บทที่ 322.2 แต่ละแห่งคือยอดบน แต่ขาดหนึ่งภูเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 322.2 แต่ละแห่งคือยอดบน แต่ขาดหนึ่งภูเขา ProjectZyphon

ติงอิงหัวเราะดังลั่นอย่างสาแก่ใจ สองมือทำมุทรา จิตวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง เขาถึงกับพาจิตหยินออกมาล่องลอยอยู่ใต้หล้าในเวลากลางวันแสกๆ

จิตหยินตนนี้เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นฝ่ามือออกมาวางบังไว้เหนือศีรษะ เปล่งเสียงไม่ดัง แต่กลับเป็นถ้อยคำอย่างใจกว้างที่ดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของติงอิง “หากข้าสลายไปในโลกมนุษย์ ติงอิงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?”

แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดที่เขาพูดกับตัวเอง

ติงอิงไม่ได้พูดออกเสียง แต่กระนั้นก็ยังหลุดหัวเราะเพราะความคิดที่เกิดขึ้นในหัวใจ “ตบะจะเป็นเช่นไร ข้าไม่ใช่คนที่ตัดสินใจ แต่กฎเกณฑ์กลับยังต้องรักษาเอาไว้ และก็ยิ่งต้องคงความมีสติปัญญา ไม่จำเป็นต้องพูดจาเหลวไหล ต่อให้ข้าติงอิงไม่มีจิตวิญญาณ มีเพียงกายหยาบ แล้วอย่างไร? ควรทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น”

ครู่หนึ่งต่อมาเฉินผิงอันที่ถือปราณยาวไว้ในมือก็พลิ้วกายลงบนพื้น สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ลมปราณแท้จริงอันบริสุทธิ์เฮือกนั้นของเฉินผิงอัน เดิมทีก็เป็นเหมือนม้าตีนปลายอยู่แล้ว ที่แท้กระบี่เมื่อครู่ที่ส่งออกไปเป็นการพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็เพราะ ‘ความหมาย’ ของกระบี่นี้ยิ่งใหญ่เกินไป เรี่ยวแรงของเฉินผิงอันน้อยนิดเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถดึงมันขึ้นมาได้ จุดจบจึงเป็นเพียงฟ้าร้องเสียงดังสนั่น แต่ฝนกลับตกปรอยๆ

ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่หากต่อยตีกับใครขึ้นมาล้วนไม่สนฟ้าไม่เกรงดินก็ยังรู้สึกเขินอายอย่างเลี่ยงไม่ได้

ส่วนจิตหยินตนนั้นที่เดิมทีนึกว่าจะถูกหนึ่งกระบี่ฟันให้แหลกสลายก็มีแค่ส่วนฝ่ามือและแขนที่หายไปเท่านั้น จึงหันมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะถอยหลังหลายก้าว กลับเข้าไปในร่างของติงอิง

ทั้งสองฝ่ายต่างก็พักรบกันครู่หนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เฉินผิงอันเปลี่ยนลมหายใจเฮือกใหม่

ติงอิงก็ยิ่งต้องปลอบประโลมจิตวิญญาณของตัวเอง

และในวินานี้เอง จิตใจของทั้งเฉินผิงอันและติงอิงต่างก็ ‘มั่นคง’ ประหนึ่งเรือที่โยนสมอลงน้ำ

นักพรตผู้เฒ่าที่อยู่ข้างปากบ่อมาถึงหัวกำแพง คลี่ยิ้มแล้วตัดสินใจได้ทันที

เหล่าปรมาจารย์ที่อยู่บนหัวกำแพง ต่อให้เป็นเจ๋อเซียนที่ยังคงรักษาพละกำลังไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยมเช่นโจวเฝยก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของนักพรตเฒ่า

มีเพียงฝานกว่านเอ่อร์เท่านั้นที่ชำเลืองตามองมาอย่างคนที่ความรู้สึกไวแวบหนึ่ง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรจึงดึงสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว

อวี๋เจินอี้กวาดตามองรอบด้านแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ฝึกวิชาเซียนอย่างระมัดระวังรอบคอบ เดิมทีนึกว่าอย่างน้อยก็คงสามารถต่อสู้กับติงอิงได้สักครั้งแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด ถึงท้ายที่สุดแล้วติงอิงก็ยังคงเป็นลูกรักของฟ้าดินแห่งนี้ หรือว่าผู้ฝึกตนจะไม่มีวันที่ได้ลืมตาอ้าปากจริงๆ?”

โจวเฝยจุ๊ปากพูด “นี่มารเฒ่าติงคิดจะยึดครองโชคชะตาบู๊เพียงลำพังเลยนี่นา เป็นเพราะติงอิงคิดตกเรื่องอะไร ถึงได้รับการยอมรับจากกฎเกณฑ์ของฟ้าดินแห่งนี้? คงไม่ใช่กระมัง พวกเรายังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้อยู่เลยนะ ติงอิงจะได้โชคยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไปครองได้อย่างไร ไม่ใช่ราชวงศ์สกุลหลูของแจกันสมบัติทวีปสักหน่อยที่ฮ่องเต้สติวิปลาส เห็นว่ายากจะต่อชะตาแคว้นได้อีก จึงหุบไหที่แตกให้แหลกโดยการแอบมอบโชคชะตาบู๊ของครึ่งแคว้นให้กับบุตรชาย…”

โจวเฝยบ่นพึมพำอย่างนึกสนุกอยู่กับตัวเอง ถึงอย่างไรเวลาชมเรื่องสนุก เขาก็ไม่รังเกียจหากเรื่องราวจะลุกลามใหญ่โต

ลู่ฝ่างถาม “เรื่องหยุมหยิมในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ ทางทิศเหนือ เจ้าไปรู้มาได้ยังไง?”

โจวเฝยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็เป็นเจ้าประมุขสกุลเจียง จะไม่สนใจเรื่องราวในใต้หล้าไพศาลเลยได้อย่างไร มักมีคนมาเข้าฝันข้าบ่อยๆ”

ลู่ฝ่างกล่าวอย่างกังขา “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

“จ่ายเงินเอาสิ”

โจวเฝยพูดเสียงขุ่นเหมือนเสียดายเล็กน้อย “ราตรีวสันต์หนึ่งเค่อมีค่าเท่ากับทองคำพันชั่งกะผีอะไร ฝันหนึ่งตื่นในหนึ่งปีของข้านี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าต่อให้มีภูเขาเงินภูเขาทองก็ใช้จนหมดเกลี้ยงได้เหมือนกัน”

ห่างออกไปไกล อวี๋เจินอี้ขมวดคิ้ว กวานดอกบัวสีเงินที่อยู่ในมือสั่นสะเทือนเบาๆ กลีบดอกบัวพลันคลี่บาน ด้านในมีประกายแสงสีเขียวเส้นหนึ่งหลุดพ้นจากพันธนาการพุ่งทะยานไปทางทิศใต้ของเมืองอย่างรวดเร็ว

เมื่อโอกาสมาถึง ฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ

สี่ด้านแปดทิศล้วนมีประกายแสงมายาล่องลอยกรูเข้าไปหาติงอิง

ติงอิงหลับตาทำสมาธิ รับเอาโชคชะตาบู๊ของฟ้าดินที่ยิ่งใหญ่นี้ไป

ส่วนชุดคลุมอาคมจินหลี่ของเฉินผิงอันก็พลันโบกสะบัด ไม่ได้เป็นชุดคลุมสีขาวอีกต่อไป แต่กลับคืนสู่รูปโฉมแท้จริงซึ่งเป็นชุดคลุมยาวสีทอง

ไม่เพียงเท่านี้ กระบี่บินชูอีที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็พุ่งพรวดออกมา

อีกทั้งห่างไปไกลยังมีกระบี่บินสืออู่บินมาหาด้วย

เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดเนินเขา ในมือถือปราณยาว ปราณกระบี่ไหลรินไปตามแขน ชูอีและสืออู่ล้อมวนอยู่รอบกาย สหายเก่ากลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง บรรพบุรุษน้อยทั้งสองที่เดิมทีนิสัยเข้ากันไม่ค่อยได้ เวลานี้กลับลิงโลดร่าเริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ชายแขนเสื้อใหญ่ของจินหลี่โบกไสว เฉินผิงอันพลันกำปราณยาวเอาไว้แน่น ชายแขนเสื้อสั่นสะเทือนตามไป ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ

แค่เนินเขาเล็กๆ เท่านั้น

แต่กลับมีคนคนหนึ่งยืนตระหง่าน อาภรณ์สะบัดปลิวพัดฝุ่นผงคลุ้งลอย

เฉินผิงอันและติงอิง คนหนึ่งอยู่บนเขา อีกคนอยู่ล่างเขา

ต่างคนต่างเดินขึ้นสูงคนละหนึ่งก้าว เดินมาถึงยอดสูงสุดที่ใหม่เอี่ยม ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือสภาพจิตใจก็ล้วนเป็นเช่นนี้

ติงอิงลืมตา ชำเลืองมองกาเหล้าตรงเอวของเฉินผิงอัน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป ข้าจะดื่มเหล้านี้แทนเจ้าเองก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ตรงเอว บอกเป็นนัยว่าหากมีปัญญา หลังจบเรื่องก็มาเอาไปได้เลย

ศึกใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้ไม่ได้โรมรันกันอยู่ในระยะสองช่วงแขนอีกต่อไป แต่เดี๋ยวขยับใกล้ เดี๋ยวออกห่างไปไกล ในรัศมีหนึ่งลี้ล้วนเต็มไปด้วยปราณกระบี่และและพายุหมัดที่หนาข้น

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนมาถึงภูเขากู่หนิว เม็ดทรายและก้อนหินตลบคละคลุ้ง ตั้งแต่ตีนเขาไปจนถึงยอดเขา

ติงอิงถูกกระบี่หนึ่งของเฉินผิงอันฟันผ่าลงมาจากยอดเขาถึงตีนเขา

แต่กระบี่ที่สองของเฉินผิงอันกลับถูกติงอิงที่ทะยานร่างขึ้นมาต่อยกลับไปที่ยอดเขา

ติงอิงเดินขึ้นเขามาช้าๆ พายุหมัดที่ปล่อยออกมาอย่างสบายๆ กลับเหมือนแขนขององค์เทพสูงร้อยจั้งที่ควงหมัดเหวี่ยงลงบนภูเขากู่หนิวครั้งแล้วครั้งเล่า

เฉินผิงอันเพียงใช้หนึ่งกระบี่ทำลายลงเท่านั้น

ติงอิงที่ได้รับโชคชะตาบู๊มาจากฟ้าดินปล่อยให้จิตหยินออกมาจากร่างอีกครั้ง กลายมาเป็นกายธรรมร่างทองที่สูงพอๆ กับภูเขากู่หนิว มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัด ทุบต่อยลงบนภูเขากู่หนิวครั้งแล้วครั้งเล่า

เดิมทีเฉินผิงอันควรจะเปลี่ยนมาใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่หลังจากกุมปราณยาวไว้ในมือก็ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนมาใช้กระบวนท่าหมัดอีก ต่อให้ทั้งคนและกระบี่จะถูกจิตหยินร่างทองตนนั้นทุบให้ลดระดับลงไปพร้อมกับยอดเขากู่หนิว แต่ก็ยังดึงดันจะใช้กระบี่รับมือกับศัตรู ฝุ่นผงบนยอดเขากู่หนิวลอยตลบมืดฟ้ามัวดินอยู่นานแล้ว มีหินยักษ์กลิ้งหลุนๆ ลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งหินทั้งหลายยังถูกหมัดของติงอิงต่อยให้กลิ้งไถลลงมาตามภูเขาเหมือนยามหิมะทลาย หอบเอาดินโคลนก้อนหินและพืชหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไหลกรูลงมาด้วย

ภูเขากู่หนิวที่สูงใหญ่ถูกต่อยให้เตี้ยลงทีละนิด

ชุดคลุมสีทองที่อยู่บนยอดเขายังคงยืนตระหง่านไม่ล้มลง

ร่างจริงของติงอิงเดินขึ้นบนยอดเขาใหม่เอี่ยม ฝุ่นคลุ้งปลิวว่อน เห็นเพียงความมืดสลัว

ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันใช้กระบี่ต้านรับฝ่ามือข้างหนึ่งที่กดลงมาของจิตหยิน ทำลายฝ่ามือของกายธรรมจนแหลกเละ ประกายแสงสีทองแตกเป็นสะเก็ดปลิวกระจัดกระจาย ราวกับว่าบนภูเขากู่หนิวมีฝนห่าใหญ่สีทองตกลงมา

ติงอิงพุ่งทะยานไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง เหวี่ยงหมัดต่อยเข้าที่หน้าผากของเฉินผิงอัน

แสงสีทองจุดหนึ่งกระเด็นออกไปจากภูเขากู่หนิวเป็นเส้นโค้ง ร่วงกระแทกลงบนพื้นไกลจากภูเขากู่หนิวมาหลายร้อยจั้ง

วงโคจรของแสงสีทองที่เล็กบางเส้นนั้นทำให้มันดูคล้ายสะพานหินโค้งสีทอง

หมัดที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณของติงอิงถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว

ยังคงเป็นภาพที่สายรุ้งสีขาวพาดผ่านบนนภา ยิ่งใหญ่และงดงาม

จุดที่รุ้งสีขาวเส้นนี้ร่วงลงพื้นเป็นจุดเดียวกับแสงสีทองพอดี

เฉินผิงอันถูกต่อยให้ถอยไปอีกร้อยกว่าจั้ง

ติงอิงเองก็โมโหเดือดดาลกับเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานของเฉินผิงอันเต็มทีแล้ว ขนาดภูเขากู่หนิวยังลดระดับลงหลายสิบจั้ง แต่ไอ้หมอนั่นกลับไม่รู้สึกรู้สา ยังคงออกกระบี่ไม่หยุด ติงอิงจึงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “หมัดนี้จะตายหรือไม่ตาย?!”

เทพหยินร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลังเดินข้ามภูเขากู่หนิวมา พอฝ่าเท้าสัมผัสพื้นก็โน้มตัวมาข้างหน้า เท้าอีกข้างหนึ่งเหยียบลงบนหัวของเฉินผิงอันพอดี

ความรู้สึกนี้แค่เทียบเท่าการจับปราณยาวเท่านั้น

เมื่อคนทั้งสองประหัตประหารกันอย่างบ้าคลั่ง สงครามก็ยิ่งดุเดือดรุนแรงมากทุกขณะ ปราณกระบี่ระเบิดอยู่กลางฝ่ามือและบริเวณใกล้กับแขนไม่หยุด ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ต้านทานการทุบตีจากจิตหยินของติงอิงมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ปราณวิญญาณเหล่านั้นแทบจะระเบิดอยู่เหนือศีรษะของเฉินผิงอัน

จิตใจทั้งหมดของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับการต่อสู้กับติงอิง ถึงขั้นไม่ทันปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณพวกนี้ ราวกับว่าการดำรงอยู่ของพวกมันคือหลักแห่งฟ้าและดิน

ต่อให้จะเจ็บปวดเหมือนมีองค์เทพใช้ปราณวิญญาณทุบตีหล่อหลอมเข้ามาในร่างกาย เฉินผิงอันก็ไม่มีเวลามาสนใจ คิดแค่ว่าเป็นความยากลำบากอย่างหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากการฝึกวิชาหมัดเท่านั้น

ส่วนปราณวิญญาณสับสนวุ่นวายที่แทรกซอนเข้ามาในผิวหนัง เลือดเนื้อ กระดูกและเส้นเอ็น ก่อนจะเข้ามาในช่องโพรงลมปราณและทะเลสาบในหัวใจอันเป็นจิตวิญญาณ เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่สนใจ

ภูเขาสูงสายน้ำอันตราย เส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรคและยาวไกล

เฉินผิงอันมองไปข้างหน้าอย่างเดียว พอเจอหินที่กีดขวางเส้นทางเดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เขาก็เดินอ้อมผ่านอย่างเป็นธรรมชาติ เส้นทางยังคงเป็นเส้นทางเดิม ไม่มีทางอื่นเพิ่มเข้ามา เป็นเหตุให้ก้อนหินที่ขวางทางพวกนั้นกลายมาเป็นประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิตของเฉินผิงอัน

กายธรรมร่างทองเหยียบลงไป พื้นดินก็ปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่

ติงอิงตั้งท่าหมัดที่ ‘คิดว่าแน่นอน’ ความหมายแท้จริงของกระบวนท่านี้แทบจะใกล้เคียงคำว่า ‘เมื่อจิตใจไปถึงก็จะกลายเป็นความจริง’ แล้ว

เขาแบฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสู่ฟ้า วางขวางไว้เบื้องหน้า มือหนึ่งกำเป็นหมัดทุบลงบนฝ่ามืออีกข้างอย่างแรง

หนึ่งหมัดทุบลงไป

ลมโหมกระหน่ำ ก้อนเมฆมารวมตัวกัน สายฟ้าหนาเท่าต้นไม้หลายคนโอบเส้นหนึ่งผ่าเปรี้ยงลงมา

เทพหยินที่ถอยไปด้านหลังอยู่นานแล้วยกสองแขนกอดอก มองมาด้วยสายตาเย็นชา

สายฟ้าเส้นแล้วเส้นเหล่าผ่าลงกลางหลุมใหญ่หลุมนั้น

สายฟ้าผ่าลงมาติดต่อกันไม่หยุด ราดรดลงบนศีรษะของเฉินผิงอันที่ยืนงอตัวอยู่ก้นหลุม ประหนึ่งน้ำบ่าที่ไหลผ่านชุดคลุมอาคมจินหลี่ลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

ดวงตาทั้งคู่ของติงอิงฉายประกายแสงสีทอง ครั้งสุดท้ายที่เขาใช้หมัดทุบลงบนฝ่ามือ ทะเลเมฆบนท้องฟ้าที่ราวกับมีบ่อสายฟ้าอยู่ด้านในก็ปล่อยสายฟ้าสีขาวหิมะเส้นใหญ่ที่สุดลงมา ทว่ากลับไม่ได้กระแทกลงในหลุมใหญ่ แต่ค่อยๆ ลดระดับลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะถูกจิตหยินร่างกายธรรมถือไว้ในฝ่ามือดั่งถือกระบี่ยาว

ครั้นแล้วก็เริ่มวิ่งตะบึงมาเบื้องหน้า ขว้าง ‘กระบี่ยาว’ ที่อยู่ในมือไปเบื้องหน้าเบาๆ

สุดท้ายใช้สองมือคว้าจับกระบี่ยาวที่เกิดจากสายฟ้าตัดสลับกัน ยืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ ปลายกระบี่ทิ่มลงเบื้องล่าง แล้วแทงลงสู่ศีรษะของคนผู้นั้นอย่างแรง!

ต้องรู้ว่ากระบี่นี้ นอกจากจะแฝงพลังอำนาจแห่งสายฟ้าแล้ว ยังมีวิชาแห่งวิถีกระบี่ที่ติงอิงบรรลุมาอีกด้วย

ติงอิงกระตุกมุมปาก เอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง “ข้ารู้ว่าเจ้ามาแล้ว ต้องรอให้เฉินผิงอันตายก่อนแล้วเจ้าค่อยเผยโฉมหน้าที่แท้จริงใช่ไหม? เจ้าช่างใจกว้างซะจริง เจ๋อเซียนที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้เป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดจริงๆ ทำไม กลัวว่าศักยภาพของข้าจะอ่อนด้อยเกินไป ไม่คู่ควรให้เจ้าลงมืองั้นรึ?”

บนหัวกำแพงเมือง

สีหน้าอวี๋เจินอี้มืดทะมึน

จ้งชิวหัวเราะร่า “เป็นไง ยังรู้สึกว่าตัวเองคือเทพเซียนที่ฝึกตนประสบความสำเร็จอยู่อีกไหม?”

โจวเฝยใช้มือกุมหน้าผาก ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “มารดามันเถอะ สถานที่แห่งนี้ของพวกเราคือพื้นที่มงคลดอกบัวนะ ไม่ใช่ใต้หล้าไพศาลสักหน่อย พวกเจ้าจะได้ใช้ปราณวิญญาณกันอย่างสิ้นเปลืองแบบนี้ พวกเจ้าสองคนนี้มันช่าง…ดีเลย หลังจากที่ข้าผู้อาวุโสกลับไปจะต้องไปหาเฉินผิงอันผู้นี้ ไม่ว่าตอนนั้นขอบเขตของเขาจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ก็ต้องไปขอดูฝีมือสักหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือให้มาเป็นผู้รับใช้ของสกุลเจียงข้า ต่อให้ขอบเขตต่ำแล้วจะอย่างไร…”

ลู่ฝ่างตัดบทความคิดของสหายรักด้วยการหัวเราะเสียงเย็น “ก่อนจะเป็นอย่างนั้น ไอ้หมอนั่นต้องไม่ตายไปซะก่อน”

โจวเฝยถอนหายใจ ดึงฝ่ามือที่จับหน้าผากออก มองไปทางภูเขากู่หนิว “ยากแล้วล่ะ”

นอกจากสายฟ้าหลายเส้นกระแทกลงมา ยังมีกายธรรมจิตหยินของติงอิงที่ออกมาจากร่าง ในมือถือกระบี่แทงลงไปที่ศีรษะของเฉินผิงอัน

ไม่ต้องสงสัยเลย ต่อให้เฉินผิงอันจะสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ ต่อให้ชูอีกับสืออู่พยายามสกัดขวางไว้อย่างสุดกำลัง กระบี่นั้นก็ยังแทงลึกลงไปถึงพื้นดิน

หลังจากที่เฉินผิงอันหายตัวไป กระบี่ยาวในมือของเทพหยินก็แตกสลาย ปณิธานกระบี่และสายฟ้ากระจายหายอยู่ในหลุมไปพร้อมกัน หลุมใหญ่และบ่อสายฟ้าบนท้องฟ้าขานรับกันอยู่ไกลๆ เกิดเป็นภาพบ่อสายฟ้ากระเพื่อมไหว

สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว

หัวใจของติงอิงหดรัดตัว เตรียมพร้อมรับมือกับคู่ต่อสู้ที่แท้จริงคนนั้น

แล้วก็จริงดังคาด

บนยอดเขากู่หนิวห่างจากติงอิงไปไม่ไกล มีนักพรตเต๋าที่เรือนกายสูงใหญ่ผิดปกติคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “พวกเจ้าต่างก็เป็นหินลับมีดของกันและกันเท่านั้น”

ติงอิงกำลังจะเปิดปากพูด

นักพรตเฒ่ากลับหัวเราะหยัน “รนหาที่ตาย แต่ก็ไม่เป็นไร บนโลกนี้เจ้าติงอิงนับว่ายังพอน่าสนใจอยู่บ้าง”

ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาล ขอบเขตสี่หลอมจิต ขอบเขตห้าคือหลอมวิญญาณ

กายหยาบของเฉินผิงอันที่ถูกหนึ่งกระบี่ปักตรึงลงไปใต้ดินไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งจริงๆ

ทว่าในบ่อสายฟ้ากลางหลุมใหญ่กลับปรากฏร่างของเซียนกระบี่หนุ่มที่ชุดคลุมสีทองโบกสะบัด เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจห้าวเหิม สองนิ้วประกบกันปาดผ่านไปเบื้องหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง

กระบี่เล่มหนึ่งก็มาหยุดลอยอยู่ตรงหน้า

ท่าทางเหมือนก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

แต่ส่วนที่ไม่เหมือนกันก็คือ ด้านหลังเจ๋อเซียนสวมชุดคลุมสีทองผู้นี้ยังมีเด็กหนุ่มสวมชุดผ้าป่านและรองเท้าแตะคนหนึ่งปรากฏตัว เมื่อเทียบกับเจ๋อเซียนแล้วดูอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย

หนึ่งกระบี่ปรากฏขึ้นบนโลก

เฉินผิงอันผู้เป็นเจ๋อเซียนที่อยู่เบื้องหน้ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ามีหนึ่งกระบี่?”

เฉินผิงอันสวมรองเท้าแตะที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งมาข้างหน้าพอดี เขาคว้าจับกระบี่เล่มนั้น ทะยานตัวขึ้นสูง พูดเสียงดังกังวานเหมือนปีนั้นที่ใช้กระบี่ฟันภูเขาสุ้ยซาน “สามารถย้ายขุนเขา!”

แล้วหนึ่งกระบี่ก็ถูกส่งออกไป

ไหนเลยจะยังมีติงอิงผู้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอะไรอีก บนโลกนี้ไม่เหลือมารเฒ่าอิงอีกต่อไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

เพราะตลอดทั้งภูเขากู่หนิวไม่เหลืออยู่แล้ว ถูกหนึ่งกระบี่ฟันจนราบเรียบ

ในหลุมใหญ่ เฉินผิงอันอาศัยจินหลี่สยบสายฟ้าที่กลบทับหลุม เขาสะบัดอาภรณ์ ทำลายพันธนาการจากผืนแผ่นดิน ‘งัด’ ตัวเองออกมาจากในดินโคลน เฉินผิงอันสองคนที่เป็นทั้งจิตและวิญญาณต่างก็กลับคืนเข้าร่าง ปีนป่ายเนินเดินออกมาจากหลุมช้าๆ

น้ำเสียงแก่ชราที่กลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้น ไม่รู้ว่าต้องการถากถางหรือต้องการสัพยอกกันแน่ “กระบี่นี้นับว่าไม่เลว”

เฉินผิงอันปลดกาเหล้าตรงเอวลงมาแล้วแหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งอึกอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะถามว่า “เจ้าก็คือนักพรตแห่งทะเลบูรพาที่เซียนกระบี่เฉินพูดถึงสินะ? ที่นี่ก็คืออารามกวานเต๋าแห่งนั้น?”

นักพรตเฒ่าที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ “อารามกวานเต๋าอะไรกัน? ข้าอยู่ที่ไหน กวานเต๋า (พิศเต๋า มองเต๋า มองมรรคา พิศดูมรรคา) ก็อยู่ที่นั่น”

เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า แต่เพิ่งจะเช็ดสะอาด ใบหน้าก็กลับมาแดงก่ำอีกครั้ง เขาถามว่า “ข้าขอด่าสักคำได้ไหม?”

นักพรตเฒ่ายิ้มบางๆ ตอบรับ “เจ้าก็ลองคิดดูเอาเอง”

เฉินผิงอันยังคงเช็ดเลือดต่อโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี “ท่านผู้อาวุโสช่างมีมรรคกถาค้ำฟ้า ร้ายกาจๆ”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “เด็กผู้นี้มีอนาคต สั่งสอนได้”

—–