ภาคที่ 4 ตอนที่ 90 ใครคือคนในอดีต

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงตวาดของฮ่องเต้ถูกม่านมุ้งบดบังจนกลายเป็นคลุมเครือในห้องบรรทมที่แสงสว่างความมืดสอดประสาน ประหนึ่งสัตว์ร้ายคำรามต่ำ ทำให้คนใจระทึก

 

 

ขันทีหยวนก้มตัวลงกับพื้น

 

 

“บ่าวไร้ความสามารถ บ่าวสมควรตาย” เขาเอ่ยรัว

 

 

ฮ่องเต้ลุกขึ้นก้าวพระบาท แขนเสื้อกว้างสะบัดไหว

 

 

“ข้าก็หาใช่ไร้หัวใจ เกียรติยศความมั่งคั่งพวกเขาตระกูลฟางก็ได้เสพแล้ว สามรุ่นยังไม่พออีกรึ? คนไม่อาจละโมบปานนี้ได้กระมัง” พระองค์ตรัส

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตรัสถูกต้อง” ขันทีหยวนเอ่ยตอบเสียงระรัว

 

 

“ข้ารู้ว่าหลายปีปานนี้ตระกูลฟางซื่อตรงรู้หน้าที่ ดังนั้นจึงสั่งเจ้าช่วยเหลือให้มาก ข้าไม่สนใจไถ่ถาม” ฮ่องเต้ตรัส “หรือนี่ยังไม่พอรึ?”

 

 

“พอพ่ะย่ะค่ะ พอพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหยวนเอ่ยอย่างตั้งใจอีกครั้ง “ฝ่าบาทพยายามเมตตาเป็นธรรมที่สุดแล้ว”

 

 

เดินกลับไปมาหลายหนรวมกับคำพูดพรวนหนึ่ง อารมณ์หงุดหงิดของฮ่องเต้ถึงสลายหายไปมาก พระองค์สะบัดแขนเสื้อประทับนั่งลงใหม่อีกครั้ง แสงอรุณขมุกขมัวลอดผ่านม่านส่องเข้ามาในห้อง

 

 

“ตระกูลฟางทำกิจการได้ไม่เลว หลายปีนี้ไม่มีช่องโหว่” พระองค์เอ่ยถามเสียงเข้ม

 

 

“เพียงแต่ฝ่าบาทอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อค้า” ขันทีหยวนเอ่ยรับ

 

 

ใช่แล้ว ในตอนนี้พระองค์ไม่ต้องการเงินเหล่านั้นแล้ว

 

 

ที่สำคัญที่สุดคือพระองค์ไม่อาจให้ใครรู้กิจการที่เคยทำในอดีตได้

 

 

“ขอเพียงพวกเขาทำตัวเป็นพ่อค้าดีๆ ข้าย่อมสัญญาว่าจะปกป้องให้ยามเป็นพวกเขามั่งคั่งรุ่งเรืองไร้กังวล” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

“บ่าวทำตามที่ฝ่าบาทสั่งเสมอ ไม่เคยทำร้ายกิจการของตระกูลฟางรวมถึงสตรีทั้งหลาย” ขันทีหยวนรีบค้อมกายเอ่ย

 

 

พวกเขาเพียงต้องการให้ตระกูลฟางไร้ทายาทสิ้นตระกูลเท่านั้น

 

 

น่าเสียดายแต่หมากขาดไปหนึ่งตา

 

 

“ล้วนเป็นบ่าวเลือกคนไม่ดี เผยพิรุธ” ขันทีหยวนค้อมกายโขกศีรษะอย่างหวาดกลัว “หวิดนำภัยใหญ่หลวงมา”

 

 

ฮ่องเต้ฉายแววโกรธนิดหนึ่ง แต่จากนั้นก็กลบเกลื่อนไป มองขันทีหยวนแล้วผุดรอยยิ้ม

 

 

“นี่จะโทษเจ้าได้อย่างไรเล่า” พระองค์เอ่ย ยื่นมือทำท่าให้ลุกขึ้น “คงเป็นฟ้าประสงค์ให้เป็นเช่นนี้กระมัง”

 

 

ขันทีหยวนขอบพระทัยซ้ำๆ

 

 

“เพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น บ่าวจะหาโอกาสจัดการต่อไป” เขาเอ่ย “ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”

 

 

“เหล่าหยวนอา ข้าย่อมวางใจเจ้าแน่นอน” ฮ่องเต้ท่าทางทอดถอดใจอยู่บ้าง “เจ้าถึงเป็นสหายเก่าที่พึ่งพาได้ของข้าอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าก็คงมอบให้ลู่อวิ๋นฉีทำไปแล้ว”

 

 

องครักษ์เสื้อแพรของลู่อวิ๋นฉีไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆ ขันทีหยวนรู้แต่ได้ยินอีกครั้งก็ฮึกเหิมไม่คลาย

 

 

“บ่าวจะไม่ทรยศความไว้วางพระทัยของฝ่าบาท” เขาโขกศีรษะเอ่ย

 

 

“จัดการเรื่องนี้เสร็จ เจ้าก็กลับมา” ฮ่องเต้นั่งเอนพิงหมอนอิง สีพระพักตร์เคร่งขรึมกังวลอยู่บ้าง “ตั้งแต่หลังจิ่วหลิงตาย ข้าก็ยิ่งเข้าใจความคิดของลู่อวิ๋นฉียากขึ้นทุกที จึงอยากให้เจ้ากลับมาช่วยข้า ถึงเวลาให้ตำแหน่งขันทีพิธีการแก่เจ้าตำแหน่งหนึ่ง เรื่องอื่นไม่ต้องยุ่ง แค่ทำเรื่องเหล่านั้นที่องครักษ์เสื้อแพรทำ จะได้สะดวกสอดส่องดูแลพวกเขา”

 

 

ขันทีหยวนดีใจยิ่ง

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาโขกศีรษะเอ่ย เงยหน้าขึ้นยิ้มสอพลอ คุกเข่าเดินเข้ามาใกล้ ทุบขาให้ฮ่องเต้เบาๆ “โรคปวดพระเพลาดีขึ้นบ้างไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

“ดีอะไรเล่า ที่นี่แม้อุ่นกว่าซานตง แต่ก็หนาวเย็น” ฮ่องเต้ปล่อยให้เขาปรนนิบัติ พระหัตถ์บีบนวดพระนลาฏพลางเอ่ย แล้วก็สรวลอีกหน “แต่ยาทาที่เจ้าส่งกลับมาใช้ดียิ่ง หลายปีนี้เจ้าก็ยังคิดถึงโรคเก่านี่ของข้าสินะ”

 

 

ขันทีหยวนสองตาหลั่งน้ำตา

 

 

“ตั้งแต่เล็กบ่าวก็ติดตามฝ่าบาท ในหัวใจดวงนี้นอกจากฝ่าบาทก็ไม่มีผู้อื่นแล้ว” เขาสะอื้นเอ่ย “บ่าวทราบว่าฝ่าบาทลำบาก คนนอกเหล่านั้นจะใช้สะดวกเท่าพวกเราคนเหล่านี้ได้อย่างไร”

 

 

ฮ่องเต้อมยิ้มผงกพระเศียร

 

 

“เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ พักสักครู่หนึ่งก็ต้องไปอีกแล้ว” พระองค์ตรัส

 

 

ขันทีหยวนค้อมกายโขกศีรษะขานรับ ก้มศีรษะถอยออกไป

 

 

ในห้องยิ่งสว่างขึ้น หลับไม่ลงแล้ว ฮ่องเต้จึงยื่นพระหัตถ์พลิกอ่านฎีกาเล่มหนึ่งของหวงเฉิงบนโต๊ะ แล้วดึงออกมาเปิดอ่าน เมื่อพระเนตรทอดเห็นคำว่าเต๋อเซิ่งชางสามคำ ฉับพลันพระวรกายก็ลุกนั่งตัวตรง ยิ่งทอดเนตรสีพระพักตร์ก็ยิ่งไม่น่าดู เสียงป้าบดังขึ้นทีหนึ่งโยนฎีกาลงบนโต๊ะ

 

 

“ใครมานี่ซิ” พระองค์ตวาด

 

 

ขันทีด้านนอกแห่เข้ามาพร้อมเพรียงง เลิกม่านพลางคำนับฮ่องเต้ที่สีพระพักตร์ไม่เป็นมิตร

 

 

“เรียกใต้เท้าหวง…” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

ขันทีรีบขานรับหมุนกายปุบก็ไป เดินได้ไม่ทันสองก้าวก็ถูกฮ่องเต้เรียกไว้อีก

 

 

“ไม่ ให้ลู่อวิ๋นฉีมาดีกว่า” พระองค์ตรัส

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

หยวนเป่าก้าวเท้าเดินอ้อยอิ่งอยู่ในพระราชวัง ออกจากหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เขาก็ไม่มีท่าทางเจียมตัวสักนิดอีก บางคราเห็นขันทีใหญ่ชุดแดงท่าทางยโสเดินผ่านมา บนหน้าเขายังผุดความดูแคลนอยู่หลายส่วน

 

 

ครานั้นที่ฉีอ๋องขึ้นครองราชย์ไม่ได้พาคนเก่าคนแก่จากตำหนักเดิมมาเมืองหลวง ข้าราชบริพารในพระราชวังล้วนไม่แตะ เพื่อแสดงความเคารพต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน

 

 

เขามาที่นี่น้อยครั้งนัก นานครั้งมาทีหนึ่งก็จะถูกเหล่าขันทีใหญ่เหล่านั้นมองเหยียดดูแคลน ในสายตาพวกเขาตนขันทีจากตำหนักเดิมคนนี้ก็เหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่ถูกทิ้งแล้วสินะ

 

 

บนหน้าหยวนเป่าผุดรอยยิ้มหยันนิดๆ

 

 

ตัวไร้ประโยชน์เหล่านี้ไม่รู้สึกนิดว่าสำหรับฮ่องเต้แล้วเขาสำคัญมากเพียงไร แล้วเขาทำงานมากน้อยเท่าไร คอยดูเถอะไม่นานเขาก็จะกลับมา รอเขากลับมา จะให้พวกเขารู้ว่าใครถึงเป็นคนโปรดอันดับหนึ่งหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้

 

 

ด้านหน้ามีเสียงฝีเท้าเร่งรีบ รวมถึงเสียงทักทายสับสนวุ่นวายดังขึ้น

 

 

หยวนเป่าเงยหน้ามองไป เห็นขันทีน้อยใหญ่ตรงทางเบื้องหน้าพากันหลีกถอย มีบุรุษชุดแดงสูงผอมคนหนึ่งเดินเชื่องช้าหันหลังให้แสงอรุณมา

 

 

แม้เห็นใบหน้าไม่ชัด แต่อายุน้อยๆ ก็สวมเครื่องแบบสีแดงได้ แล้วยังทำให้ขันทีทั้งหลายนอบน้อมหวาดกลัวได้อีก หยวนเป่ารู้ทันทีว่าคนที่มาก็คือลู่อวิ๋นฉี

 

 

หยวนเป่าลังเลครู่หนึ่ง หยุดเท้าอยู่ข้างทางหลีกหลบเหมือนคนอื่นๆเช่นนั้น แต่สายตากลับอดไม่ได้ลอบประเมิน

 

 

ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอายุน้อยหน้าตางามจริงๆ แต่ดวงหน้างามนี้ก็ทำให้คนที่เห็นมันหวาดกลัว เพียงแววตาก็เย็นเยียบเพราะเหมือนอสรพิษ

 

 

เขาเดินตรงแน่วดวงตาไม่เหล่มอง คล้ายมองทุกสิ่งเป็นอากาศธาตุ

 

 

หยวนเป่ายืดตัวตรง มองเงาร่างที่เดินผ่านไปแล้วเบะปาก

 

 

ได้ใจอะไร ก็แค่ชีวิตไร้ค่าชีวิตหนึ่ง อาศัยโชคดีถึงมีวันนี้

 

 

หยวนเป่าเดินออกจากประตูวังก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว บนริมฝีปากมีหนวดเขี้ยวสองเส้น สวมเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดา ใส่หมวกคล้ายกับผู้ติดตามหรือบ่าวคนสนิทลูกน้องของขุนนางสักคนที่เห็นบ่อยๆ ขี่ม้ากุบกับออกจากถนนเสด็จพระราชดำเนิน เลี้ยวเข้าไปในตลาดอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

 

แม้ฟ้าเพิ่งสว่าง แต่ในตลาดคนไม่น้อยเดินขวักไขว่แล้ว ร้านรวงก็ล้วนรีบเอาบานประตูออกเตรียมเปิดร้านด้วย

 

 

เขาเดินซ้ายเตร่ขวา หยุดอยู่หน้าประตูร้านแลกเงินของเต๋อเซิ่งชาง

 

 

ร้านแลกเงินเพิ่งเปิดประตูได้ครึ่งเดียว แต่เมื่อหยวนเป่าเดินเข้าไปก็ยังมีพนักงานเข้ามาต้อนรับอย่างทันท่วงที

 

 

“แลกเงินหน่อย” หยวนเป่าเอ่ยพลางเอาตั๋วเงินใบหนึ่งออกมา ใช้สำเนียงซานตงจัดเอ่ย ท่าทางประหม่าอย่างคนต่างถิ่นรวมถึงความมั่นใจแบบเสแสร้ง

 

 

ท่าทางของคนต่างถิ่นเช่นนี้มักจะถูกคนพื้นที่ของเมืองหลวงเยาะหยัน

 

 

หยวนเป่าเห็นพนักงานคนนั้นมองเขาอย่างดูแคลนจริงๆ

 

 

“ขอรับ ท่านลูกค้าเชิญนั่งรอสักครู่” พนักงานคนนั้นเอ่ยรับตั๋วเงินเข้าไปหลังโต๊ะกั้น

 

 

ทะลุผ่านโต๊ะกั้นสูงที่วางอยู่ หยวนเป่ามองเห็นพนักงานคนนั้นคุยอะไรกับพนักงานอีกคนสักประโยค พนักงานคนนั้นก็เงยหน้ามองมาทางเขาด้านนี้ทีหนึ่ง

 

 

แม้ทั้งสองคนพูดคุยกันเสียงเบา แต่ไม่มีเสียงหัวเราะสนุกสนาน

 

 

เต๋อเซิ่งชางดีเลวก็ทำการค้า หากมารยาทเท่านี้พนักงานทั้งหลายยังไม่มี คงปิดกิจการไปนานแล้ว

 

 

หยวนเป่าไม่เห็นเป็นสาระยกขาไขว่ห้าง ยกน้ำชาที่ยกมาบนโต๊ะดื่มอย่างอ้อยอิ่ง

 

 

พนักงานคนนั้นยกหีบน้อยหนักอึ้งใบหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็วยิ่ง

 

 

“ท่านลูกค้า เชิญท่านตรวจนับ ต้องการให้พวกเราไปส่งท่านที่บ้านหรือไม่?” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

หยวนเป่าลุกขึ้นยืน

 

 

“ไม่ต้อง” เขาตอบ รับหีบแล้วเดินออกไปข้างนอก

 

 

พนักงานทั้งหลายเพียงคำนับอยู่ในห้องไม่ได้แสดงความเคารพมาส่งนอกประตู เลี่ยงไม่ให้ลูกค้าไม่สบายใจ

 

 

รอหยวนเป่าจากไปแล้ว พนักงานคนนั้นถึงลุกขึ้น ไม่ได้ต้อนรับลูกค้าคนต่อไปอีก แต่หมุนกายก้าวไวๆ เข้าไปด้านใน ทะลุทางเดินหลายเส้นมาถึงเรือนด้านหลัง

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกำลังเฝ้าเตาดื่มชาอยู่

 

 

“ผู้ดูแลใหญ่” พนักงานก้าวเข้าไปเอ่ยเสียงเบา “คนในภาพวาดปรากฏตัวแล้วขอรับ”

 

 

…………………………