DC บทที่ 295: ผู้นำนิกายสังเกตการณ์

 

ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ออกไปจากห้องอบรมแล้วพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาระหว่างการอบรม

 

“เฮ้… น้องชี เจ้าก็ได้รับประสบการณ์ “นั่น” ระหว่างการอบรมเช่นกันใช่ไหม”

 

“อื้อ…”

 

ชีเยว่หน้าแดงเมื่อเพื่อนศิษย์ถาม

 

“ใครเป็นคู่ของเจ้า หรือว่าเป็นศิษย์พี่ชายเหมือนกัน”

 

ชีเยว่มองดูอีกฝ่ายทำตาโตและกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าเจ้าก็ทำ “สิ่งนั้น” กับศิษย์พี่ชายเช่นกันในความฝันของเจ้า”

 

ศิษย์คนนั้นพยักหน้า “นั่นช่างมหัศจรรย์ ข้ามิอาจทนรอให้โตขึ้นและอยากประสบกับสิ่งที่เป็นจริงในตอนนี้เลย”

 

ชีเยว่หันมองไปยังศิษย์ชายคนหนึ่งและถามพวกเขาว่า “เฮ้ ใครเป็นคู่ของเจ้าในความฝัน”

 

ศิษย์ชายหน้าแดงและไม่พูดอะไรออกมาเป็นเวลาชั่วขณะ

 

ชีเยว่ขมวดคิ้วและถามศิษย์ชายคนอื่น

 

อย่างไรก็ตามก็ได้รับผลเช่นเดียวกัน ในเมื่อเหล่าศิษย์ชายปฏิเสธที่จะตอบคำถามของเธอ

 

นี่ทำให้ชีเยว่งงงัน ทำไมพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ง่ายเช่นนั้น หรือว่านี่ทำให้พวกเขาอายในการที่จะยอมให้คนอื่นรู้

 

หลังจากที่ส่งคำถามเดียวกันนั้นไปยังศิษย์ชายอีกสองสามคน สุดท้ายชีเยว่ก็ได้รับคำตอบ

 

“คู่ของข้าคือเพื่อนในวัยเด็กของข้าสมัยยังอยู่ที่บ้าน…. ข้าประหลาดใจจริงที่เห็นเธอในความฝันของข้า กระทั่งยังทำ “เรื่องนั้น” กับข้าด้วย…”

 

ชีเยว่ตัดสินใจที่จะถามศิษย์ชายมากขึ้นอีกสองสามคนในคำถามเดียวกับและก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน

 

“บางทีคู่ในความฝันของพวกเราจะเป็นคนที่เราชื่นชม…” ชีเยว่มาถึงข้อสรุปหลังจากที่พูดกับศิษย์หลายคน

 

ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกลับบ้านและฝึกดรรชนีสมปรารถนาต่อ ในเมื่อพวกเขาถูกห้ามไม่ให้ฝึกวิมานคนธรรพ์

 

 

 

 

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ และนับว่าเป็นเวลานับเดือนแล้วนับตั้งแต่ซูหยางกลายเป็นผู้สอนให้กับศิษย์รุ่นเยาว์

 

“เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ตอนนั้น เฮ้อ… ข้าสงสัยว่าพวกเขาทำอะไรกัน”

 

โหลวหลานจีมองออกไปนอกหน้าต่างและพึมพัมกับตัวเอง

 

ไม่นานหลังจากนั้น เธอตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมซูหยางในระหว่างที่เขาอบรม

 

แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าเขาสอนอะไรให้กับศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ แต่เธอก็รู้ว่าเขาอบรมอาทิตย์ละครั้ง และวันนี้ก็จะเป็นการอบรมครั้งที่สี่ของเขา

 

หลังจากนั้นโหลวหลานจีก็ออกจากศาลาหยินหยางและตรงไปยังห้องอบรมที่อยู่ในเขตศิษย์ใน

 

เมื่อเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นโหลวหลานจีปรากฏกาย พวกเขาก็ทักทายเธอในทันที

 

“ผู้สอนของพวกเจ้ายังไม่มาที่นี่รึ” โหลวหลานจีถามพวกเขา

 

“ศิษย์พี่ชายควรจะมาที่นี่ในไม่กี่นาทีนี้”

 

“อืมมม…” โหลวหลานจีครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะถามพวกเขา “พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเขาในฐานะผู้สอน”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์พากันสบสายตากันก่อนที่จะพูดประสานเสียงกันว่า “พวกเรารักเขา”

 

โหลวหลานจีประหลาดใจอยู่บ้างกับคำพูดของพวกเขาและกล่าวว่า “เจ้ามิต้องโกหกเรื่องนั้นก็ได้ พวกเจ้ารู้ไหม ถ้าพวกเจ้ากลัวหากจะพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขา ข้าสามารถรับประกันได้ว่าพวกเจ้าจักมิเกิดปัญหาใดๆ”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์พากันสบสายตากันอีกครั้ง ดูค่อนข้างงุนงง หรือว่าผู้นำนิกายคาดหวังให้ซูหยางเป็นผู้ฝึกสอนที่ไม่ดี

 

“พวกเรามิได้โกหก ผู้นำนิกาย” ชีเยว่ก้าวออกมาแล้วกล่าว “พวกเรารักศิษย์พี่ชายในฐานะผู้สอนจริงๆ ตามจริงแล้วเขาเป็นคนที่ดีกว่าผู้สอนคนใดที่มีมาก่อนนั้น”

 

“ข้าก็ด้วย ข้าได้เรียนจากศิษย์พี่ชายมากกว่าผู้สอนคนใดก่อนหน้าเขา”

 

โหลวหลานจีเปลี่ยนเป็นพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะยึดเอาซูหยางไว้เป็นที่เทิดทูนอย่างสูงเช่นนี้ ถ้าผู้สอนคนก่อนหน้านี้ได้มาที่นี่และได้ยินคำพูดของพวกเขา คนเหล่านั้นต้องร้องไห้แน่นอน

 

“ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว”

 

โหลวหลานจียอมแพ้ในการที่จะพยายามที่จะหาบางสิ่งมาวิจารณ์ซูหยางและเดินไปยังด้านหลังของห้องอบรม

 

“มิต้องสนใจข้า ข้ามาที่นี่เพียวเพื่อที่จะสังเกตการณ์” เธอกล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์

 

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องอบรม

 

“ผู้นำนิกาย”

 

ซูหยางทักทายเธอทันทีที่เขาเห็นร่างแบบบางของเธอยืนพิงกับผนังด้านหลังห้องอบรม

 

“มิต้องสนใจข้า ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อดูเท่านั้น เพียงดำเนินการต่อไปเช่นที่เจ้าทำดังปกติ”

 

ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอน มีคนต้องการลองหรือไม่”

 

โหลวหลานจีพลันเลิกคิ้ว เขาพูดถึงอะไรกัน

 

“ข้าต้องการลองอีกครั้ง”

 

ชีเยว่และศิษยรุ่นเยาว์อีกสองสามคนพลันยกมือขึ้น

 

ไม่นานหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ไปยืนอยู่ด้านหลังซูหยางและเพ่งมองหลังของเขา ซึ่งสร้างความสับสนให้กับโหลวหลานจี ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นี้แม้แต่น้อย

 

ไม่นานหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ยกมือของเธอขึ้นจิ้มไปบนหลังส่วนล่างของซูหยาง

 

โหลวหลานจีซึ่งสนใจมากกับสิ่งที่พวกเขาทำกัน เดินไปยังด้านหลังพวกเขาและพิจารณาพวกเขาอย่างใกล้ชิดทุกการกระทำ

 

อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลังจากที่ดูเป็นเวลาหลายนาที โหลวหลานจีก็ไม่อาจเรียนรู้อะไรเลยแม้แต่น้อยและเพียงยิ่งเพิ่มความสับสน

 

“พวกเขาทำอะไรกันในโลกนี้”

 

โหลวหลานจีเพียงเห็นว่าชีเยว่รวบรวมพลังปราณไร้ลักษณ์บนนิ้วที่ใช้ทิ่มไปบนหลัง แต่ไม่รู้ว่าเจตนาอะไรสำหรับการกระทำเช่นนั้น เธอไม่สามารถเข้าใจได้

 

ห้านาทีหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ขยับนิ้วออกจากหลังของซูหยางและถอนหายใจด้วยท่าทางยอมแพ้

 

“ข้ายอมแพ้…”

 

หลังจากที่ชีเยว่ลงไปจากเวที ศิษย์คนต่อไปก็เริ่มจ้องไปที่หลังของซูหยาง เกือบเช่นเดียวกับที่เธอได้เพ่งพิจารณาหลังของเขา

 

อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับชีเยว่เสียทีเดียว ศิษย์รุ่นเยาว์คนนี้ไม่ได้จิ้มหลังซูหยางด้วยนิ้วของเธอและลงจากเวทีสามนาทีหลังจากนั้น

 

สถานการณ์นี้วนเวียนไปจนกระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนบนเวทีจากไปด้วยท่าทางพ่ายแพ้

 

หลังจากที่ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนออกจากเวที โหลวหลานจีก็ถามซูหยาง “พวกเจ้าทำอะไรกันเมื่อกี้นี้”

 

ซูหยางยิ้มและตอบว่า “ถ้าท่านมิสามารถบ่งบอกออกมาได้ยามเมื่อจบการอบรม ข้าจักบอกให้”

 

โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ดี ข้าจักยอมรับคำท้าทายของเจ้า”

 

โหลวหลานจีพลันกลับไปยืนยังด้านหลังของห้องอบรม อย่างไรก็ตามสายตาของเธอยิ่งคมกล้ากว่าเดิม ราวกับว่าเธอกำลังจ้องมองไปทั่วทั้งห้องเรียน ซึ่งทำให้เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์รู้สึกไม่สบายใจอะไรบางอย่าง