บทที่ 50 การช้อปปิ้งในเมืองหลวง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 50

การช้อปปิ้งในเมืองหลวง

ยังมีเวลาอีก 2-3 วันก่อนการประชุมหินการพนันระหว่างประเทศ นอกจากนี้เธอก็ยังไม่มีเสื้อผ้าเลยด้วยเธอจึงคิดว่าจะออกไปซื้อของใช้จำเป็นซะหน่อย แต่ปัญหาก็คือชายชุดดำสองคนที่อยู่ข้างหลังเธอเนี่ยแหละ?! พวกเขาตามเธอไปทุกที่ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่พวกเขาอย่างไม่พอใจ “พวกนายไม่ต้องตามฉันมาก็ได้ ฉันอยากจะเดินคนเดียว”

“นายหญิงน้อยครับ นี่เป็นคำสั่งของคุณชาย”

“เข้าใจแล้วว่าพวกนายต้องตามฉันตลอด แต่ไอ้ที่เรียกว่า “นายหญิงน้อย” นี่มันอะไรกัน?!” มันรู้สึกแย่มากเมื่อได้ยิน!!!

มู่หรงเสวี่ยเดินกระแทกรองเท้าส้นสูงและเดินเข้าร้านที่อยู่ตรงหน้าเธอ ไม่สนใจสายตาแปลกๆที่คนอื่นๆมองเธอ ยังไงซะเธอก็ไม่รู้จักใครที่นี่อยู่แล้ว งั้นเธอก็ไม่ต้องสนใจใช่ไหม!?

มู่หรงเสวี่ยเข้าไปที่ร้านแบรนด์ sdku ตั้งใจว่าจะเลือกเสื้อผ้าสักหน่อยระหว่างที่ชายชุดดำสองคนยืนรออยู่นอกร้าน

ชายชุดดำสองคนนั้นเป็นลูกน้องที่เก่งที่สุดของชางกวนโม่ คนหนึ่งชื่อเย่เฟิงและอีกคนชื่อเย่หลิว อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรเหมือนกัน พวกเขาอยากที่จะออกไปทำภารกิจมากกว่าที่จะออกมาช้อปปิ้งกับผู้หญิงที่นี่ แต่พวกเขาก็รู้ได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ต้องสำคัญกับคุณชายอย่างมากเพราะเขายก มู่หรงเสวี่ยให้พวกเขาเป็นคนดูแล

พวกเขาไม่เห็นความแตกต่างของเด็กสาวคนนี้กับผู้หญิงคนอื่นๆ ถึงแม้เธอจะสวยอย่างมาก แต่คุณชายขาดผู้หญิงสวยๆตั้งแต่เมื่อไรกัน? พวกเขาไม่เข้าใจเลย

มู่หรงเสวี่ยเลือกกระโปรงยาวลากพื้นสีชมพูสุดหรูและกำลังที่จะหยิบมันลงมา ก็มีมือขาวคู่หนึ่งเอื้อมมาหยิบชุดนี้ด้วยเหมือนกัน

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาและเจอกับผู้หญิงสาวสวย น่าจะอายุประมาณ 18 คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อยซึ่งดูแล้วไม่ค่อยน่าคบด้วยเท่าไร

นี่กำลังมองอะไรไม่ทราบย่ะ!? ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะแม่คุณ?! เธอไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มาจากไหนแต่จะมีปัญญาซื้องั้นเหรอ ชูหลิงหลิงมองไปที่เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาดูถูก ถึงแม้ว่าชุดออกกำลังกายที่สวมอยู่จะเป็นของแบรนด์เนมแต่มันก็ไม่ได้ดังอะไร อีกอย่างเธอก็ไม่เคยเห็นเด็กคนนี้ในเมืองหลวงด้วย เดาว่าคงไม่ใช่ลูกคุณหนูจากตระกูลดังแน่ๆ อย่างมากก็แค่รวยเท่านั้นแหละ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเด็กคนนี้หน้าตาสวยกว่าเธอซะอีกซึ่งทำให้เธอไม่ค่อยพอใจเท่าไร

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก เธอนี่เหมือนจะมีเรื่องได้ทุกที่จริงๆ อย่างไรก็ตามเธอไม่คุ้นกับเมืองหลวงและไม่อยากที่จะสร้างปัญหาดังนั้นเธอจึงปล่อยมือจากชุด มันก็แค่ชุดเอง ไม่คุ้มกับที่ต้องมีเรื่องกับผู้หญิงตรงหน้าเพราะเรื่องแค่นี้ เมื่อมองจากชุดแล้วเธอก็ไม่น่าจะใช่คนธรรมดาด้วย เธอเพิ่งมาถึงเมืองหลวง งั้นเงียบดีกว่า อย่าสร้างปัญหาจะดีกว่า

เมื่อเห็นว่าเธอปล่อยมือแล้ว ชูหลิงหลิงก็มั่นใจขึ้นไปอีกว่าเธอไม่ใช่คนมีอำนาจอะไรแน่ๆ จึงพูดออกมาอีกด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง “ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไง? กล้าดียังไงที่ไม่ตอบคำถามฉัน?”

มู่หรงเสวี่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “คุณหนูมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอคะ?”

“มือสกปรกของเธอมาโดนชุดของฉัน ขอโทษเดี๋ยวนี้!”

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะออกมาอย่างไม่พอใจ “ชุดเธองั้นเหรอ? เท่าที่ฉันรู้ ชุดนี้ยังไม่มีใครซื้อเลยนะ!”

“ฉันบอกว่ามันเป็นของฉัน มันก็เป็นของฉัน เธอจะเดินออกจากร้านโดยไม่ขอโทษฉันไม่ได้ ถ้าเธอยังมีสติดีอยู่ก็รีบขอโทษฉันมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพวกเราตระกูลชูจะไม่ไปปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่”

ชูหลิงหลิงกำลังรอให้เด็กสาวตรงหน้าเธอร้องไห้และเอ่ยคำขอโทษออกมา ไม่ว่าเธอจะสวยแค่ไหนก็ตามแต่ถ้าเธอไม่มีครอบครัวที่ดีคอยหนุนหลัง เธอก็จะต้องถูกรังแก

มู่หรงเสวี่ยขี้เกียจที่จะสนใจเธอจึงหันหลังและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ นี่มันบ้าจริงๆ ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ

เมื่อชูหลิงหลิงเห็นว่าเธอหันหลังและเตรียมที่จะเดินออกไป ความโกรธก็พุ่งขึ้นมา เธอเอื้อมมือออกไปและจับเข้าที่ข้อมือของเธอแต่มันแรงเกินไป มู่หรงเสวี่ยจึงล้มลงไปที่พื้นทันทีพร้อมแขนที่มีรอยข่วน

มู่หรงเสวี่ยโกรธมาก ถึงแม้เธอจะไม่อยากมีเรื่องแต่เธอก็ไม่ชอบให้ใครมารังแก เธอรีบลุกขึ้นมาทันทีและตบเข้าที่หน้าอย่างจัง

ชูหลิงหลิงเอามือกุมหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ นังบ้านนอกนี่กล้าตบเธอ เธอจะต้องตาย! ในเวลานี้เธอจิกเข้าที่ผมของมู่หรงเสวี่ยและมู่หรงเสวี่ยก็พยายามที่จะขัดขืน คนทั้งสองกำลังสู้กันจริงๆแล้ว

เมื่อผู้จัดการร้านรู้เรื่อง เธอก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนและเอาแต่ร้องห้าม อย่างไรก็ตามทั้งสองไม่ยอมแยกจากกัน เธอไม่กล้าที่จะใช้แรงแยกออกมา อีกอย่างตระกูลชูก็เป็นตระกูลดังด้วย

แต่ถ้าชูหลิงหลิงได้รับบาดเจ็บในร้าน พวกเขาก็จะต้องเจอปัญหาด้วย เพียงแค่ว่าตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ทันใดนั้นผู้จัดการร้านก็เห็นชูอี้เสิ่น คุณชายใหญ่ของตระกูลชูที่กำลังเข้ามาตรวจกิจการที่ถนนด้านนอกพอดีจึงรีบวิ่งออกไปและอธิบายถึงเหตุการณ์

ชูอี้เสิ่นขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อของชูหลิงหลิง ชูหลิงหลิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งมักจะสร้างปัญหาและมีเรื่องตลอด เขาไม่อยากจะสนใจเรื่องนี้เลยจริงๆ เขาอยากที่จะปฏิเสธและเดินจากไปแต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอที่นี่

มู่หรงเสวี่ยเหรอ?! ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?! เมื่อเห็นว่า ชูหลิงหลิงกำลังดึงผมเธอ เขาก็ห้ามตัวเองไม่อยู่ หัวใจเจ็บปวดไปหมดพร้อมทั้งรีบเดินเข้าไปในร้านทันที พร้อมทั้งใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อจะแยกคนทั้งสอง

ชูหลิงหลิงยังอยากที่จะพุ่งเข้าใส่ ชูอี้เสิ่นจึงตะคอกออกไปด้วยความโกรธ “พอได้แล้ว หยุด!”

ผมของเธอถูกดึงและเจ็บไปหมด มู่หรงเสวี่ยตรวจความเรียบร้อยของชุด ไม่มีอะไรเสียหาย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องเสียภาพลักษณ์ โชคไม่ดีเลยที่ได้มาเจอหมาบ้าแบบนี้แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมาเพื่อมองคนที่แยกพวกเธอออกจากกัน

สายตาประหลาดใจ “พี่ชูเหรอ?! ทำไมเป็นพี่ล่ะ?”

“พี่ชาย รู้จักนังผู้หญิงจนๆคนนี้ด้วยเหรอ?” ชูหลิงหลิงประหลาดใจและโกรธมากขึ้นไปอีก

ชูอี้เสิ่นมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยใจที่เจ็บปวด เขาเพิ่งจะเห็นเหตุการณ์ เธอคงจะถูกดึงผมอย่างแรงและมันคงจะเจ็บมากด้วย “เสี่ยวเสวี่ยเป็นอะไรหรือเปล่า? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

“พี่ชาย เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? ฉันเป็นน้องพี่นะ ฉันเพิ่งถูกรังแกนะ ไม่เห็นเหรอไง?! พี่ไม่ช่วยฉันสั่งสอนเธอ แล้วยังไปถามเธออีกว่าเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยนะ?” ชูหลิงหลิงโกรธอย่างมาก ตอนนี้ยังมีรอยฝ่ามือที่หน้าเธออยู่เลย นังผู้หญิงคนนี้กล้าที่จะตบเธอ เธออยากที่จะฆ่านังนี่ให้ตายจริงๆ!

“หุบปากและหยุดออกมาสร้างปัญหาทั้งวันได้แล้ว พี่คิดว่าคงต้องบอกคุณปู่ให้กักบริเวณเธอแล้ว!” ชูอี้เสิ่นจ้องไปที่ ชูหลิงหลิงด้วยสายตาเย็นชา

ชูหลิงหลิงตัวสั่นเทิ้ม อันที่จริงเธอกลัวพี่ใหญ่อย่างมาก เธอเคยเห็นเขาทรมานพวกศัตรูด้วยวิธีที่โหดร้ายมาแล้ว

และเขาไม่เคยคิดว่าเธอเป็นน้องเขาเลยสักนิด เธอทำให้เขารำคาญอยู่บ่อยครั้ง เขาถึงขนาดกล้าที่จะลงโทษเธอโดยขังเธอไว้ในห้องใต้ดินโดยไม่ให้ข้าวให้น้ำมาแล้วด้วย หลังจากที่เธอได้ออกมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการฟ้อง แม่ของเขาร้องไห้และสั่งห้ามไม่ให้เขาลงโทษอะไรเธออีก ตั้งแต่นั้นมาเธอก็รู้เลยว่าเธอคงญาติดีกับพี่ใหญ่คนนี้ไม่ได้

สายตาเธอจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างดุร้าย รอให้พี่ใหญ่ออกไปก่อนเถอะแล้วคอยดูว่าเธอจะทรมานแม่นี่ยังไง นังผู้หญิงชั้นต่ำ

มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจสายตาของชูหลิงหลิง เธอรู้จากที่เคยคุยกันว่าพี่ชูเป็นคุณชายน้อยของตระกูลชูเท่านั้น เธอเคยได้ยินว่าตระกูลชูอยู่ในเมืองหลวง สองคนนี้เป็นพี่น้องที่อารมณ์แตกต่างกันจริงๆ

“ฉันมีธุระที่เมืองหลวงแต่นี่น้องสาวพี่เหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว ถึงแม้จะเป็นน้องสาวของพี่ชูแต่เธอก็ไม่อยากที่จะขอโทษอยู่ดี ไม่มีทาง

“อย่าไปสนใจเลย เอาเป็นว่าพี่ขอเชิญไปทานอาหารค่ำด้วยกันดีไหม?” ชูอี้เสิ่นยิ้ม นึกได้ว่าเธอยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย จึงพยักหน้าตกลง “แล้วน้องสาวพี่ล่ะ?” เธอไม่อยากที่จะร่วมโต๊ะกับคนนิสัยไม่ดี

“ไม่ต้องห่วงเธอหรอก เดี๋ยวก็มีคนมารับกลับเองแหละ พี่รู้จักร้านอาหารจีนอร่อยๆแถวนี้ ไปกินที่นั่นกันไหม?”

ไม่มีปัญหา “โอเคค่ะ ไปกันเถอะ” ทั้งสองไม่มีใครสนใจชูหลิงหลิงเลย

เมื่อไปที่คนสองคนที่กำลังคุยและหัวเราะกันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชูหลิงหลิงก็กัดฟันจนเกือบจะแตก หลังจากที่ทั้งสองออกไปแล้ว ชูหลิงหลิงก็บอกให้พนักงานเปิดภาพวงจรปิดเดี๋ยวนี้ หลังจากที่ได้ภาพของมู่หรงเสวี่ยแล้ว สายตาของเธอก็แสดงแวบแห่งความโกรธแค้นขึ้นมา

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยเดินออกจากประตูมา เธอก็ถูกชายชุดดำทั้งสองที่ยืนรออยู่หน้าร้านเดินตามมาทันทีแต่สายตาของพวกเขาค่อนข้างเป็นกังวลนิดหน่อย ก่อนที่คุณชายจะออกไปเขาได้สั่งไว้ว่าให้พวกเขาคอยกันพวกผู้ชายที่จะเข้ามาใกล้คุณนายของเขาออกไปให้หมด ไม่งั้นเมื่อกลับมาพวกเขาจะต้องถูกลงโทษ

ชูอี้เสิ่นประหลาดใจเมื่อได้เห็นชายสองคนที่อยู่ข้างหลังเลยต้องหันกลับไปมองที่มู่หรงเสวี่ย “เสี่ยวเสวี่ย ทำไมสองคนนี้ถึงเดินตามเธอล่ะ? รู้จักพวกเขาหรือเปล่า?”

“โอ้ ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก แค่ทำเหมือนพวกเขาเป็นอากาศก็พอ!” มู่หรงเสวี่ยตอบเสียงเบา

ชายชุดดำทั้งสอง : แล้วพวกเขาก็กลายเป็นอากาศ…ได้แต่เดินตามอย่างเงียบๆ

ทำไมพวกเขาต้องคอยตามเสี่ยวเสวี่ยตลอดเวลาเลย? เสี่ยวเสวี่ยกับชางกวนโม่มีความสัมพันธ์กันยังไงเนี่ย?

ทันใดนั้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เกี่ยวกับเสี่ยวเสวี่ย ใช่เขาหรือเปล่านะ?!!! หลังจากนั้นเขาก็กลับมาเช็กดูแต่ก็ไม่เจออะไรเลย อีกฝ่ายลบข่าวทั้งหมดได้ทันเวลา ในเวลานั้นเขาคิดว่าเธอต้องไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนี้เมื่อได้เห็นสองคนนั้นที่นี่ ก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันความคิดนี้เข้าไปอีก

หลังจากทานอาหารเสร็จ ชูอี้เสิ่นอยากที่จะไปเที่ยวกับเสี่ยวเสวี่ย แต่เธอก็ปฏิเสธอย่างสุภาพและบอกว่าเธอจะอยู่ที่เมืองหลวงอีก 2-3 วัน เขาสามารถติดต่อเธอเมื่อไรก็ได้ ชูอี้เสิ่นมองไปที่ชายสองคนที่จ้องมาที่เขาอย่างสงสัย หลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่นานเขาก็ต้องยอมแพ้

ถ้าเป็นชางกวนโม่ ก็เดาได้เลยว่าจะต้องมีปัญหาแน่ๆ ชางกวนโม่ไม่ใช่คนดีที่จะเข้าไปยุ่งด้วยได้ ชูอี้เสิ่นกลับไปพร้อมกับสีหน้าที่คิดหนัก

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็กลับไปซื้อเสื้อผ้า, ของใช้ที่จำเป็นและซื้อผักด้วย เธอไม่ลืมว่าชางกวนโม่อาจจะอยากกินอาหารที่เธอทำ หลังจากกลับมาที่วิลล่า มู่หรงเสวี่ยก็เห็น ชางกวนโม่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น

“พี่ชางกวน ทำงานเสร็จแล้วเหรอคะ?”

ชางกวนโม่มองมาที่มู่หรงเสวี่ยพร้อมทั้งกระโดดเข้าใส่ “วันนี้เธอไปทำอะไรมา?”

“เปล่านี่ค่ะ ก็แค่ไปช้อปปิ้ง!” มู่หรงเสวี่ยยกถุงที่ไปช้อปปิ้งขึ้นมา

“แล้วหน้าไปโดนอะไรมา?” ทันใดนั้นชางกวนโม่ก็เห็นรอยข่วนที่หน้าเธอ มู่หรงเสวี่ยจับไปที่หน้าและมันรู้สึกแสบนิดหน่อย เธอพูดไม่ออก ตอนที่เธอมีเรื่องก่อนหน้านี้ เล็บของอีกฝ่ายข่วนไปทั่วหน้าเธอไปหมด โชคดีที่เธอกันไว้แต่ก็ยังมีที่โดยมาบ้าง

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันแค่ไปเจอหมาบ้ามา” ไม่จำเป็นที่จะต้องคุยกับชางกวนโม่ถึงเรื่องนี้

หมาบ้างั้นเหรอ?! บอดี้การ์ดทำอะไรกันอยู่!? พวกนั้นมีหน้าที่ปกป้องเธอไม่ใช่เหรอ?!! แสงแห่งความเยือกเย็นแวบขึ้นมาในสายตาของชางกวนโม่ เขาจะต้องถามสองคนนั้นว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น

——————————————