DC บทที่ 294: วิมานคนธรรพ์

 

แม้ว่าชีเยว่จะไม่สามารถกระตุ้นจุดสำคัญของเขาได้ ซูหยางก็ยังค่อนข้างประทับใจกับความก้าวหน้าของเธอกับวิชาดรรชนีสมปรารถนา ถ้าให้ต้องเปรียบเทียบเธอกับเพื่อนศิษย์ เธอก้าวล้ำนำหน้าคนอื่นกว่าสิบเท่า

 

“เจ้ารู้สึกอย่างไร” เขาถามเธอ

 

“ห-หมดแรง…” ชีเยว่พูดเสียงเบา

 

“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าพยายามที่จะใช้เรี่ยวแรงกระตุ้นจุดสำคัญของข้าด้วยปราณไร้ลักษณ์ของเจ้า” ซูหยางส่ายหน้า “นั่นจักเพียงทำให้แรงของเจ้าสิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์”

 

“เอาล่ะใครต้องการลองอีก” ซูหยางหันไปยังเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์และถามด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า

 

“ข-ข้า ข้าต้องการลอง”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านั้นต่างพากันยกมือขึ้นทีละคนสองคน

 

ซูหยางพยักหน้าและยอมให้ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ลองสู้เขา

 

อย่างไรก็ตามครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นก็ไม่มีใครอีกนอกจากชีเยว่ที่สามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญของเขาได้ยิ่งอย่าคิดถึงการที่จะกระตุ้นจุด

 

กล่าวไปแล้ว ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ตำแหน่ง ในเมื่อชีเยว่ได้ชี้ให้เห็นก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะรู้ว่าตำแหน่งที่แน่นอนมันอยู่ที่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเห็นจุดสำคัญนั้น

 

“ต่อให้เจ้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าเจ้ามิได้เห็นด้วยตัวเอง เช่นนั้นโอกาสที่พวกเจ้าจะปลุกจุดสำคัญนั้นก็เป็นได้แค่ศูนย์”

 

ซูหยางกล่าวกับพวกเขาหลังจากนั้น

 

“อย่างไรก็ตามในเมื่อตอนนี้ทุกคนที่นี่สามารถจับพื้นฐานได้แล้ว ข้ามีคำถามต่อพวกเจ้า ใครในที่นี้ที่เห็นมากกว่าหนึ่งจุดสำคัญบนคนหนึ่งคน ยกมือขึ้น”

 

ไม่นานหลังจากนั้น กว่าครึ่งของศิษย์รุ่นเยาว์ก็ยกมือขึ้น

 

“ดี ตอนนี้ยกมือของเจ้าไว้ ถ้าเจ้าเห็นมากกว่าสองจุดในแต่ละครั้ง”

 

หลังจากที่เขาพูดคำพูดเหล่านั้น กว่าครึ่งของที่ยกมือขึ้นก็ได้ลดมือลง

 

“แล้วสามล่ะ”

 

ถึงตอนนี้ มีเพียงศิษย์รุ่นเยาว์สามคนที่ยังคงยกมือขึ้นกลางอากาศ

 

“สี่”

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ สองในสามของศิษย์รุ่นเยาว์ก็ลดมือของพวกเขาลงและมีเพียงชีเยว่ที่ยังคงยกมือขึ้น เป็นสิ่งที่ซูหยางได้คาดคิดไว้แล้วก่อนที่เหตุการณ์นี้จะได้เริ่มขึ้น

 

“มากที่สุดเท่าไหร่ที่เจ้าได้เห็นจุดสำคัญบนคนคนหนึ่ง” เขาถามเธอ

 

“เจ็ด” ชีเยว่ตอบด้วยเสียงภูมิใจ

 

“ดีมาก เช่นนั้นพวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าจึงถามเจ้าเช่นนี้”

 

ชีเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าตระหนักว่ายิ่งข้าเข้าใจวิชานี้มากขึ้นเท่าไหร่ จุดสำคัญที่ข้าสามารถเห็นจากคู่ของข้าก็มากขึ้นเท่านั้น”

 

ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “มนุษย์ทุกคนมีอย่างน้อยหนึ่งจุดสำคัญ แต่บางคนก็มีเพียงแค่จุดเดียว อย่างไรก็ตามมีความลับหนึ่งที่วิชานี้ได้รับมาด้วยก็คือเจ้าสามารถ “สร้าง” จุดสำคัญเหล่านี้ขึ้นมาได้มากกว่านั้น”

 

“ตามจริงถ้าเจ้าเชี่ยวชาญวิชานี้ เจ้าจักสามารถที่จะกระตุ้นคู่ฝึกของเจ้าจากการสัมผัสที่ไหนก็ตามบนร่างของพวกเขาได้ กระทั่งจุดที่ไม่ใช่จุดสำคัญของพวกเขาก็ตาม”

 

แม้ว่าจะได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ ซูหยางก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะมีพวกเขาคนไหนที่จะเข้าถึงระดับเชี่ยวชาญกับวิชาดรรชนีสมปรารถนาของเขา

 

“อย่างไรก็ตาม เราจักทำสิ่งที่แตกต่างไปในวันนี้”

 

ซูหยางนำเอาม้วนกระดาษขึ้นมาจากแหวนมิติและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดได้คุ้นเคยกับดรรชนีสมปรารถนาแล้ว ตามจริงแล้วนั่นเป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของวิชาทั้งหมด”

“อะไรกัน”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์มีสีหน้าตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาได้ฝึกฝนวิชาที่ไม่สมบูรณ์มานานถึงสามสัปดาห์

 

“เหตุผลที่ข้าให้พวกเจ้าเพียงครึ่งหนึ่งของวิชานี้นั้นไม่ยาก ครึ่งหลังนั้นลึกล้ำมากเกินไปสำหรับพวกเจ้าในการที่จะตีความด้วยตัวพวกเจ้าเอง และนั่นจักทำให้พวกเจ้าถูกครอบงำ บางทีอาจจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในใจพวกเจ้า”

 

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่คาดว่าวิชานี้จะน่าหวาดกลัวและลึกล้ำเช่นนั้น ทั้งที่มันไม่ได้เป็นทั้งวิชาการต่อสู้หรืออะไรที่ซับซ้อน

 

“อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นพวเจ้าเติบโตในหนึ่งเดือนนี้ ข้าสามารถบอกได้แน่นอนว่าพวกเจ้าพร้อมสำหรับส่วนที่สองของวิชานี้ วิมานคนธรรพ์”

 

“วิมานคนธรรพ์…”

 

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันพึมพัมชื่อวิชาที่ให้ความรู้สึกลึกลับอย่างไม่รู้ตัว

 

“ส่วนแรก ดรรชนีสมปรารถนา จักทำให้เจ้าสามารถที่จะให้ความสุขสมกับคู่ของเจ้าได้อย่างง่ายดาย ส่วนที่สอง วิมานคนธรรพ์ จักทำให้เจ้าได้รับประสบการณ์โลกใบใหม่ไปกับคู่ของเจ้า อย่างไรก็ตามพวกเจ้ายังคงเด็กเกินไปที่จะใช้วิชานี้ในการฝึก ดังนั้นข้าจักเพียงให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองวิชานี้ในใจของพวกเจ้า”

 

ซูหยางคลายผนึกของม้วนวิชาและเปิดมันออก

 

“พวกเจ้าทุกคนนั่งลงในท่าสมาธิดอกบัวและเริ่มฝึกวิชาเดี๋ยวนี้” ซูหยางกล่าว

 

ศิษย์รุ่นเยาว์พลันนั่งลงและหลับตาเพื่อฝึกวิชา

 

ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เริ่มอ่านม้วนวิชาในมือและบรรยากาศอันลึกลับก็เกิดขึ้นรอบห้องอบรม

 

ขณะที่ซูหยางอ่านม้วนคัมภีร์อย่างต่อเนื่องก็เกิดภาพขึ้นภายในใจของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้

 

ภาพเหล่านี้มีความสมจริงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป และก่อนที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัว มันก็กลายเป็นความเป็นจริงของศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้แล้ว สิ่งที่เหมือนกับความฝันที่สมจริง

 

สำหรับความฝันประเภทไหนที่พวกเขามีนั้น มีเพียงแต่คนที่ฝันอยู่เท่านั้นที่จะรู้ ในเมื่อทุกคนที่นั่นต่างมีความฝันที่เฉพาะตัวสำหรับพวกเขา

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและเมื่อถึงเวลาที่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้เริ่มลืมตาขึ้นนั่นก็ถึงเวลาที่ดวงดาวพราวระยับไปทั่วฟ้าคราค่ำคืนเรียบร้อยแล้ว

 

“ศ-ศิษย์พี่ชาย… นี่คือ…”

 

ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนมองดูเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ เหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งประสบกับบางอย่างที่เหนือพ้นโลกและหมดเรี่ยวแรงไปในเวลาเดียวกัน

 

“เจ้าสนุกไปกับมันไหม” ซูหยางถามพวกเขาด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า”

 

พวกเขาพากันพยักหน้ากันช้าๆด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

 

“นั่นเป็นโลกที่เจ้าจักได้อาศัยอยู่ยามเมื่อพวกเจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นก่อนจะถึงตอนนั้นเรียนรู้ให้หนักเพื่อที่ว่าเจ้าจักได้มิสร้างความผิดหวังให้กับคู่ของเจ้า”

 

“อีกอย่างหนึ่ง…” ซูหยางพลันหรี่ตาเปล่งกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่น

 

“ข้าขอห้าพวกเจ้าทุกคนในการใช้วิมานคนธรรพ์ก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเจ้ามิเชื่อฟังกฏนี้ ข้าจักสาปแช่งให้ชีวิตของพวกเจ้าจักมิสามารถพบกับความสุขได้อีกครั้ง พวกเจ้าเข้าใจไหม”

 

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พลันพยักหน้าด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาจากใบหน้า ในเมื่อพวกเขาหวาดกลัวกับท่าทางของซูหยาง

 

หลังจากที่เห็นพวกเขาตกลงแล้ว ซูหยางก็มีท่าทางกลับคืนเป็นปกติและเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าจักพบกับพวกเจ้าทั้งหมดอีกครั้งในอีกหนึ่งอาทิตย์”

PS: ผมตอนแรกได้ตกลงกับเพื่อนสมาชิกว่าจะลองแปลเรื่อง The Sinful Life of The Emperor อีกครั้ง แต่ก็พบว่าเพราะว่าผมเริ่มโครงการอื่นทำให้ไม่มีเวลาเหลือที่จะแปลนิยายเรื่องThe Sinful Life of The Emperor จึงต้องขออภัยเพื่อนสมาชิกมาด้วยในที่นี้

 

และก็ Happy Valentine Day กับทุกๆ ท่านนะครับ ขอให้มีความสุขสมหวังในความรักกันทุกคน

 

NOS+