสงสัยทั้งหมดเรียบร้อย เด็กหนุ่มใช้มือดับเทียนไขเล่มสุดท้าย ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวกลับไปมืดสนิทอีกครั้ง

เดอร์ริคนั่งนิ่งบนเก้าอี้พลางมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน

ภายในใจกำลังเป็นกังวล กลัวว่าสภาอาวุโสจะลงมือได้ไม่เร็วพอ ทำให้ทีมสำรวจสามารถกระจายตัวไปรอบเมือง และมีคนบริสุทธิ์เผลอกิน ‘ผลดูมแห้ง’ กับ ‘เห็ด’ เข้าไปเป็นจำนวนมาก

ขณะเดียวกันก็กังวลว่า ผู้นำสูงสุดและอาวุโสคนอื่นจะพบเบาะแสเพิ่มเติม จนทำให้การเตรียมตัวของตนต้องสูญเปล่า

เดอร์ริคเกลียดชังพวก ‘คนนอก’ ผู้อาศัยในความมืดและมีเจตนาร้ายต่อเมืองเงินพิสุทธิ์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอามุนด์หรือพระผู้สร้างเสื่อมทรามก็ตาม

เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกผิด ตนแสร้งทำเป็นคลุ้มคลั่งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่เข้าร่วมทีมสำรวจ และปิดปากเงียบโดยไม่ยอมตักเตือนดาร์กกับคนอื่น ส่งผลให้พวกเขาต้องกลายเป็นสัตว์ประหลาดจิตใจคดเคี้ยว

หนึ่งในเพื่อนอันน้อยนิด เดอร์ริคต้องเห็นดาร์กตายไปต่อหน้าต่อตา

แม้จะไม่ได้ประจักษ์วาระสุดท้ายอย่างแท้จริง แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่า ด้วยสภาพก้อนเนื้ออัปลักษณ์ดังกล่าว ความตายอาจเป็นทางเลือกฉลาดกว่า

มันไม่มีทางทราบว่าผ่านไปนานแค่ไหน กับการจมอยู่ในหัวความคิดสับสนว้าวุ่นตามลำพัง ระหว่างกำลังนั่งรออย่างเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มตัดสินใจจุดเทียนไขขึ้นมาอีกรอบ

ทันใดนั้น ผนึกของห้องถูกคลายออกจนเกิดเสียงดังกังวาน พร้อมกับการเปิดแง้มของบานประตูด้านหน้า

เมื่อเงยศีรษะขึ้นมอง ด้วยความช่วยเหลือจากแสงเทียนเหลืองนวล เดอร์ริคมองเห็นหญิงสาวกระโปรงดำเดินเข้ามา เส้นผมของเธอมีสีดำสนิท ถูกรวบและมัดหางม้าเรียบร้อย

“มาดามไอโฟลว์…” เดอร์ริคเรียกชื่ออีกฝ่ายตามความเคยชิน

ไอโฟลว์คือหญิงสาวใบหน้าสะสวย แต่มีริ้วรอยเล็กน้อยรอบขอบตา เธอส่งยิ้มพลางพยักหน้ารับตามมารยาท ก่อนจะเดินอย่างไม่รีบร้อน มานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเด็กหนุ่ม

“มีอะไรอยากเล่าไหม?”

หญิงสาวถามอ่อนโยน

เดอร์ริคจ้องมองตอบ ทันใดนั้น มันพลันสังเกตเห็นว่า ดวงตาอีกฝ่ายกำลังส่องแสงเป็นวงรีสีทองในแนวตั้ง ไม่ผิดไปจากสัตว์ป่า

สติของเด็กหนุ่มหลุดลอยกะทันหัน เข้าสู่ภาวะละเมอด้วยอากัปกิริยาสะลึมสะลือ

ถัดมา ไอโฟลว์ทำการปรับแต่งแสงเทียนให้ฉาบใบหน้าเดอร์ริคอย่างถ้วนทั่ว

ตาดำสีทองอ่อน ทรงรีแนวตั้ง เริ่มลดประกายระยิบระยับลงทีละนิด จนกระทั่งเข้าสู่ภาวะไร้ตัวตนของผู้ชมอย่างสมบูรณ์

ทันใดนั้น รอบตาดำทรงรี พลันปรากฏวงแหวนสีทองซ้อนรอบนอก วงแล้ววงเล่า ลักษณะคล้ายกับกำลังสร้างคลื่นสีทองอันงดงามและน่าเกรงขาม

ขณะเดียวกัน เดอร์ริคในภาวะจิตล่องลอยเริ่มมองเห็นภาพสีดำสนิทสลับกับแสงสีทองสว่างจ้าเป็นระยะ

แต่ทันใดนั้น สติเด็กหนุ่มพลันกระจ่างชัดอย่างไม่มีเหตุผล คล้ายกับถูกบางสิ่งฉุดรั้งขึ้นมาจากอาการจิตหลุดลอย

เดอร์ริคกลับมามองเห็นเทียนไขสีเหลืองนวลและมาดามไอโฟลว์ เจ้าของดวงตาสีทองทรงรีแนวตั้ง

จากมุมสายตา หัวหน้าอาวุโสมาดสง่างามและน่าเกรงขาม โคลิน·อีเลียด กำลังเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา

โคลินพยักหน้าให้ไอโฟลว์หนึ่งครั้งและเอ่ยปากซักถามเด็กหนุ่ม

“ในช่วงหลัง คุณทำอะไรลงไปบ้าง”

เดอร์ริคทบทวนบทพูดของตนพลางกล่าวกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแสร้งเหม่อลอย

“ผมไม่ทราบ สมองของผมขาวโพลนเกือบตลอดเวลา คล้ายกับอยู่ในความฝัน ได้สติกลับมาเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น…”

ขณะเด็กหนุ่มมอบคำตอบ ดวงตาของนักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด เริ่มปรากฏอักขระซับซ้อนสีเขียวเข้มขณะจ้อง

ไอโฟลว์ซักถาม

“แล้วยังจำได้ไหม ว่าตัวเองเคยเผชิญหน้ากับดาร์ก·รีเจนซ์?”

“จำได้แค่ว่า พวกเรากำลังจะสู้กัน… นอกเนือจากนั้น ผมมองเห็นผู้ชายถูกห้อยกางเขนใหญ่ในสภาพกลับหัว และผู้ชายสวมหมวกปลายแหลม สวมแว่นตาขาเดียว… ใช่แล้ว ผมเคยเห็นเขาในห้องใต้หอคอยมาก่อน เขาหันมายิ้มให้ผมและพูดว่า…”

เดอร์ริคเล่าเรื่องยาว

ไอโฟลว์หันไปมองโคลินครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาถามซักเดอร์ริค

“เขาพูดว่าอะไร?”

“ผมก็จำไม่ได้ละเอียดนัก… เขายิ้มและพูดกับผมอย่างเย็นชาว่า ‘พระผู้สร้างเสื่อมทราม’ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ และ ‘คนเลี้ยงแกะ’ …”

เดอร์ริคพยายามข่มอาการตื่นเต้นไว้อย่างสุดความสามารถ

กล่าวกันตามตรง เด็กหนุ่มไม่ชำนาญการโกหกสักเท่าไร แต่มันก็ยอมเสี่ยงเพื่อให้ได้บอกกับหัวหน้าอาวุโสว่า ผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์คราวนี้คือพระผู้สร้างเสื่อมทรามและคนเลี้ยงแกะ!

“พระผู้สร้างเสื่อมทราม… พระผู้สร้างแท้จริง… ข้อมูลตรงตามภาพจิตรกรรมฝาผนังใต้วิหารลึกลับ” โคลินพยักหน้าเชิงกระจ่าง

ก่อนจะขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเองเสียงค่อย

“คนเลี้ยงแกะ…”

“แล้วมีอะไรอีกไหม?” ไอโฟลว์ซักถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนผิดธรรมชาติ

เดอร์ริคตอบล่องลอย

“หลังจากนั้น ทั้งสองเกิดการปะทะกันจนโลกทั้งใบสว่างจ้า ผมมองไม่เห็นอะไรอีกเลยจนกระทั่งตื่นขึ้นมาและอาเจียนรุนแรง…”

ตลอดการตอบคำถามของเด็กหนุ่ม อักขระสีเขียวภายในดวงตาโคลินมิได้จางหาย มันคอยส่งสัญญาณบอกใบ้ให้ไอโฟลว์เค้นคำตอบเป็นระยะ

เดอร์ริคเลือกตอบอย่างชาญฉลาด เกือบทั้งหมดเป็นการป้ายสีให้อามุนด์ตามบทเรียนติวเข้มของแฮงแมน และหากถูกถามนอกประเด็น มันจะแสร้งทำเป็นความจำเสื่อม

จนกระทั่ง ไอโฟลว์ถาม

“คุณนำขวานเล่มนั้นมาจากไหม? แล้วคุณมีสูตรโอสถเส้นทางสุริยันได้อย่างไร?”

“ผมซื้อขวานจากตลาดมืด คนขายสวมหน้ากากปิดบังตัวตนมิดชิด บอกได้เพียงว่าเป็นเพศชาย… สูตรโอสถเส้นทางสุริยันเป็นของพ่อแม่ผม พวกเขาพบมันระหว่างยังเป็นสมาชิกทีมสำรวจ…”

เดอร์ริคตอบล่องลอยแต่ไหลลื่น

ว่ากันตามตรง เดอะซันพกพาสิ่งของผิดวิสัยของเมืองเงินพิสุทธิ์ติดตัวอยู่หลายชิ้น แฮงแมนจึงคอยเน้นย้ำวิธีตอบคำถามชี้แจงไว้ล่วงหน้า ส่งผลให้เดอร์ริคไม่ตะกุกตะกักขณะถูกถามจี้

แม้ว่าตลาดมืดของเมืองเงินพิสุทธิ์จะค่อนข้างเสรีแตกต่างจากทวีปเหนือ แต่ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้าบางคนตัดสินใจปกปิดหน้าตาด้วยหลากหลายเหตุผล สิ่งนี้จึงเป็นทางออกสุดสมบูรณ์แบบสำหรับเดอร์ริค

หลังจากไอโฟลว์ถามจบ เธอหันไปกล่าวกับนักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด

“เขาไม่ได้โกหก… ระบุให้ชัดคือ เขาไม่มีทางโกหกต่อหน้า พลัง ‘มงกุฎรุ่งโรจน์’ ด้วยประการทั้งปวง”

โคลินพยักหน้ารับ

“อา… เขาไม่ได้เผยกลิ่นอายความชั่วร้าย กัดกร่อน หรือเสื่อมทรามออกมาเช่นกัน”

นักล่าปีศาจย่อมถนัดการค้นหากลิ่นอายเหล่านี้จากร่างกายเป้าหมาย

ในฐานะ ‘อาชีพ’ ลำดับสูง นักล่าปีศาจจะชำนาญด้านการเก็บซ่อนจิตสังหารและลบตัวตน จนบรรดาปีศาจสัมผัสถึงไม่ง่ายนัก ศัตรูจะได้ไม่เกิดความระมัดระวังขณะถูกซุ่มโจมตี

หมายความว่า นักล่าปีศาจคือของแสลงสำหรับปีศาจโดยแท้จริง ฉะนั้น การตรวจจับว่าใครเป็นปีศาจหรือไม่ อาจง่ายยิ่งกว่าการหายใจเข้าออกด้วยซ้ำ

หลังจากก้มหน้าตรึกตรองตามลำพังอยู่นานสองนาน โคลินลุกยืนและเดินออกจากห้อง ก่อนจะหันไปพูดกับเงาดำในมุมหนึ่งด้านนอกห้อง

“พวกเราคงต้องปล่อยเดอร์ริคไปก่อน ช่วงนี้ไม่น่าจะเกิดปัญหาใดตามมา อย่างไรก็ตาม รบกวนช่วยจับตามองเขาไปอีกสักพัก ในเมื่ออามุนด์เคยสร้างมาร่างแยกมาแล้วสองหน การจะมีร่างสามหรือสี่ก็คงไม่ใช่เรื่องประหลาดนัก”

“ขอรับ ท่านผู้นำ” เงาดำตอบด้วยเสียงพร่าคล้ายกับโลหะเสียดสี

หลังจากเดอร์ริค ‘ตื่น’ ขึ้น ห้องสอบสวนก็เหลือเพียงความว่างเปล่า มีแค่ข้อความระบุว่าสามารถกลับบ้านได้ทุกเมื่อ

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวขณะย่างกรายออกจากห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบา มันยังไม่ลืมคำเตือนของแฮงแมน :

“ถึงแม้ทุกสิ่งจะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่คุณห้ามลดความระมัดระวังลงเด็ดขาด! การจับตามองคงเกิดขึ้นอีกสักระยะ หากไม่แล้ว แปลว่าผู้นำสูงสุดของพวกคุณยังอ่อนหัด!”

นั่นสินะ สำหรับช่วงนี้ เราคงเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูลไม่ได้…

เดอร์ริคพึมพำขณะเดินลงบันไดวนหอคอย

ทันใดนั้น มุมสายตาพลันเหลือบเห็นบุคคลใบหน้าคุ้นเคย หญิงสาวสวมชุดคลุมยาวแซมด้วยแถบสีม่วง

คนเลี้ยงแกะคนสวย อาวุโสโลเฟียร์!

ดวงตาสีเทาซีดของเธอหันมาจ้องเดอร์ริค ตามด้วยการเผยรอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน

รอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนโยน!

เมื่อกลับถึงห้อง โลเฟียร์เดินมานั่งหน้าโต๊ะอ่านหนังสือและคลี่ม้วนคาถาหนังสัตว์อ่าน

หญิงสาวใช้มือซ้ายกระชากนิ้วชี้ขวาออกมาทั้งลำ ไม่เหลือแม้แต่โคนนิ้ว อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนแม้แต่หยดเดียว ราวกับโลหิตทั้งหมดถูกขังไว้รอบรอยตัดของบาดแผลอย่างเรียบเนียน

เธอนำนิ้วชี้ข้างดังกล่าวมาจับต่างปากกา

โลเฟียร์ใช้มือซ้ายเขียนสัญลักษณ์เลือดลงบนกระดาษ เป็นสัญลักษณ์ ‘เนตรไร้ตาดำ’ ซึ่งเป็นตัวแทนของความลึกลับ และ ‘เส้นขดเป็นเกลียว’ คล้ายรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นตัวแทนของความเปลี่ยนแปลง

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นหนสุดท้าย เธอนำกระดาษหนังมาห่อกับ ‘นิ้วชี้ขวา’ และยัดเข้าไปในปาก ตามด้วยการเคี้ยวเสียงดังกร้วมกร้ามและกลืนลงคอจนหมด

ขณะมือขวาเหลือเพียงสี่นิ้ว ปากแผลบริเวณโคนนิ้วชี้เริ่มยุบพอง ก่อนจะพุ่งพรวดออกมาเป็นนิ้วชี้ใหม่เอี่ยม เพียงแต่สีซีดลงจากเดิมเล็กน้อย

หญิงสาวรีบก้มหน้าอ่านบางสิ่งบนฝ่ามือข้างขวา จากนั้นก็พึมพำออกมาหนึ่งคำ

“เดอะฟูล…?”

……………………