แดนนิรมิตเทพ บทที่ 610
เฉินโม่ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยสีหน้ากังวล “พลังของรากทิพย์พรสวรรค์แข็งแกร่งมากจริง ๆ เกือบจะควบคุมไม่ได้ แล้วมันก็จะเข้าสู่ชั้นหกแดนรวมพลังโดยตรง แต่โชคดีที่ผมสามารถควบคุมได้ตอนวินาทีสุดท้าย”
ชาติก่อน เฉินโม่เสียเปรียบเพราะฝึกพลังบำเพ็ญรวดเร็วเกินไป เวลาต่อมาตอนที่เขาฝึก เขารู้สึกว่ารากฐานของตนเองไม่มั่นคง
คราวนี้ เฉินโม่ตัดสินใจฝึกอย่างมั่นคง พยายามขัดเกลาทุกแดนให้สมบูรณ์แบบไปทีละขั้น และหวังว่าจะสามารถก้าวไปบนเส้นทางบำเพ็ญเซียนได้ไกลมากขึ้น
“คุณครูหวางยังไม่โทรมา ผลสอบเอ็นทรานซ์น่าจะยังไม่ออก ผมสัญญากับเจียงเหอซานว่าหลังจากจัดการเรื่องของที่นี่เสร็จแล้ว จะไปทำงานที่หน่วยรบพิเศษเทพอินทรี และขั้นแรกต้องหลอมกระบี่ที่เคยสัญญากับเอียนชิงเฉิงให้เสร็จก่อน”
เฉินโม่หยิบกระดูกเซียนชั้นมนุษย์ครึ่งท่อนออกมา ตอนเขาหลอมคราวที่แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ที่ชั้นสี่แดนรวมพลังเท่านั้น ถ้าต้องการหลอดกระดูกเซียนชั้นมนุษย์มันเป็นเรื่องที่ยากมาก
คราวนี้ พลังบำเพ็ญของเฉินโม่อยู่ที่ชั้นห้าแดนรวมพลังแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจควบคุม เกรงว่าเขาคงจะทะลวงไปถึงชั้นหกแดนรวมพลังแล้ว
โลกบำเพ็ญเซียน ทุกครั้งที่ขึ้นไปอีกระดับ ความแข็งแกร่งก็จะก้าวกระโดด
ตอนนี้ เฉินโม่รู้สึกว่าเขาน่าจะสามารถหลอมกระดูกเซียนชั้นมนุษย์ได้แล้ว
เขาเคลื่อนจิต กระดูกเซียนชั้นมนุษย์สีขาวก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินโม่ และลอยอยู่กลางอากาศ
สีหน้าของเฉินโม่จริงจัง มือทั้งคู่ดึงผนึกที่ซับซ้อนออกมา ใช้เวลาสิบนาทีถึงจะเสร็จสิ้น
“ผมจะใช้ค่ายกลเพลิงอุดรหลอมมัน และคราวนี้จะต้องสำเร็จ”
ไฟสีขาวห่อหุ้มกระดูกเซียนชั้นมนุษย์ครึ่งท่อนอย่างน่าประหลาด และเผาไหม้อย่างนุ่มนวล
มองแล้วเปลวเพลิงนั้นประหลาดมาก ดูเหมือนมันจะไม่มีอันตรายใด ๆ แต่อากาศโดยรอบมีรอยพับที่รุนแรง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเปลวไฟนั้นร้อนกว่าไฟธรรมดามาก
ตั้งแต่ตอนเย็นถึงตอนดึก จนถึงรุ่งเช้า เฉินโม่ยังคงหลอมอย่างต่อเนื่อง หากไม่ใช่เพราะพลังบำเพ็ญของเขาก้าวหน้าไปอีกระดับแล้ว เขาอาจจะไม่สามารถยืนหยัดไป
ถึงเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ในที่สุดกระดูกเซียนชั้นมนุษย์ก็ถูกหลอมละลาย สีหน้าของเฉินโม่ซีดเล็กน้อย มีเหงื่อเม็ดเล็กอยู่บนหน้าผาก เห็นได้ชัดว่าเขาใช้พลังไปมาก
แต่เฉินโม่ยังคงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เขานำวัสดุหายากออกมาจากแหวนเก็บของหลายชนิด แล้วเติมลงในของเหลวสีเงิน ที่เกิดจากการหลอมกระดูกเซียนชั้นมนุษย์
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง กระบี่ยาวที่บางราวกับปีกจักจั่นก็ก่อตัวขึ้น
“เอียนชิงเฉิง หยดเลือดของเธอลงตรงนี้!” เฉินโม่ตะโกนจากระยะไกล ร่างกายของเขาสั่นไม่หยุด
เอียนชิงเฉิงกับซังซังรีบออกไปจากห้องที่อยู่ชั้นล่าง มองกระบี่ทรงพลังที่อยู่ตรงหน้าเฉินโม่ มีความปีติยินดีปรากฏอยู่ในดวงตาของเอียนชิงเฉิง
เอียนชิงเฉิงกรีดข้อมือตนเองทันที แล้วเลือดสีแดงก็พุ่งไปที่กระบี่เล่มนั้น
อิ๊ก!
กระบี่ส่งเสียงร้องที่คมชัดของหงส์ฟ้า แล้วภาพลวงตาหงส์ฟ้าที่สยายปีกก็ผสานเข้ากับกระบี่ จากนั้นกระบี่ก็กลายเป็นรูปร่างทันที
เฉินโม่ถือกระบี่ยาวสีแดงที่บางราวกับปีกจักจั่นอยู่ในมือ
เมื่อมองกระบี่ที่อยู่ตรงหน้า เฉินโม่รู้สึกโล่งอกและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสร้างอาวุธบนโลกมนุษย์ แล้วสามารถบรรลุอาวุธระดับกลางได้ เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลว!”
“เนื่องจากเจ้าได้รับเลือดจากสายเลือดหงส์ฟ้า แล้วตอนที่กระบี่แล้วเสร็จก็ปรากฏเสียงหงส์ร้องด้วย เช่นนั้นเรียกเจ้าว่ากระบี่หงส์ร้องเถอะ!”
หลังจากเฉินโม่กล่าวจบ เขาสะบัดมือ แล้วโยนกระบี่หงส์ร้องไปให้เอียนชิงเฉิงที่อยู่ชั้นล่าง
“กระบี่เล่มนี้เพียงพอสำหรับเธอใช้ไปสักพักหนึ่ง นำไปลองพลังของมันเถอะ!”
เอียนชิงเฉิงรับกระบี่มาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสุข เธอสัมผัสกระบี่เบา ๆ มีความรู้สึกผูกพันทางสายเลือด ราวกับว่ากระบี่เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
“กระบี่หงส์ร้อง!” เอียนชิงเฉิงกล่าวพึมพำกับตัวเองอย่างมีความสุข
“หงส์รำลอยฟ้า!”
เมื่อเอียนชิงเฉิงเห็นสิ่งที่ตนเองชอบ ก็อดใจไม่ไหวอยากจะลอง เธอใช้เพลงกระบี่หงส์ฟ้า กลายร่างเป็นหงส์เพลิง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า