DC บทที่ 296: ความมั่นใจ

 

“แม้ว่าผลลัพธ์จะเหมือนกับอาทิตย์ที่แล้ว ข้าก็สังเกตเห็นพัฒนาการบางอย่าง ดังนั้นจงมุ่งมั่นต่อไป”

 

“อย่างไรก็ตาม ข้ามิมีอะไรใหม่สำหรับวันนี้ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถเริ่มฝึกฝนด้วยกันเอง ถ้าให้กล่าวก็คือถ้าพวกเจ้าฝึกหนักมากพอ ข้าอาจจะแสดงความฝันแสนงามให้กับพวกเจ้าอีก พวกเจ้าคงรู้ว่าข้าหมายความว่าอย่างไร…”

 

เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นและมุ่งหวัง

 

หลังจากที่พวกเขาได้รับประสบการณ์อะไรบางอย่างระหว่างการอบรมครั้งที่แล้ว มันก็ฝังติดอยู่ในใจพวกเขาราวกับว่าเป็นคำสาป และพวกเขาต่างพากันสงสัยว่าซูหยางจะทำอะไรเช่นนั้นอีกครั้งหรือไม่หลังจากนั้น

 

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างไม่ยอมเสียเวลาและรีบหาคู่อย่างรวดเร็วก่อนที่จะฝึกดรรชนีสมปรารถนากับอีกฝ่าย

 

ได้มาเห็นภาพแปลกประหลาดนี้ โหลวหลานจีก็มีท่าทางประหลาด

 

“การกระทำของพวกเขาก็คือการจ้องมองหลังของแต่ละคนก่อนที่จะใช้นิ้วจิ้มลงไปบนตำแหน่งพิเศษ ข้ามิอาจเข้าใจสถานการณ์นี้ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้น…”

 

อย่างไรก็ตามเมื่อโหลวหลานจีสังเกตเห็นสีหน้าพึงพอใจบนใบหน้าของศิษย์เหล่านี้บางคนหลังจากถูกจิ้มจากคู่ฝึก ความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในใจเธอ

 

“พวกเขา… พวกเขากำลังได้รับความสุขสมงั้นรึ แต่พวกเขาเพียงแค่ถูกจิ้มไปบนหลัง… มันเกือบเหมือนกับ…”

 

โหลวหลานจีดวงตากลมโตขึ้นเมื่อเธอมาได้รับรู้

 

เธอจึงเข้าไปหาซูหยางและถามเขาว่า “เจ้าสอนวิชาการนวดให้พวกเขางั้นรึ”

 

ซูหยางแค่ยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าข้ามิได้บอกพวกเขา แต่วิชานี้ก็สามารถนำไปใช้แบบนั้นได้จริงๆ”

 

โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยท่าทางมึนงง

 

เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นอย่างไรในอนาคตถ้าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดสิบคนเติบโตขึ้นมาด้วยวิชาแบบนี้ ในเมื่อนั่นคล้ายกับมีซูหยางขนาดย่ออีกเจ็ดสิบคน

 

“อ-อะไรที่เจ้าสอนพวกเขา” โหลวหลานจีถาม

 

“เพราะว่าข้อจำกัดเนื่องจากอายุของพวกเขา ข้าสามารถสอนพวกเขาไม่ได้มากนัก  ดังนั้นข้าจึงสอนวิชานี้แก่พวกเขาเพื่อไว้ใช้ในอนาคต เมื่อตอนนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”

 

“ซูหยาง…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าลึกล้ำ

 

“เหตุใดเจ้าจึงสามารถมั่นใจเสียเหลือเกินในที่แห่งนี้ในเมื่อมันมีผู้นำนิกายที่ไร้ความสามารถเช่นนี้”

 

ซูหยางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านเข้าใจผิดอะไรไปบางอย่าง ความมั่นใจของข้ามิได้มาจากสถานที่นี้แต่มาจากตัวข้า”

 

โหลวหลานจีทำตาโตด้วยความตกใจ

 

“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” เธอถาม

 

“นั่นง่ายดายยิ่ง ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ที่นี่ ข้ามั่นใจว่าที่แห่งนี้จักเจริญรุ่งเรือง”

 

“…”

 

โหลวหลานจีกลายเป็นพูดไม่ออก แต่สีหน้าของเธอในปัจจุบันบอกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอต่อคำพูดของซูหยาง

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวว่า “ช่างยะโสโอหังนัก ซูหยาง เจ้าหมายถึงว่าตราบที่เท่าเจ้ายังคงอยู่ที่นี่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะต้องประสบความสำเร็จใช่หรือไม่”

 

“นั่นมิจำเป็นต้องให้เป็นนัย ในเมื่อนั่นเป็นคำกล่าวที่ชัดแจ้งจากข้า”

 

เขากล่าวต่อว่า “ท่านอาจจะหัวเราะเยาะข้าในใจตอนนี้ แต่ข้าจักแสดงให้ท่านเห็น งานแข่งระหว่างภูมิภาคก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือน และท่านยังคงหัวเราะเยาะข้าได้หลังจากนั้น ข้าจักก้มหัวให้และทำทุกอย่างเท่าที่ท่านต้องการ”

 

“ข้ามิมีเหตุผลที่จะหัวเราะเยาะ ถ้าเจ้าเชื่อเช่นนั้น ข้าเองก็จักเชื่อไปเช่นนั้นกับเจ้าด้วย ในเมื่อเจ้าได้พิสูจน์ตัวเจ้านับครั้งไม่ถ้วนมาจนถึงตอนนี้ ข้ามีแต่ความคาดหวังอย่างสูงในตัวเจ้า ซูหยาง”

 

“เยินยอไปแล้ว” ซูหยางหัวเราะหึๆ

 

สองชั่วโมงหลังจากนั้น ซูหยางก็ปรบมือและพูดว่า “นี่คือทั้งหมดของวันนี้ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าต้องการที่จะอยู่นานอีกสักหน่อยสำหรับการอบรมพิเศษ ข้าจักยินดีที่จะยืดเวลาการอบรมวันนี้เพิ่มไปอีกสองสามชั่วโมงสำหรับคนเหล่านั้น”

 

“ข้าจะอยู่”

 

“ข้าด้วย”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนตัดสินใจที่จะอยู่ที่นั่นโดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น

 

“อย่างนั้นก็ได้….”

 

จากนั้นซูหยางก็ดึงเอาม้วนคัมภีร์จากแหวนมิติ

 

เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์เห็นม้วนคัมภีร์ สีหน้าของพวกเขาก็แจ่มใสขึ้น และหลายคนก็เริ่มฉีกยิ้มทันที

 

“ก-เกิดอะไรขึ้น”

 

โหลวหลานจีมองดูท่าทางแปลกประหลาดของศิษย์เหล่านี้มีต่อม้วนคัมภีร์

 

“ไปเริ่มต้นด้วยท่าสมาธิดอกบัว”

 

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เมื่อศิษย์ทุกคนหลับตาลงแล้ว ซูหยางก็เปิดม้วนคัมภีร์และเริ่มอ่านมัน

 

“น-นี่คือ…”

 

โหลวหลานจีตื่นตกใจเป็นอย่างมากเมื่อบรรยากาศพลันเปลี่ยนไป เกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้กันกับที่ซูหยางทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้

 

อย่างไรก็ตามในเมื่อโหลวหลานจีไม่ได้ฝึกส่วนแรกของวิชาดรรชนีสมปรารถนา เธอจึงไม่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งที่ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ประสบ

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นยามเมื่อศิษย์เหล่านี้เริ่มฝัน โหลหลานจีก็ถึงกับงุนงงกับท่าทางมีความสุขของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขามีความสุขกับช่วงเวลาในตอนนี้เป็นอย่างมาก

 

โหลวหลานจีมองดูซูหยางซึ่งเดินกลับไปมาบนเวทีขณะที่อ่านม้วนคัมภีร์ ถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะถามเขา เธอก็กลัวว่าจะไปรบกวนเขาและเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ ดังนั้นเธอจึงหักห้ามความต้องการและคงความนิ่งเฉย มองดูเหล่าศิษย์อย่างเงียบๆอยู่ด้านหลัง

 

สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ก็ลืมตาขึ้นในที่สุด ไม่เหมือนกับครั้งแรกของพวกเขา กิจกรรมนี้ไม่ได้ยาวนานตลอดทั้งวัน

 

“อย่างที่ข้าคาดไว้… เป็นศิษย์พี่ชายที่อยู่ในความฝันของข้า…” ชีเยว่กล่าวกับตัวเองขณะที่เธอจ้องมองไปยังซูหยางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและหน้าแดงก่ำ

 

ตามจริงแล้วก็คือศิษย์หญิงทุกคนที่มองดูซูหยางในเวลานี้พร้อมกับสีหน้าคล้ายคลึงกับชีเยว่ ในเมื่อพวกเธอทั้งหมดมีซูหยางเป็นคู่ในความฝัน

 

“พวกเจ้ามีเวลาในการอบรมเหลืออีกสามครั้ง และสำหรับวันนี้ข้ามีเพียงเท่านี้” ซูหยางกล่าวก่อนที่เขาจะสั่งเลิกชั้นเรียน

 

ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์จากไปหมดแล้ว โหลวหลานจีก็เข้าไปหาซูหยางและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างช่วงเวลาสองสามชั่วโมงนี้”

 

“มิมีอะไรมาก ข้าเพียงแสดงให้พวกเธอเห็น “ความฝัน””

 

โหลวหลานจีกลับยิ่งงงงันและถามต่อว่า “เจ้าสามารถอธิบายให้มีรายละเอียดมากกว่านี้สักเล็กน้อยหรือไม่”

 

ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเขายังคงเด็กเกินไปที่จะร่วมฝึกคู่ แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้ามิอาจสอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงแสดงให้พวกเขาเห็น “ภาพ” ในใจเกี่ยกับสิ่งที่คล้ายกันในความฝัน”

 

โหลวหลานจีพลันกลายเป็นไร้คำพูด

 

“เจ้าหมายถึง… ไม่น่าเชื่อ…” เธอพึมพัมหลังจากที่เงียบไปเป็นเวลานาน