เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทีสงบนิ่งของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีจึงจงใจส่งเสียงกระแอมสองครั้ง “แอ้ม แอ้ม ท่านอ๋อง ไม่ต้องพูดถึงหัวใจของท่านที่อยู่ภายในทรวงอกโดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ต่อให้โยนไว้ตรงกลางถนนก็ไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบ และยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าโยนทิ้งเพคะ! ”
แววตาเยี่ยโยวเหยายังคงจ้องมองซูจิ่นซีด้วยความลึกซึ้ง เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงอีกครั้ง
ผลสุดท้าย เยี่ยโยวเหยาทำเพียงยกยิ้มมุมปากและดึงมือซูจิ่นซีเข้าไปในเรือนชิงโยว
เวลานี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว แม้ตอนหัวค่ำจะมีลมพัดเบาๆ ทว่าไม่ค่อยหนาวเท่าไรนัก เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีรับประทานอาหารค่ำภายในเรือน จากนั้นก็ดื่มชามื้อค่ำ เสร็จแล้วเยี่ยโยวเหยาจึงนำอัคคีศักดิ์สิทธิ์กับเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงไปที่เรือนรับรองของจิ่วหรงทันที
ส่วนซูจิ่นซีก็กลับไปที่เรือนอวิ๋นไคของตนเอง
ดูเหมือนนานมากแล้วที่ซูจิ่นซีไม่ได้นอนบนเตียงของตนเอง วันนี้เมื่อได้นอนลงไปจึงรู้สึกสบายอย่างมาก ซูจิ่นซีผล็อยหลับไปโดยไม่ได้รอให้เยี่ยโยวเหยากลับมา ทั้งยังหลับสนิทมากอีกด้วย
ภายในเรือนรับรอง แสงจันทร์สว่างสดใสทอแสงอาบไล้ทั่วเรือนราวน้ำตก
ไม่รู้ว่าจิ่วหรงใช้วิธีการอันใด เห็นได้ชัดว่าเวลานี้ไม่ใช่ฤดูดอกเหมยบาน ทว่าตรงมุมเรือนรับรองกลับมีดอกเหมยต้นหนึ่งผลิบาน ทั้งยังมีสีสันสดใสกลิ่นหอมชื่นใจ
จิ่วหรงสวมชุดสีขาวหิมะ ผมยาวดำมันวาว กำลังเป่าขลุ่ยอยู่ภายในเรือน กระเรียนขาวสัตว์พาหนะของเขาเต้นรำตามเสียงเพลง บางครั้งก็ส่งเสียงดังกังวาลขับขานคลอไปกับเสียงขลุ่ยของจิ่วหรง
ภาพนั้นราวกับอยู่บนสวรรค์ เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ไม่เหมือนโลกมนุษย์แม้แต่น้อย
ครู่หนึ่งจิ่วหรงจึงเก็บขลุ่ย เขาลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เสื้อผ้ายังคงสะอาดหมดจดไร้ที่ติ ทั้งยังเป็นระเบียบเรียบร้อยไร้รอยยับ
เขายืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังอยู่หน้าเรือน ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “โยวอ๋อง ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดยังไม่ปรากฏตัวอีกเล่า? ”
หลังสิ้นเสียงพูดของจิ่วหรง สายลมหนาวพลันพัดผ่าน เยี่ยโยวเหยาเหาะลงมากลางเรือนราวกับเทพเจ้าในยามราตรี
“ไม่เสียทีที่เป็นถึงคุณชายจิ่วแห่งสำนักแพทย์เทียนอี วรยุทธ์… ช่างสูงส่งยิ่งนัก”
หากคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของซูจิ่นซี จิ่วหรงคงต้องยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยน ทว่าจิ่วหรงในขณะนี้ เป็นคนละคนกับตอนที่อยู่ต่อหน้าซูจิ่นซี
ใบหน้าของเขา กระทั่งแววตาล้วนปรากฏความเย็นชา
จิ่วหรงพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “โยวอ๋องมาด้วยตนเอง คิดว่าคงได้เลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงมาแล้ว”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใดมาก เขานำเลือดของสัตว์เทพซื่อฉิงและอัคคีศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นจึงใช้กำลังภายในผลักไปให้จิ่วหรง
จิ่วหรงรับสิ่งของทั้งสองมา เขากะพริบตาเล็กน้อยยามที่มองดูอัคคีศักดิ์สิทธิ์ ทว่าไม่ได้พูดอันใด
“การหลอมยาครั้งนี้ นับว่าข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าครั้งหนึ่ง ทว่าระหว่างเจ้ากับข้ายังคงต้องต่อสู้กันสักครั้ง”
น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาเย็นชาและแน่วแน่อย่างมาก แบ่งขอบเขตกับจิ่วหรงอย่างชัดเจน
เขายังไม่ลืมว่าการต่อสู้ที่ตำบลผูหลิวนั้น ฝีมือของจิ่วหรงเป็นเช่นไร
นอกจากนั้น ยังไม่มีผู้ใดรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของจิ่วหรง และยิ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่าท่านชายหรงแห่งสำนักแพทย์เทียนอีเป็นคนเช่นใด มีความลึกลับเพียงใด
เยี่ยโยวเหยาเป็นราชาผู้มีความทะเยอทะยาน เพื่อขจัดความกังวลทั้งหมด เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะคิดประลองกับจิ่วหรงสักครั้ง
ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องส่วนรวม การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคงยากที่จะหลีกเลี่ยงไปได้
แววตาสดใสของจิ่วหรงไม่ได้ตอบรับเยี่ยโยวเหยา ทั้งยังไม่ได้ปฏิเสธ
แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาไม่รอให้จิ่วหรงตอบรับอันใด เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว เขาไม่เคยฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น
เยี่ยโยวเหยาเดินไปได้สองก้าว ทันใดนั้นก็ราวกับคิดอันใดขึ้นมาได้ จึงหยุดเดินแต่ไม่ได้หันหลังกลับไป
“การหลอมยาครั้งนี้ หนี้บุญคุณทั้งหมดเป็นเรื่องระหว่างข้ากับเจ้า ไม่เกี่ยวกับซูจิ่นซี อยู่ให้ห่างจากนาง”
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่ายังคงไม่พูดอันใด
ขณะที่เยี่ยโยวเหยากำลังจะออกจากเรือนรับรอง จู่ๆ จิ่วหรงก็ตะโกนเรียก “โยวอ๋อง”
เยี่ยโยวเหยาหยุดเดินในทันที
จิ่วหรงพูดว่า “ทั้งๆ ที่โยวอ๋องทราบดีว่าหมุดกร่อนรักในร่างกายของท่านถูกระงับไว้ถึงสองครั้ง บัดนี้อาการได้กำเริบอย่างสมบูรณ์ ไม่มีหนทางรักษาแล้ว ต่อให้ใช้วิธีตามตำราโบราณ ทว่าก็เป็นเพียงเรื่องหลอกลวงเท่านั้น เหตุใดยังต้องสิ้นเปลืองแรงกาย รวบรวมยาสมุนไพรทั้งหมดที่ใช้ในการหลอมยาด้วยเล่า? ”
ดวงตาเยี่ยโยวเหยาขยับเล็กน้อย เขาหันไปมองจิ่วหรงอย่างเย็นชา “เรื่องนี้เจ้าสำนักจิ่วไม่ต้องกังวลใจ”
พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
จิ่วหรงยังยืนอยู่ที่เดิม ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า พลางถือขลุ่ยในมือเคาะลงบนฝ่ามืออีกข้าง
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านใบหน้าสงบนิ่งของจิ่วหรง เมื่อเทียบแววตาของเขากับดวงตาดำขลับลึกซึ้งคู่นั้นของเยี่ยโยวเหยาแล้ว ยิ่งทำให้ผู้คนคาดเดาได้ยากมากขึ้นไปอีก
พูดถึงฉินเทียนที่ขัดคำสั่งของเยี่ยโยวเหยาในวันนั้น แอบพาหนานกงลั่วอวิ๋นออกจากวิหารวิญญาณไปยังตำหนักเสวียนปิง
เมื่อเขาอุ้มร่างที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของหนานกงลั่วอวิ๋นมายืนต่อหน้าฮูหยินปิงจี แท้จริงแล้วฮูหยินปิงจีรู้สึกโกรธอย่างมาก นางใช้ฝ่ามือตีไปที่หน้าอกของฉินเทียนอย่างรุนแรง
แม้ฮูหยินปิงจีจะเป็นมารดาแท้ๆ ของฉินเทียน ทว่านิสัยของฮูหยินปิงจีทั้งแข็งกระด้างและเข้มงวดยิ่งนัก ตั้งแต่เล็กฉินเทียนเกรงกลัวมารดาของตนอย่างมาก ดังนั้นจึงรับฝ่ามือของฮูหยินปิงจีไปครั้งหนึ่งและคุกเข่าขอร้อง
“ท่านแม่ ตั้งแต่เล็กจนโต ลูกไม่เคยขอร้องสิ่งใดจากท่านมาก่อน ลูกขอร้องท่านแม่ ท่านโปรดช่วยนางด้วยเถิด ลูกขอร้องท่านแม่! ”
ฉินเทียนพูดพลางโขกศีรษะกับขั้นบันไดน้ำแข็งที่อยู่เบื้องหน้าฮูหยินปิงจีอย่างแรง
ฮูหยินปิงจีค่อยๆ เดินลงจากบันไดมายังด้านหน้าของหนานกงลั่วอวิ๋น ก่อนจะยื่นนิ้วมือเรียวยาวจับไปที่ปลายคางของนาง และจ้องมองดวงตาคู่นั้น
“ช่วยนาง? นางยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงพูดว่าช่วยนาง”
“ฮูหยิน! ”
หนานกงลั่วอวิ๋นร้องด้วยความเจ็บปวด นางคิดจะกอดขาของฮูหยินปิงจีเพื่อขอความเห็นใจ ทว่าฮูหยินปิงจีกลับลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ศีรษะของนางจึงกระแทกกับพื้น
ฉินเทียนเดินไปประคองหนานกงลั่วอวิ๋นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่กลับถูกหนานกงลั่วอวิ๋นผลักไสออกมา
จากนั้นหนานกงลั่วอวิ๋นจึงคุกเข่าคลานไปทางฮูหยินปิงจีสองก้าว นางโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างแรงเหมือนกับที่ฉินเทียนทำเมื่อครู่ ทว่าแรงยิ่งกว่าฉินเทียนเสียอีก
“ฮูหยิน ลั่วอวิ๋นสำนึกผิดแล้ว ลั่วอวิ๋นไม่ควรขัดคำสั่งท่าน ลั่วอวิ๋นไม่ควรไม่เชื่อฟังท่าน! ไม่ควรทำเรื่องมากมายลับหลังท่าน ลั่วอวิ๋นขอร้องท่าน ขอร้องท่านโปรดช่วยลั่วอวิ๋นด้วย ช่วยลั่วอวิ๋นฟื้นฟูวรยุทธ์ ฟื้นฟูโฉมหน้า เพียงสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมดังเช่นก่อนหน้านี้ ลั่วอวิ๋นจะฟังคำสั่งฮูหยินทุกอย่าง ฟังท่านทุกอย่าง ลั่วอวิ๋นขอร้องท่าน ฮูหยิน”
หนานกงลั่วอวิ๋นพูดพลางโขกศีรษะกับพื้นราวกับทุบกระเทียม
ไม่นานนักหน้าผากของนางก็เริ่มบวมแดงปริแตกและมีเลือดไหลออกมา เสียงศีรษะกระแทกกับพื้นดังกึกก้องชัดเจน เสียงนั้นดังก้องอยู่ในใจฮูหยินปิงจี ทั้งยังดังเหมือนเสียงกลองที่ตีกระหน่ำอยู่ในใจของฉินเทียน
ฉินเทียนเห็นท่าทางของหนานกงลั่วอวิ๋นแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก ทว่าเป็นเพราะคำพูดครึ่งประโยคหลังของหนานกงลั่วอวิ๋นเมื่อครู่ที่ร้องไห้อ้อนวอนฮูหยินปิงจี ทำให้เขาลังเลไปครู่หนึ่ง ภายในใจรู้สึกสับสนอย่างมาก
ฮูหยินปิงจีเห็นท่าทางเช่นนั้นของหนานกงลั่วอวิ๋น จึงเดินไปด้านหน้าของนางทีละก้าว
หนานกงลั่วอวิ๋นกอดขาฮูหยินปิงจี ในฐานะคุณหนูหนานกงที่ไม่เคยก้มหัวขอร้องใครมาก่อน นางมองฮูหยินปิงจีด้วยสายตาอ้อนวอน
ฮูหยินปิงจีมองนางด้วยสายตาเย่อหยิ่ง “เป็นอย่างไรเล่า? ได้ลิ้มรสของความทุกข์ทรมานแล้วหรือ? ตอนนี้รู้แล้วหรือยัง เมื่อไม่มีพลังยุทธ์และไร้ความสามารถในการช่วยเหลืองานใหญ่ของโยวเหยา ทั้งยังไม่มีรูปโฉมที่งดงาม ชีวิตนี้ของเจ้าก็ไม่มีทางชนะซูจิ่นซีได้ แล้วยังหวังจะเข้าไปอยู่ในใจของโยวเหยาอีกหรือ? ”