บทที่ 323.1 ชุดขาวเข้าเมือง ไม่กล้าเคาะประตู ProjectZyphon
นักพรตเฒ่ามาเยือนกะทันหัน แล้วก็จากไปอย่างกะทันหัน
ทิ้งให้เฉินผิงอันอยู่ริมขอบบ่อใหญ่เพียงลำพัง ทั้งไม่ได้บอกเฉินผิงอันว่าควรจะออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างไร แล้วก็ไม่ได้บอกว่าการพิศมรรคา (กวานเต๋า ชื่อเดียวกับอารามกวานเต๋าที่เฉินผิงอันตามหา) ในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ส่วนอะไรคือโชควาสนาของการบินทะยาน อะไรคือสิบคนในใต้หล้า นักพรตเฒ่าก็ยิ่งไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
ทว่าถึงแม้การจากไปอย่างไม่มีลางบอกเหตุของนักพรตเฒ่าจะทิ้งเรื่องเละเทะกองใหญ่ไว้ให้เฉินผิงอันเก็บกวาด แต่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก เส้นเอ็นหัวใจที่ขึงตึงใกล้จะดีดขาดเต็มทีเส้นนั้นคลายตัวลง เขาเดินโซซัดโซเซอยู่หลายก้าว สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงทิ้งตัวนอนหงายลงไปบนพื้นเสียเลย
ไม่มีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นคอยประคับประคองตัว อาการบาดเจ็บที่ถูกจิตหยินของติงอิงใช้หนึ่งกระบี่แทงทะลุลงไปยังใต้ดินก่อนหน้านี้จึงระเบิดออกมา เฉินผิงอันคล้ายคนที่นอนจมกลางกองเลือดแล้วมีเลือดสดไหลนองไม่ขาดสาย
ทว่าเฉินผิงอันกลับหัวเราะ หัวเราะอย่างสาแก่ใจ
มีชูอีสืออู่อยู่ข้างกาย ติงอิงก็ตายไปแล้ว รอบด้านไม่มีใคร เฉินผิงอันใช้เรี่ยวแรงเสี้ยวสุดท้ายอย่างสิ้นเปลืองโดยการปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา เอามันวางไว้บนริมฝีปากด้วยมืออันสั่นเทา ฝืนกระดกเหล้าลงคอหนึ่งอึก ต่อให้หนี้มากแค่ไหนก็ไม่ท่วมทับตัวตาย ความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็แค่เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าหากในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ดื่มเหล้า ช่างน่าเสียดายนัก
เฉินผิงอันไม่ทันสังเกตเห็นว่าบนชุดอาคมจินหลี่ ไข่มุกใหญ่สีขาวหิมะที่อยู่ระหว่างกรงเล็บมังกรสีทองที่ขดตัวอยู่ตรงหน้าอกถูกเติมเต็มไปด้วยของเหลวที่เป็นสายฟ้าเข้มข้น และไข่มุกขนาดเล็กใต้กรงเล็บ ใต้คางของมังกรสีทองตัวน้อยสองตัวที่อยู่บนไหล่ก็มีสายฟ้าหลายเส้นล้อมเวียนวนอยู่เช่นกัน
เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของจินหลี่ เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ประหลาดราวฟ้าดินพลิกคว่ำที่เกิดกับร่างกายของเฉินผิงอันแล้วกลับไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง
นี่เป็นการถอดรกเปลี่ยนกระดูกใหม่อย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ตอนที่แช่ตัวอยู่ในบ่อสายฟ้า โครงกระดูกเบื้องใต้เนื้อหนังของเฉินผิงอันมีประกายแสงแวววาวดุจแสงหยกแสงทองเกิดขึ้นมาหลายส่วน นี่ก็คือสัญญาณของการเกิด ‘กิ่งทองใบหยก’ ของผู้ฝึกตน
รากฐานลึกล้ำคือวิถีของความเป็นอมตะ
เฉินผิงอันมึนงงสะลึมสะลือ
ฝันไปคล้ายคนกึ่งหลับกึ่งตื่น
ในฝันมีคนชี้ไปยังแม่น้ำสายหนึ่งที่น้ำไหลบ่า ถามเฉินผิงอันว่าจะข้ามไปหรือไม่
คนผู้นั้นถามเองตอบเอง บอกว่าหากเจ้าเฉินผิงอันต้องการข้ามแม่น้ำโดยที่ไม่ถูกมหามรรคาพันธนาการก็ต้องมีสะพานแห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นจึงจะข้ามไปได้เอง
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงทำเพียงแค่นั่งยองเกาหัวอยู่ริมแม่น้ำ
จิตดั้งเดิมอยู่ตรงนี้ ไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำได้
คนผู้นั้นจึงบอกว่าบังเอิญซะจริง เจ้าเฉินผิงอันไม่ได้เรียนรู้หลักการของอริยะปราชญ์บางคนหรอกหรือ? หรือว่ารู้หนังสือรู้หลักมารยาทแล้ว เจ้าเฉินผิงอันจะเอาแต่เก็บกลั้นหลักการเหล่านั้นไว้ในท้อง ไม่ว่าจะเวลาไหน กับใครหรือกับเรื่องอะไรก็มีเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าเท่านั้น?
เฉินผิงอันบ่นอย่างไม่คิดจะปิดบัง “เรียนหลักการแล้วเกี่ยวอะไรกับสะพานด้วย?”
คนผู้นั้นไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่บอกว่าต้องทำยังไง “จินตนาการภาพสะพานแห่งหนึ่งขึ้นมาในใจของเจ้า จะเป็นสะพานแห่งไหนก็ได้ เจ้าอายุยังไม่มาก ทว่าสถานที่ที่เคยเดินทางผ่านกลับไม่น้อยแล้ว วางใจเถอะ ขอแค่เป็นสะพานแห่งหนึ่งก็พอ ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรมากนัก ต่อให้เป็นสะพานในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็ไม่มีปัญหา ตอนที่จินตนาการถึงไม่ต้องพันธนาการความคิดใดๆ แม้จิตจะเตลิดดั่งม้าพยศดั่งลิงซุกซนก็ไม่ต้องกลัว ขอแค่เปิดจิตให้กว้างแล้วคิดไป คิดได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี สิ่งที่ต้องการคือความคิดที่โลดแล่น จินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด”
เฉินผิงอันที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ริมแม่น้ำของสถานที่ใด ‘หลับตา’ ลง
อยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงสะพานโค้งสีทองกลางทะเลเมฆที่ยาวเหยียดจนราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุดแห่งนั้น
เฉินผิงอันมองไม่เห็นนักพรตเฒ่าคนนั้น ไม่ว่าเขาจะตามหาอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางพบร่องรอยของนักพรตเฒ่า
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่มีทางมองเห็นว่า พอนักพรตเฒ่ามองเห็นไอเมฆที่ลอยล่องอยู่เหนือสะพานยาว เขามีสีหน้าแปลกประหลาดแค่ไหน ยิ่งไม่มีทางได้ยินผู้เฒ่าสบถด่าเฉินชิงตูที่หาปัญหามาให้ตน ด่าซิ่วไฉเฒ่าว่าไม่ใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน สุดท้ายชื่นชมสายตาและความกล้าหาญของเด็กรุ่นหลัง รวมไปถึงหวนระลึกถึงภูเขาและแม่น้ำ ‘คนรู้จักเก่าแก่’ ที่ไม่ถือว่าเป็นคน
เฉินผิงอันเบิกตากว้างก็มองเห็นว่าข้างฝ่าเท้าของตัวเอง และฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำสายยาวพอจะมองเห็นเค้าโครงของสะพานโค้งสีทองแห่งหนึ่งได้เลือนราง เพียงแต่ว่ามันล่องลอยส่ายไหว ไม่มั่นคง
ในมือเขามีตำราเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ด้านบนเขียนว่าเป็นบทความแห่งศีลธรรมของผู้เฒ่าบางคน บันทึกทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอริยะขงจื้อท่านหนึ่งที่ไม่เคยมีปรากฏในโลก
ทุกตัวอักษรล้วนพากันหลุดออกมาจากในตำรา ส่องแสงสีทองระยิบระยับ ลอยล่องไปหาสะพานโค้งสีทองที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของเฉินผิงอัน
อักษรหนึ่งตัวเหมือนอิฐหนึ่งก้อน
น่าเสียดายที่ในตำรายังมีตัวอักษรเกือบครึ่งที่คล้ายดื้อดึง โดยเฉพาะในหน้าหนังสือช่วงกลางถึงช่วงท้ายที่อักษรทุกตัวล้วนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก
ไม่ว่าจะอย่างไร สะพานยาวสีทองเหนือแม่น้ำก็เหมือนถูกคนใช้จิงชี่เสินประคับประคองก่อสร้างในรวดเดียว และในที่สุดก็มั่นคงแข็งแรง
แต่ยังอยู่ห่างจากการสร้างสำเร็จจนเฉินผิงอันสามารถใช้เดินข้ามแม่น้ำได้อีกเล็กน้อย และยังขาดเลือดเนื้ออยู่อีกมาก
ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งที่หากมีแค่จิตวิญญาณ แต่ไม่มีกายหยาบ นั่นก็คือโครงกระดูกขาว คือผีเร่ร่อนที่ไม่อาจเห็นแสงตะวัน ไม่อาจเข้ามาในโลกของคนเป็นได้
อีกอย่างก็คือระดับความยาวและความยิ่งใหญ่ของสะพานอยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลโข ดังนั้นตัวอักษรในตำราเล่มนี้ถึงไม่พอให้เอามาใช้
นักพรตเฒ่าพูดสั่ง “ลองขึ้นไปเดินดู ดูสิว่าจะพังลงมาหรือไม่”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ตอบไปตามความรู้สึก “ย่อมต้องพังแน่นอน”
นักพรตเฒ่าไม่ได้กังขาในคำตอบของเฉินผิงอัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กที่ตนสร้างขึ้นแห่งนี้
จากนั้นก็ ไม่มีจากนั้นแล้ว
ข้างหลุมใหญ่ เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นนั่ง ไหนเลยจะยังมีแม่น้ำยาว ยิ่งไม่มีนักพรตเฒ่าคนนั้น
ฟ้าดินมีเพียงความว่างเปล่าที่กว้างใหญ่
ข้างกายมีกระบี่บินสองเล่ม ชูอีและสืออู่
แม้จะไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน แต่ติดตามเฉินผิงอันเดินทางไกลมาตลอดทาง อยู่ร่วมกันมานานวัน พึ่งพาอาศัยกันและกัน จิตจึงสื่อถึงกันได้นานแล้ว
กระบี่เล่มหนึ่งเงียบงัน อีกเล่มหนึ่งรู้สึกผิด
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้เรียบร้อยแล้วก็ยื่นสองมือออกไปตบกระบี่บินสองเล่มเบาๆ พูดปลอบใจว่า “พวกเราสามคนยังมีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว อีกอย่าง คราวหน้าพวกเราไม่มีทางได้รับความอยุติธรรมขนาดนี้อีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่หากไม่ได้พวกเจ้าช่วยสกัดขวางไว้ ข้าก็คงไม่มีทางอดทนได้ถึงนาทีที่จิตวิญญาณออกจากร่าง…”
เฉินผิงอันหยุดพูดทันที เพราะเขาค้นพบว่าชูอีกับสืออู่ คนหนึ่งยิ่งเงียบงัน อีกคนหนึ่งยิ่งรู้สึกผิด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง เดินพลางพึมพำไปด้วย “พวกเจ้ากลับเข้ามาในนี้ก่อน พวกเรารีบเข้าเมืองไปตามหาคนจิ๋วดอกบัว! ระหว่างทางที่กลับไปนี้อาจจะไม่ราบรื่นนัก ไม่มีพวกเจ้า ตอนนี้ข้าก็ไม่มีความมั่นใจจริงๆ ว่าจะสู้กับใครได้ หากไม่ใช้เวลาพักฟื้นสิบวันครึ่งเดือน อย่าว่าแต่มารเฒ่าเลย ต่อให้เป็นเด็กที่สามารถควบคุมกระบี่ได้คนนั้นก็รับมือได้ยาก หลังจากนี้ไม่แน่ว่าอาจต้องให้พวกเจ้าช่วยเปิดทางให้ข้า”
กระบี่บินสองเล่มจึงกลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เฉินผิงอันเดินกลับไปยังเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเพียงลำพัง
เมื่อขยับเข้าไปใกล้หัวกำแพงเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีทองไปเป็นชุดคลุมยาวสีขาวหิมะอีกครั้ง
เฉินผิงอันสัมผัสได้จึงก้มหน้าลงมอง
สนามรบที่มีภูเขากู่หนิวเป็นจุดศูนย์กลางซึ่งอยู่ด้านหลังมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น และไม่สลายหายไปไหน เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็น่าจะเป็น ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว
แน่นอนว่ายังมีชะตาบู๊ที่เข้มข้นด้วย
หากไม่เป็นเพราะร้อนใจอยากกลับไปตามหาคนจิ๋วดอกบัวในเมือง อันที่จริงการอยู่ที่เดิมย่อมได้รับผลประโยชน์มากที่สุด
แต่พอเฉินผิงอันแหงนหน้ามองไกลๆ ไปยังหัวกำแพงเมืองก็รู้ว่า หากตนยึดเอาผลประโยชน์ทั้งหมดไปครองผู้เดียว ก็ง่ายที่จะกลายเป็นศัตรูของคนใต้หล้า
ส่วนข้อที่ว่าการเดินเข้าเมืองภายใต้สายตาจับจ้องของคนมากมายจะอันตรายหรือไม่
เฉินผิงอันที่เดินอยู่บนถนนทางหลวงซึ่งเงียบสงัดร้างผู้คน ก้าวหนึ่งก็ล่องลอยออกไปได้หลายสิบจั้ง
ก่อนหน้านี้ที่พูดประโยคเหล่านั้นออกไป หลักๆ แล้วก็เพราะต้องการปลอบใจชูอีกับสืออู่ที่อยู่ในอารมณ์เศร้าซึม ทว่าในความเป็นจริงหากมีใครกล้ามาขวางทางเวลานี้ และยังจะมาตอแยโรมรันกับเขา ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันที่ถือปราณยาวไว้ในมือก็คิดว่านี่คือเหตุผลของเขา
เคยเห็นคำว่าเบื้องหน้าไร้ศัตรูจากผู้เฒ่าแซ่ชุยที่อยู่บนเรือนไม้ไผ่
กับการที่ได้เอาชนะบุคคลผู้ไร้เทียมทานแห่ง ‘ใต้หล้า’ กับมือตัวเอง คือสองขอบเขตที่แตกต่างกัน
……
ขนาดภูเขากู่หนิวยังถูกทำลายจนราบเรียบไปแล้ว จะเอาเสียงกลองสวรรค์ครั้งที่สองมาจากไหน แล้วจะเหลือสถานที่บินทะยานอะไรอีก
ทางกำแพงเมืองของเมืองหลวง ต่อให้โจวเฝยที่เป็นคนขี้เล่นไร้ทุกข์ไร้กังวลก็ยังอารมณ์หนักอึ้ง
คงไม่ถึงขั้นที่ว่าตลอดหกสิบปีที่ทุกคนวุ่นวายเหนื่อยยากกันมาต้องเสียเปล่าหรอกกระมัง?
เมื่อบ่อสายฟ้าบนท้องฟ้าสลายหายไป ก้อนเมฆเคลื่อนตัวเผยให้เห็นดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง ฝานกว่านเอ่อร์ยกกระจกทองแดงบานนั้นขึ้นมา แสงสะท้อนบนกระจกวาววับ หน้ากระจกส่องให้เห็นโฉมหน้าอันงามเลิศล้ำของนาง
และในขณะที่ฝานกว่านเอ่อร์จะเก็บกระจกทองแดงลงไปนั้นเอง นางพลันสังเกตเห็นว่าตัวเองที่อยู่ในกระจกยิ้มหวาดหยดย้อย แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าตัวจริงของนางไม่ได้ยิ้ม
‘ฝานกว่านเอ่อร์’ ที่อยู่ในกระจกถอนหายใจทั้งที่ยังคลี่ยิ้ม
จากนั้นในหัวใจของฝานกว่านเอ่อร์ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เด็กโง่เอ๋ย”
ประหนึ่งถูกฟ้าผ่า
ฝานกว่านเอ่อร์โยนกระจกทิ้งราวกับว่ามันร้อนลวกมือ ยกมือสองข้างกุมศีรษะที่ปวดร้าวราวแทบจะปริแตกของตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและคราบน้ำตา
ห่างออกไปไกลบนกำแพง ยาเอ๋อร์เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าเจ้าตำหนักโจวอย่างระมัดระวัง
โจวเฝยหันหน้ากลับมา จึงเห็นว่าชุดกระโปรงสีเขียวที่อยู่บนร่างของนางหลุดออกมาด้วยตัวเอง แล้วลอยล่องประหนึ่งหญิงคณิกากำลังร่ายรำ ไม่สนใจผู้คนรอบด้าน
โจวเฝยหัวเราะหยัน “มาอยู่ในมือข้าแล้ว ยังคิดจะไปอีกรึ?”
โจวเฝยยื่นมือไปคว้าจับ ตรงไหล่ของชุดกระโปรงเว้าลงไปเป็นรอยมือ ชุดกระโปรงสีเขียวยังคงล่องลอยไปทางขวา กระชากตัวออกห่างไม่หยุด สุดท้ายเกิดเสียงแควกเหมือนผ้าขาด ในมือของโจวเฝยมีผ้าต่วนขาดวิ่นชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาขมวดคิ้วมุ่น “แสร้งทำผีหลอกเจ้า ข้าอยากจะรู้นักว่าจิตวิญญาณของหญิงแก่อย่างเจ้าจะหลบซ่อนตัวไปได้ถึงเมื่อไหร่! แล้วต้องการอะไรกันแน่!”
เศษชุดกระโปรงในมือโจวเฝยมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาและลู่ฝ่างต่างก็รู้ว่านี่คือรากฐานในการหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลของถงชิงชิง
เพื่อแก้นิสัยแข็งกระด้างหักง่าย (เป็นหลักการอย่างหนึ่งของจีน กล่าวว่าสิ่งของใดก็ตามที่แข็งเกินไปย่อมหักได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่นการเป็นคนต้องรู้จักยืดหยุ่นผ่อนคลาย หากตรงเกินไป วู่วามเกินไปก็ง่ายที่จะล่วงเกินคนอื่น นำภัยมาสู่ตัว) ของนาง บุรพาจารย์ไท่ซ่างของภูเขาไท่ซ่างไม่ต้องการให้นางก้าวรุดหน้าไปอย่างกล้าหาญโดยไม่กลัวอุปสรรคใดๆ จนกลายเป็นว่าต้องทุ่มหมัดตัว ต้องเสี่ยงเดิมพันใหญ่กับทุกเรื่อง ก่อนหน้าที่จะโยนนางเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวจึงใช้วิชาอภินิหารของเซียนที่แท้จริงพลิกสลับจิตแห่งเต๋าของนาง ทำให้นางกลายเป็นคนที่กลัวตายมาตั้งแต่เกิด หวังว่าเมื่อนางอยู่ตรงกลางระหว่างความสุดโต่งสองขั้วจะบรรลุถึงมหามรรคา สุดท้ายฝ่าด่านเป็นตาย เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้สำเร็จ
เนื่องด้วยถงชิงชิงผู้เป็นเจ๋อเซียนในชาตินี้หวาดกลัวความตายอย่างถึงที่สุด นางจึงหลบซ่อนตัวไปมา นี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
แต่หากคนที่กลัวตายเช่นนี้ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของตัวเองเสียเลย นั่นต่างหากที่ผิดปกติ
ถ้าเช่นนั้นท่าไม้ตายของถงชิงชิงคืออะไร ต้องเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากแน่นอน
พวกผู้เฒ่าหอจิ้งซินที่อาจจะเป็นคนรุ่นเดียวกันหรือแก่กว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณของถงชิงชิง ต่างก็ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ที่นาง อะไรนางที่เคยเห็นผ่านตาล้วนไม่ลืม หากจะพูดถึงด้านความรู้ เกรงว่าคงเป็นรองแค่ติงอิงเท่านั้น พรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของนางก็ยิ่งน่าครั่นคร้าม หากไม่เป็นเพราะนิสัยอ่อนแอขี้ขลาดเกินไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าถงชิงชิงก็คือปรมาจารย์ใหญ่แห่งใต้หล้ารองจากติงอิง
เมื่อติงอิงที่มองดูเหมือนยืนอยู่ตรงข้ามกับฝั่งธรรมะและอธรรม แต่แท้จริงกลับแอบเป็นพันธมิตรกับทั้งสองฝ่ายตายไป ความคิดอยากสังหารจ้งชิวของอวี๋เจินอี้ย่อมต้องเบาบางลง อีกทั้งเมื่อได้กวานดอกบัวสีเงินของมารเฒ่าติงมาครอบครอง เขาก็ต้องได้ยึดครองหนึ่งตำแหน่งของสามอันดับแรกอย่างมั่นคง แถมอวี๋เจินอี้ยังไม่ต้องการบินทะยาน เขาย่อมไม่มีทางวาดงูเติมหาง หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองกลายเป็นเป้าที่ทุกคนโจมตี ถึงอย่างไรการที่เขาร่วมมือกับติงอิงวางแผนการใหญ่เพื่อเล่นงานปรมาจารย์ทุกคนก็ถือว่าอวี๋เจินอี้ละเมิดข้อห้ามที่ใหญ่เทียมฟ้าไปแล้ว
ตอนนี้เพียงแค่เพราะพลังการต่อสู้ของอวี๋เจินอี้ยังไม่มีความเสียหาย คนอื่นถึงไม่กล้าแตกหักกับเขา ไม่กล้ายกคุณธรรมในยุทธภพมาพูด
อย่างน้อยจ้งชิวและหลิวจงคนลับมีด รวมไปถึงถงชิงชิงที่ยังหลบซ่อนตัวก็ย่อมต้องมีความรู้สึกที่เลวร้ายต่ออวี๋เจินอี้อย่างมาก
ดังนั้นโจวเฝยจึงไม่ต้องการฉีกหน้าถงชิงชิงในเวลานี้ ทว่าชุดกระโปรงสีเขียวตัวนี้ รวมไปถึงอรหันต์ร่างทองที่ภิกษุอวิ๋นหนีไปทวงคืนมาจากฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนล้วนเป็นโชควาสนาที่เขาต้องได้มาครอบครอง ของอย่างแรกใช้เพื่อพายาเอ๋อร์ลัทธิมารไปด้วย เป็นการขัดเกลาจิตใจของโจวซื่อผู้เป็นบุตรชาย ของอย่างหลังเพื่อนำมาแลกสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งมอบให้แก่ลู่ฝ่าง อีกหกสิบปีให้หลัง ตำหนักคลื่นวสันต์ไม่มีเขาโจวเฝย ทว่ายังมีภูเขาเหนี่ยวคั่นและตำหนักคลื่นวสันต์ที่เป็นเหมือนพี่น้องกัน เส้นทางการเดินขึ้นสู่ยอดบนวิถีวรยุทธ์ของโจวซื่อจึงไม่มีเรื่องให้ต้องเป็นกังวลอีก
สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เป็นเพราะผู้ฝึกตนใหญ่อย่างเขาให้กำเนิดบุตรได้ยากมาก โดยเฉพาะสกุลเจียงสำนักกุยหยกของพวกเขาที่มีผู้สืบทอดคนเดียวมาหลายปีแล้ว
—–