เหย่จือโปที่แทบจะสำลักอากาศตายเพราะแรงบีบคอของมู๋เย๋ หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้น เหงื่อเย็นไหลซึมออกมาจนตัวเปียก ตกอยู่ในอาการตระหนก เขารีบตอบอย่างตะกุกตะกัก “เพราะตระกูลเกาคิดว่าคุณจะสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว เพราะถึงอย่างไรแล้วชูฮันก็เป็นคนน่ากลัวไม่ใช่น้อย แต่คุณก็ยังทำพลาด ตอนนี้ตระกูลเกาผิดหวังกับคุณอย่างมาก พวกเขาโกรธฉันสุดๆ”

 

“แกจะพูดว่าเลือดคนผิดอย่างงั้นใช่มั้ย? แกเป็นคนมาหาฉันเพื่อขอความร่วมมือเองไม่ใช่เหรอไง?” มู๋เย๋หรี่ตาลงจ้องเหย่จือโปอย่างไม่สบอารมณ์

 

เหย่จือโปแสนจะเย่อหยิ่ง เขาไม่สามารถตอบคำถามของมู๋เย๋ได้ ความกลัวที่อยู่ในใจเริ่มคลายลง ดูเหมือนว่ามู๋เย๋จะเริ่มเชื่อในสิ่งที่เขาพึ่งพูดไป

 

มู๋เย๋ยิ้มเยาะ “ในเมื่อชูฮันมันรอดไปได้ ถ้างั้นฉันก็จำเป็นต้องขยายจำนวนของลูกผสมเพิ่มขึ้นก่อนและทำให้ขั้นตอนแรกของการร่วมมือเสร็จสมบูรณ์”

 

“อะไรน่ะ? ปล่อยมันไป?” เหย่จือโปมองมู๋เย๋ด้วยสายตาลึกลับ เพราะเขาไม่กล้าจะพูดอะไรโผงผาง เขาเลือกใช้คำพูดที่ระมัดระวัง “ในเวลาที่มันพึ่งผ่านสงครามครั้งใหญ่มา  พวกมันกำลังอยู่ในสภาวะที่ร่างกายเหนื่อยล้าขั้นสุดและไม่มีเรี่ยวแรงสำหรับการต่อสู้อีก เพราะอย่างนั้นถ้าเราส่งคนไปตอนนี้มันไม่มีทางรอดไปได้อย่างแน่นอน”

 

มู๋เย๋เหลือบมองเหย่จือโป “จะตามไปฆ่ามัน? ป่านนั่นมันคงกลับไปถึงค่ายเขี้ยวหมาป่าแล้ว จากเมืองหยินไปถึงค่ายเขี้ยวหมาป่า ซึ่งคาดว่าคงจะมีพวกมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ระดับสูงจำนวนมากระหว่างทาง ซึ่งจะเป็นอุปสรรคทำให้กลุ่มลูกผสมไปถึงล่าช้าเข้าไปอีก และกว่าพวกลูกผสมจะกำจัดอุปสรรคและไปถึงชูฮันได้ ป่านนั่นพวกชูฮันก็คงฟื้นตัวและได้พละกำลังกลับมาแล้ว ซึ่งมันก็จะกลายเป็นความผิดพลาดซ้ำเดิมอีก”

 

เหย่จือโปหมดคำพูด ทำได้แค่กดความคิดที่อยากจะพูดของตัวเองไป ในเมื่อชูฮันยังไม่ตายแล้วเขาจะกลับไปหาตระกูลเกาได้ยังไง?

 

————

 

ณ ค่ายกองทัพเขี้ยวหมาป่า ทั้งค่ายถูกตกแต่งไปด้วยผ้าสีไหมสีแดงโยงไปมา บรรยากาศของงานเฉลิมฉลองราวกับเทศกาล ผู้คนในค่ายเขี้ยวหมาป่าต่างออกมาจากบ้านชะเง้อคอมองตั้งแต่เช้าจรดเย็นกันทุกวัน รอคอยว่าเมื่อไหร่หัวหน้าชูฮันของพวกเขาจะกลับมาถึง

 

เสี่ยวเคินแห่งทีมกุ้งเสือดำและหลูปิงเซ่อแห่งทีมความลับของพระเจ้าเจอกันที่มุมลับของค่าย ทั้งสองทีมต่างมีสีหน้าแบบเดียวกัน นั่นคือสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

“เฮ้ หัวหน้าชูฮันคือผู้นำที่อยู่เบื้องหลังของค่ายนี่จริงๆด้วย” หลูปิงเซ่อที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “แต่ความจริงหัวหน้ามีกองทัพนักรบของตัวเองอยู่แล้ว นี่พวกเราอ่อนแอเกินไปเหรอ พวกเราไม่ได้เข้าร่วมกองทัพด้วยซ้ำ”

 

เสี่ยวเคินนิ่วหน้า เหลือบมองหลูปิงเซ่อ “กังวลอะไรมากมาย เดี่ยวหัวหน้าก็จัดการทุกอย่างเอง”

 

ถึงอย่างนั้นความจริงแล้วเสี่ยวเคินก็แอบกังวลอยู่ลึกๆเช่นกัน ตอนนี้ชื่อเสียงของกองทัพเขี้ยวหมาป่าโด่งดังอย่างมาก สถิติที่สร้างไว้อย่างน่าทึ่ง ดูก็รู้ว่าพวกเขาสองทีมยังไม่แข็งแกร่งพอเทียบเท่ากับคนพวกนั้น!

 

ไม่เพียงแค่ทั้งสองทีมที่เป็นกังวลเท่านั้น คนอื่นๆที่ส่งมาอย่างทีมหลงยาและฮูหยาซึ่งต้องปิดบังตัวตนที่แท้จริงต่างก็กระตือรือร้นกันทั้งนั้น ตั้งแต่ที่ติงซือเย้ารับพวกเขาเข้ามาในค่าย พวกเขาก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างพิเศษใดๆจากค่ายเขี้ยวหมาป่าเลย แม้แต่ซางจิ่วตี้ก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในศูนย์บัญชาการด้วยซ้ำ

 

ในตอนแรกพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องฐานะของตัวเองเลย พวกเขาคิดว่าทันทีที่ชูฮันกลับมา ทุกคนจะเห็นความสำคัญของพวกเขาทันที และพวกเขาอาจจะกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของค่ายเขี้ยวหมาป่าด้วยซ้ำ

 

แต่เมื่อมันเกิดสงครามกลางภูเขาขึ้นมา ทุกอย่างก็จบทันที!

 

ทั้งทีมหลงยาและฮูหยา พวกเขามีประวัติที่ไม่มีใครเทียบได้ แม้พวกเขาจะเก่งกาจกว่ากองกำลังทั้งหมดของซางจิง แต่เมื่อพวกเขาถามตัวเองว่าเมื่อเทียบกับกองทัพเขี้ยวหมาป่าแล้ว พวกเขาไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย

 

และการดูถูกที่พวกเขาเคยมีต่อชูฮันได้หายไปหมดสิ้น และกองทัพเขี้ยวหมาป่านี่ก็ยิ่งกว่าน่ากลัวอีก พวกเขาได้ยินมาด้วยว่าในกองทัพเขี้ยวหมาป่ามีแม้กระทั่งคนธรรมดาอยู่?

 

ชูฮันฝึกฝนพวกเขายังไงกัน?

 

ท่ามกลางความคิดที่แตกแยกกันไปของแต่ละคน ชูฮันก็พากองทัพเขี้ยวหมาป่ามาถึงใกล้ด้านนอกประตูของค่ายเขี้ยวหมาป่าในเวลาเช้าตรู่

 

ทหารเฝ้ายามตรงประตูเข้าเมืองที่ยืนนิ่งไม่รู้เรื่อง หากจู่ๆชเขาก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง——

 

“อ๊ากกกก—–” เสียงแหกปากของทหารเฝ้ายามตรงประตูเข้าเมืองดังขึ้นพร้อมกับถอยหลังหนีราวกับเจอผี โดยมีหลิวยู่ติวที่ชี้นิ้วตรงมาห่างออกไปไม่ถึงเมตรตรงหน้าของนายทหารคนนั้น “คุณ คุณ คุณเป็นใคร?”

 

โดยไม่คาดคิด ทหารเฝ้ายามก็ได้เห็นคนจำนวนมากที่อยู่ด้านหลังของหลิวยู่ติง พลังผันผวนที่กระจายอยู่รอบกลุ่มแสดงถึงความแข็งแกร่งของคนกลุ่มนี้ พร้อมกับถัดไปมีร่างของคนคล้ายกับชูฮันยืนพิงกำแพงอย่างสบายๆอยู่

 

“ท่านหัวหน้าชูฮัน?” ตาของทหารยามเบิกกว้างพร้อมกับแหกปากดังลั่น “หัวหน้าชูฮัน หัวหน้ากลับมาแล้ว!”

 

คิ้วของชูฮันย่นเล็กน้อยจากนั้นก็หันหน้าไปมองหลิวยู่ติง หลิวยู่ติงขยับตัวถอยหลังห่างออกมาจากนายทหารยามเล็กน้อย หากในใจเขาไม่พอใจอย่างมาก ขนาดเขาเข้ามาใกล้ขนาดนี้ ทั้งๆที่มีหน้าที่เฝ้ายามเพื่อระวังภัยแต่กลับไม่รู้ถึงการมาถึงของพวกเขาเลย ถ้านี่เป็นทหารในกองทัพเขี้ยวหมาป่าละก็ คนพวกนี้จะต้องโดนลงโทษจนร้องไห้ตายแน่!

 

“เปิดประตู” ชูฮันไม่พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่บอกทหารยามให้เปิดประตู

 

“ครับ ครับ” ทหารยามรีบเปิดประตูทันที เขารอไม่ไหวที่จะได้เข้าไปบอกทุกคนในค่ายอย่างตื่นเต้น

 

“นายยืนเฝ้าประตูเหมือนเดิมต่อไป” ชูฮันห้ามนายทหารคนนั้นไว้ ใช้แววตากดดันอันแสนจะน่ากลัว

 

“เอ่อ—-? ครับ” ทหารยามงุนงง หากไม่ขัดขืน

 

ชูฮันพาทหารกว่าสองร้อยคนของกองทัพเขี้ยวหมาป่าเข้าไปในค่าย ในขณะนี้มันยังเป็นเวลาเช้าตรู่อยู่ ทั้งค่ายอยู่ในความเงียบสงบ มีเพียงแค่เสียงฝีเท้าเบาๆของพวกเขาท่ามกลางถนนที่เงียบสงบ ทหารกว่าสองร้อยไม่แม้แต่จะส่งเสียงใดๆ มีเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วเบา เป็นอีกครั้งที่ภาพทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของทหารยามคนเดิม ความรู้สึกอิจฉาและทึ่งใจก่อตัวขึ้นในอก

 

“การป้องกันอ่อนแอมาก” หลิวยู่ติงที่เดินอยู่ข้างชูฮันพูดขึ้น “ถ้าพวกลูกผสมคิดจะโจมตี ความเสี่ยงที่จะแพ้นั่นสูงมาก”

 

ชูฮันถอนหายใจยาว “เอาน่า พวกเขาเป็นคนที่ยังไม่ได้รับการฝึกกัน แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้าพวกเขาจะได้ฝึกกันอย่างหนักเลยทีเดียว”

 

“ตอนนี้เรากำลังจะไปไหนกันครับ?” ซูเฟิงนั่นสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับทุกอย่างรอบๆ เขาไม่หยุดดูซ้ายขวาเลยเพราะเขารู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ “ที่นี้มันค่อนข้างแปลกๆ!”

 

“เข้าไปในที่พักด้านในค่าย” ชูฮันเดินมุ่งหน้าเข้าไปใจกลางของค่ายเขี้ยวหมาป่า เขาหมุนตัวหันกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคน “หลิวยู่ติงและเฉินช่าวเย่เดินไปกับฉัน คนอื่นๆรออยู่ที่นี่ ห้ามให้ใครเข้ามาได้ทั้งนั้น”

 

เมื่อตอนที่มาถึงค่ายเขี้ยวหมาป่าตั้งแต่แรก ชูฮันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นบางอย่างที่ผิดปกติ นอกเหนือจากเหล่าผู้รอดชีวิตที่เขาเคยพบปะมาแล้วทุกคน ในค่ายเขี้ยวหมาป่ามีคนอื่นแฝงเข้ามาปะปนอยู่ไม่น้อย!