ภาคที่ 4 ตอนที่ 91 ดำริของฮ่องเต้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คนในภาพวาด?

 

 

ได้ยินประโยคนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพริบตาพลันลุกขึ้นยืน ลืมถ้วยชาในมือ ชาสาดทั้งร่าง

 

 

เขาไม่ทันสนใจเช็ดน้ำชาบนร่าง

 

 

“ภาพวาดรูปนั้นที่คุณหนูจวินมอบให้หรือ?” เขาถามยืนยัน

 

 

พนักงานพยักหน้า

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหมุนตัวหยิบเอาสมุดบัญชีเล่มหนึ่งลงมาจากชั้นวางด้านข้าง ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากตรงกลาง กระดาษแผ่นนั้นขนาดเพียงฝ่ามือ ด้านบนวาดภาพคนสองคนเอาไว้

 

 

คนหนึ่งผิวขาวเกลี้ยงเกลา เป็นสภาพของหยวนเป่ายามอยู่ในพระราชวังเมื่อครู่

 

 

คนหนึ่งมีหนวดเขี้ยวสองเส้น ก็คือสภาพของหยวนเป่าที่เดินเข้ามาเมื่อครู่

 

 

หลังคุณหนูจวินออกจากเมืองหลวงก็ส่งภาพนี้ไปถึงสาขาทั้งหมดของเต๋อเซิ่งชาง พนักงานที่เลือกออกมาต้อนรับลูกค้าล้วนจดจำคนบนนั้นได้ขึ้นใจ เมื่อพบปุบก็แจ้งทันท่วงที

 

 

“คนนี้แหละขอรับ” พนักงานชี้ภาพที่มีหนวดเคราน้อยๆ ภาพนี้ “เพิ่งแลกเงินเดินออกไป สำเนียงซานตง ดูแล้วเป็นคนต่างถิ่น แต่ไม่ใช่ไม่คุ้นกับเมืองหลวง เสแสร้งขึ้นมา”

 

 

พนักงานต้อนรับลูกค้าในเต๋อเซิ่งชางไม่ใช่เด็กฝึกงานที่เพิ่งเข้าทำงาน อย่างไรก็เป็นเด็กฝึกงานที่ผ่านการฝึกฝนอย่างน้อยที่สุดสามปีถึงทำงานนี้ได้ เทียบกับพนักงานประจำโต๊ะยังเคร่งครัดยิ่งกว่า

 

 

พวกเขาฝึกฝนการสังเกตถ้อยคำสีหน้ารวมถึงการรับมือลูกค้าแบบต่างๆ สำเร็จแล้ว

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพยักหน้า เก็บภาพวาดไป

 

 

“เจ้าไปพบคุณหนูจวินกับข้า” เขาเอ่ย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ส่วนในพระราชวังเวลานี้ ฮ่องเต้กำลังพลิกอ่านฎีกาฉบับหนึ่งพลางมองลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ตรงหน้า

 

 

ม่านในห้องเลิกเปิดแล้ว หน้าต่างเปิดกว้าง ยามเช้าคิมหันต์ฤดูยังมีลมเย็นพัดวนเวียนข้างในอยู่บ้าง

 

 

“ใต้เท้าหวงบอกว่าผู้อพยพเหล่านี้ล้วนได้เต๋อเซิ่งชางออกทุนช่วยให้มารึ? ไม่ใช่แผนการของเฉิงกั๋วกง” ฮ่องเต้ตรัสเชื่องช้า “เป็นจริงเช่นนี้ไหม?”

 

 

จากความแค้นที่สั่งสมระหว่างหวงเฉิงกับเฉิงกั๋วกง เรื่องที่หวงเฉิงถวายฎีกา ฮ่องเต้หาเชื่อไม่ เพียงเวลาที่พระองค์ต้องการถึงนำมาใช้

 

 

เช่นตอนนี้พระองค์ไม่อยากลงมือกับเฉิงกั๋วกง บรรดาขุนนางใหญ่เป็นดาบของพระองค์ได้ พระองค์ไม่อยากถูกขุนนางใหญ่ใช้เป็นดาบ

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองฎีกาในพระหัตถ์ฮ่องเต้

 

 

คิดถึงรถม้าที่ถูกยืมไป

 

 

รถม้าเขาอนุญาตให้หวงเฉิงใช้ ส่วนให้ยืมหรือไม่ไม่ได้พูดชัด

 

 

ให้ยืมหรือไม่ให้ยืม?

 

 

ฮ่องเต้ก็มองเขาเช่นกัน

 

 

“หืม?” เขาขมวดขนงน้อยๆ “ใช่หรือไม่?”

 

 

“กระหม่อมไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร” ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าทูล

 

 

“มีสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น” ฮ่องเต้โยนฎีกาลงบนโต๊ะ ท่าทางไม่พอพระทัยตรัส “เจ้ามีสิ่งใดไม่อาจพูดด้วยรึ? หรือเจ้าไม่อยากพูด?”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีคุกเข่าก้มศีรษะ

 

 

“ผู้อพยพเป็นเต๋อเซิ่งชางรับผิดชอบส่งมาถึงเมืองหลวงจริง” เขาเอ่ย “แต่ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่แผนการของเฉิงกั๋วกง”

 

 

ฮ่องเต้ร้องหืม

 

 

“ทำไมพูดเช่นนี้?” พระองค์ตรัส

 

 

ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้าขึ้น

 

 

“คุณหนูจวินตอนนี้เป็นลูกสะใภ้ที่ยังไม่แต่งเข้าตระกูลของเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย

 

 

ฮ่องเต้ร้องอ้อ เคาะโต๊ะนิดๆ

 

 

“หรือก็คือจะบอกว่าเฉิงกั๋วกงให้เต๋อเซิ่งชางทำเช่นนี้รึ?” พระองค์ตรัส “เพราะพวกเขาตอนนี้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหลุบตาไม่เอ่ยวาจา

 

 

เขาเพียงถวายข้อมูลที่ฮ่องเต้ทรงประสงค์ ไม่หาข้อสรุปแทนฮ่องเต้ ยิ่งไม่ออกความเห็น

 

 

ฮ่องเต้มองฎีกาสีพระพักตร์ค่อยๆ มืดครึ้ม

 

 

“ครอบครัวเดียวกัน” พระองค์ตรัสซ้ำ “เต๋อเซิ่งชางกับเฉิงกั๋วกงจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”

 

 

พระองค์ลูบผิวโต๊ะ

 

 

“ครานั้นก็เป็นคุณหนูจวินคนนี้รักษาโรคของนายน้อยตระกูลฟางหายดีรึ?” พระองค์พลันตรัสถามอีกหน

 

 

เรื่องนี้ยาวยิ่งนัก ในเมืองเล่าลือกันกว้างขวางยิ่ง หากเล่าอีกรอบ เรียกได้ว่ายาวนานมาก เรียกได้ว่าซับซ้อนมาก แล้วก็มีคำอธิบายมากมายเช่นกัน

 

 

ลู่อวิ๋นฉีหลุบตาลง

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” เขาทูลตอบ

 

 

ฮ่องเต้ทรงพระสรวลแล้ว

 

 

“ช่างเป็นครอบครัวเดียวกันที่รู้จักสำนึกบุญคุณตอบแทนจริงนะ” พระองค์ตรัสขึ้น “ถ้าเช่นนั้นกับผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเช่นนี้คงต้องตอบแทนดั่งตาน้ำผุดแล้วสิ”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยอีกหน “บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยที่แดนเหนือ สร้างชุดเกราะยุทโธปกรณ์ล้วนเป็นเงินที่เต๋อเซิ่งชางออก จนคลังเงินของเต๋อเซิ่งชางสิบเจ็ดสาขาที่แดนเหนือว่างเปล่าสิ้นเพื่อการนี้”

 

 

ฮ่องเต้คว้าฎีกาขว้างลงบนร่างลู่อวิ๋นฉี

 

 

“เรื่องเหล่านี้ทำไมไม่รายงาน!” พระองค์คำราม

 

 

ฮ่องเต้ไม่เคยกริ้วลู่อวิ๋นฉีมากเช่นนี้ ขันทีที่ยืนอยู่นอกประตูตำหนักตกใจสะดุ้งโหยง รีบถอยหลังห่างจากประตูตำหนักอีก

 

 

ลู่อวิ๋นฉีก้มศีรษะนิ่งไม่ขยับ

 

 

“ฝ่าบาทมีบัญชาไม่ให้ยุ่งเรื่องของเต๋อเซิ่งชาง กระหม่อมไม่กล้าขวางและไม่กล้ายุ่งวุ่นวายมาก” เขาเอ่ย

 

 

นี่กลับเป็นเรื่องจริง

 

 

ฮ่องเต้ที่คว้าฎีกาอีกเล่มหนึ่งกำลังจะขว้างหยุด นอกจากนี้เต๋อเซิ่งชางยังมีราชโองการของอดีตฮ่องเต้

 

 

แต่ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้บอกว่าเพราะราชโองการของอดีตฮ่องเต้จึงไม่กล้ายุ่ง

 

 

เขาไม่ยุ่งเพียงเพราะตนเคยเอ่ยว่าไม่อนุญาตให้ยุ่ง

 

 

ไม่ว่าพูดอย่างไร อย่างน้อยก่อนหน้านี้ไม่มีใครควรค่าเชื่อใจได้ยิ่งกว่าลู่อวิ๋นฉี

 

 

ฮ่องเต้ทรงโยนฎีกาลงบนโต๊ะ

 

 

“เจ้าพูดถูก เรื่องเต๋อเซิ่งชางเจ้าไม่ต้องยุ่ง” พระองค์ตรัส “เรื่องเต๋อเซิ่งชางก็ไม่มีสิ่งใดยุ่งได้ ต้นเหตุของทุกสิ่งล้วนเพราะเรื่องสงครามที่แดนเหนือของเฉิงกั๋วกง”

 

 

พระองค์สะบัดหัตถ์

 

 

“เจ้าไปดูเฉิงกั๋วกงให้ดี”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีตอบรับ คำนับถอยออกไปแล้ว

 

 

เห็นลู่อวิ๋นฉีออกมา พวกหัวหน้ากองพันเจียงที่รออยู่นอกประตูพระราชวังก็รีบเข้ามารับ

 

 

“ใต้เท้า ไม่เป็นไรนะขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงเบา

 

 

เสียงคำรามทีนั้นเมื่อครู่ เลื่องลือมาถึงนอกวังแล้ว พวกเขาล้วนรู้

 

 

“ไม่ได้ทรงพิโรธข้า” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

 

 

พวกหัวหน้ากองพันเจียงโล่งอก

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเป็น?” เขาเอ่ยถาม

 

 

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ตรงหน้าอาชา พลิกกายขึ้นม้า

 

 

“เฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย “รวบรวมกำลังคน จับตาเฉิงกั๋วกง”

 

 

หัวหน้ากองพันเจียงฉับพลันยิ้ม

 

 

“นี่เป็นเรื่องดีนะขอรับ” เขาเอ่ย ยกมือกวักเรียกผู้คน “ขึ้นม้า ทำงาน”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองไปด้านหน้า สีหน้าเฉยชา มองความยินดีโกรธเกรี้ยวไม่ออก

 

 

ส่วนเวลานี้ฮ่องเต้ที่นั่งเดียวดายอยู่ในห้องบรรทม บนพระพักตร์รอยยิ้มสักนิดก็ไม่มีแล้ว พระองค์หน้าบึ้งตึงนั่งอยู่หน้าโต๊ะทรงงาน สีพระพักตร์ฉับพลันเปลี่ยนเป็นดุร้าย ยกพระหัตถ์กวาดฎีกาบนโต๊ะทรงงานทั้งหมดร่วงเกรียวกราวลงบนพื้น

 

 

“เจตนาสวรรค์อันใด ที่แท้เป็นคนกระทำ” พระองค์คำรามเสียงเบา

 

 

พวกเขาเดิมสมควรตาย กลับถูกคนแซ่จวินคนนี้ทำเสียเรื่อง!

 

 

แล้วก็เป็นเพราะคนแซ่จวินคนนี้ เฉิงกั๋วกงที่เดิมสมควรตายก็ถูกทำเสียเรื่องเช่นกัน!

 

 

แล้วยังได้รับคุณงามความชอบยิ่งใหญ่เช่นนี้!

 

 

เอาเงินของพระองค์ ได้คุณงามความชอบยิ่งใหญ่เช่นนี้!

 

 

นี่เดิมก็คือคุณงามความชอบของพระองค์!

 

 

เต๋อเซิ่งชาง พวกเจ้าถึงกับกล้าเอาเงินของข้าไปแย่งคุณงามความชอบของข้า!

 

 

พวกเจ้าพ่อค้าเหล่านี้ ลืมหน้าที่เสียแล้ว!

 

 

พวกเจ้าไร้คุณธรรม ก็อย่าโทษข้าไร้เมตตา!

 

 

“ใครมานี่ซิ” พระองค์ตวาด “เรียกหยวนกงกงมา”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

หยวนกงกง

 

 

มือของคุณหนูจวินลูบภาพวาดที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่งมาให้

 

 

เป็นหยวนเป่าจริงๆ ปรากฏตัวที่เมืองหลวงจริงๆ

 

 

“ไม่ทราบว่ามาจากที่ไหนแล้วจะไปที่ไหน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “แต่ขอแค่เขาเอาเงินของพวกเราไปใช้จ่ายพวกเราย่อมได้ร่องรอย”

 

 

ร้านแลกเงินทุกแห่งล้วนมีสัญลักษณ์แม่พิมพ์เงินของตนเอง หากพวกเขายินดี สืบร่องรอยตามหาคนผู้หนึ่งง่ายดายยิ่งนัก

 

 

เขาไม่เพิ่งออกมาจากในพระราชวังก็คือกำลังจะเข้าไปในพระราชวัง สรุปคือเขาต้องไม่ใช่เพียงข้ารับใช้เก่าตำหนักเดิมของฮ่องเต้แน่นอน

 

 

เรื่องที่เต๋อเซิ่งชางทำที่แดนเหนือ หากเป็นร้านแลกเงินอื่นทำก็ช่างเถิด คงเพียงถูกคิดว่าได้รับข้อเสนอจากเฉิงกั๋วกง แล้วยังได้ชื่อเสียงดีงามว่าเป็นผู้มีคุณธรรมช่วยส่วนร่วมทำเพื่อชาติเพื่อประชาแบ่งเบาภาระของเจ้าเหนือหัว

 

 

แต่ในมุมมองที่เต๋อเซิ่งชางกับราชวงศ์มีความลับที่ผู้คนไม่รู้ ในพระทัยฮ่องเต้คงรู้สึกท่าไม่ดีแล้ว

 

 

“ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เฉิงอวี่ ท่านให้คนส่งกลับไปทันที” คุณหนูจวินเอ่ยบอก

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขานรับ

 

 

………………………