“ค่ะ” ซางจิ่วตี้เข้าสู่สภาวะจริงจังทันที เธอยิ้มออกมาอย่างมั่นใจและรายงานข้อมูลอันยาวนานออกมา “เราได้มีการบันทึกข้อมูลของทุกคนในค่ายไว้หมด ผ่านการตรวจสอบและคัดกรองมาแล้ว นี่คือรายชื่อของคนที่แล้วสามารถยืนยันได้ในขั้นแรกค่ะ”

 

ทุกคนในที่นี่ต่างเข้าสู่สภาวะจริงจังและตึงเครียดกันหมด มันเป็นรายชื่อที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าได้ทำการสังเกตมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร ชื่อทั้งหลายในรายชื่อนั่นเป็นบุคคลต้องสงสัยและไม่สามารถรับมือได้ง่ายๆ เป็นเรื่องน่าปวดหัวสำหรับพวกเขาเลยก็ว่าได้

 

ชูฮันกวาดตามองดูรายชื่ออย่างคร่าวๆ จากนั้นก็สบตาซางจิ่วตี้อย่างรวดเร็วอย่างแสดงความขอบคุณ เขารู้สึกประทับใจทุกคนในที่นี้ทั้งหมด จากยุคที่แล้ว ทุกคนมาจากต่างที่ต่างถิ่น ไม่รู้จักกันเลย แต่ตอนนี้ทุกคนรวมตัวกันเพื่อสนับสนุนเขา

 

“คนพวกนี้มีเวลาในการทำงานแตกต่างกันไป สาเหตุที่เราทำการยืนยันได้นั่นจึงยากมาก พวกเขาทุกคนต่างปิดบังตัวตนที่แท้จริง” ซางจิ่วตี้พูดต่อ “โดยเฉพาะเมื่อมันเห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้คือวิวัฒนาการ แต่พวกเขากลับกรอกข้อมูลบอกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาเมื่อตอนที่เข้ามาในค่าย”

 

ชูฮันยิ้มเยาะ “ฉลาดกันดีนี่”

 

ความจริงแล้ว มันดีกว่าเหรอที่จะแสร้งทำเป็นเชื่อใจจากนั้นก็ลงมือหลังจากรับพวกเขาเข้ามาในค่ายแล้ว?

 

ชูฮันไม่มีความสนใจในคนพวกนี้เลย เขาวางรายชื่อพวกนี้ไปด้านข้างและทำการตัดสินใจ “ไม่ต้องสนใจคนพวกนี้ จัดการล่อพวกนี้ออกไปวงนอกและทำตัวเหมือนเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดา แล้วปล่อยให้พวกนั้นเผยตัวตนของตัวเองออกมาเอง ทำตัวให้เหมือนก้อนอิฐ”

 

“ค่ะ” ซางจิ่วตี้ยิ้มและจัดการจำแนกรายชื่อ

 

หลายคนที่ไม่เข้าใจภาพที่พึ่งเกิดขึ้นตะลึงค้างไปครู่หนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงการจัดการและการกำจัดคนพวกนั้นออกไปจากค่าย พวกเขามีการพูดคุยหารือเกี่ยวกับประเด็นมากมายมาเป็นระยะเวลานาน แต่ตอนนี้ทันทีที่ประเด็นแรกถูกยกขึ้นมาพูด พวกเขาคิดว่ามันจะต้องใช้เวลาเป็นเวลานานพอสมควร และอาจจะต้องเจาะลงรายละเอียดลึก วิเคราะห์เปรียบเทียบกว่าจะหาบทสรุปในการจัดการที่ลงตัวได้

 

ทว่า ชูฮันกลับตัดสินใจจัดการปัญหาลงด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ โดยเฉพาะวิธีที่ชูฮันเลือกจะจัดการนั้นน่าตกใจอย่างมาก ตอนนี้ทุกคนค่อนข้างหงุดหงิดกับตัวเอง พวกเขามีสมองรวมกับหลายสิบหัวแต่ยังไม่เทียบเท่ากับชูฮันเพียงคนเดียว วิธีการที่ชูฮันประมวลผลในหัวและตัดสินใจภายในเสี้ยววินาทีนั่น!

 

หยางเทียน เจียงเทียนชินและหลิวยู่ติงที่คุ้นเคยกับชูฮันมานานถอนหายใจ พวกเขาคุ้นเคยกับการถูกความสามารถของชูฮันโจมตีใส่จนมีภูมิคุ้มกันในตัว

 

ในตอนนี้ชูฮันก็รีบเข้าไปที่ประเด็นที่สองต่อทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองหลายคนที่นิ่งเงียบ “อะไร?”

 

“เปล่า เปล่าครับ” ติงซือเย้ารีบปาดเงหื่อบนหน้าออกและแสร้งยิ้มออกมา “ต่อเลยครับ ต่อเลยครับ”

 

ซางจิ่วตี้ยิ้ม พร้อมกับแสงในแววตาที่แสดงถึงความภูมิใจ น้ำเสียงของเธอแหลมขึ้นทันทีอย่างไม่รู้ตัว “ประเด็นต่อไปก็มีปัญหาเช่นกันค่ะ มีคนจำนวนมากกว่า 30 คน แต่ข้อมูลที่เรามีมันยังไม่ครอบคลุม และคนพวกนี้ก็ไม่ได้โกหก ยกเว้นแต่ชื่อและระดับความสามารถ ข้อมูลอื่นๆพวกเขาไม่ยอมกรอกรายละเอียดให้เรา เห็นได้ชัดว่าน่าสงสัย แต่มันรู้สึกแปลกๆและดูเหมือนพวกเขามีอย่างอื่นที่อยากจะนำเสนอ”

 

“จริงครับ คนพวกนี้สามารถบอกได้ว่าพวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และวิธีในการทำงานของทั้งสองฝั่งก็ใกล้เคียงกัน” จู่ๆหยางเทียนก็โพล่งขึ้นมาหากเขาก็ระมัดระวังการพูด “และพวกเขาก็ไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายของพวกเราในตอนแรก เพราะพวกเขาช่วยพวกเราอย่างมากตั้งแต่เข้าร่วมกับค่ายเขี้ยวหมาป่ามา พวกเขาทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่เคยแสดงท่าทีขี้เกียจใดๆเลย”

 

“แต่ปัญหาก็คือปัญหาอยู่ดี ในที่สุดพวกเขาก็เผยหางจิ้งจอกของตัวเองออกมา” ติงซือเย้าพูดขึ้นพร้อมกับสายตาดุร้าย “วิธีที่พวกมีนทำสิ่งต่างๆเปลี่ยนไปเมื่อเดือนก่อน ยิ่งเมื่อคนของพวกมันสิบกว่าคนเริ่มแทรกเข้ามาสู่วงในชั้นที่สองของค่ายโดยที่คนของเราไม่รู้ตัว และเกือบเข้ามาถึงศูนย์กลางหลักของค่ายแล้วถ้าไม่ใช่เพราะคนของเราระแวงตัวได้ทัน ไม่อย่างนั้นคาดว่าข้อมูลส่วนใหญ่ของค่ายเขี้ยวหมาป่าคงถูกพวกมันปล้นไปหมดแล้ว”

 

“มีเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย?” ชูฮันรู้สึกประหลาดใจ “เอารายชื่อมาให้ฉัน”

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นกลุ่มคนที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีและมีความแตกต่างอย่างมากกับประเด็นแรก คนกลุ่มนี้เป็นปัญหาสำคัญและน่าจะรับมือด้วยได้ยาก

 

ซางจิ่วตี้รีบส่งรายชื่อที่สองให้ทันที รอคอยให้ชูฮันเอ่ยขึ้นอย่างเงียบๆ คนอื่นๆที่อยู่ในห้องก็อดไม่ได้ที่จะรอคอยได้มีส่วนร่วมกับการปรึกษาหารือ ตอนนี้มันมีแต่เสียงวุ่นวายดังเต็มไปหมด บางคนก็บอกให้ฆ่าคนกลุ่มนั่นเลย บางคนก็บอกจะทำการสังเกตการณ์ไปอีกสักพัก หลิวยู่ติงเสนอให้หยุดการเสนอต่างๆและทำการโหวต

 

ชูฮันรับรายชื่อมาและกวาดตามอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเหล่าคนในห้องที่กำลังถกเถียงกันใหญ่ ชูฮันได้แต่ถอนหายใจออกมา รายชื่อพวกนี้มันคือ…เสี่ยวเคิน หลูปิงเซ่อ จางโบฮั่น อู๋เจียช่าว…

 

ทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าที่ขาดการติดต่อไปนาน เขาไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเจอกับคนพวกนี้ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน คนพวกนี้ได้พัฒนาความสามารถมาถึงจุดนี้แล้ว แถมยังสามารถเกือบโจมตีค่ายของเขาได้อีก!

 

“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคนพวกนี้ ไม่ต้องสนใจกับสถานการณ์ของคนพวกนี้ ฉันจะดูให้เอง” หลังจากชูฮันพูดออกไป เขาก็วางรายชื่อในมือลง เขายังไม่คิดจะบอกทุกคนเกี่ยวกับเรื่องของทีมกุ้งเสือดำและความลับของพระเจ้าในตอนนี้

 

เมื่อเห็นชูฮันตัดสินใจมาแบบนี้ ทุกคนในห้องก็ได้แต่เหลือบตามองมาที่ชูฮันโดยไม่ได้พูดอะไร ส่วนซางจิ่วตี้ที่คิดว่าชูฮันจะสั่งการให้เธอทำอะไรสักอย่าง กลับต้องประหลาดใจกว่าทุกคน แต่ด้วยเพราะความเชื่อที่มีในตัวชูฮัน ทุกคนจึงไม่คัดค้าน ในเมื่อชูฮันบอกว่าเขาจะจัดการเองพวกเขาก็ไม่ควรเข้าไปแทรกเพราะมันจะไม่ช่วยอะไร

 

“โลจิสติกส์?” ชูฮันที่เข้าสู่โหมดจริงจังกำลังอยู่ในสภาวะควบคุมทุกอย่าง เขาไม่รอให้ซางจิ่วตี้รายงานทีละประเด็นให้ฟังอีกต่อไป แต่กลับเลือกที่จะถามขึ้นมาเอง “ส่วนไหนของค่ายที่เป็นที่ตั้งของแผนกโลจิสติกส์และคลังเก็บอาหาร? แล้วเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“สาเหตุเพราะว่าเจ้าหน้าที่ในแผนกโลจิสติกส์ขาดแคลนค่ะ” ซางจิ่วจี้รีบตอบคำถาม “ในขณะเดียวกัน ท่านจำได้มั้ยคะว่าใครเป็นคนปลูกพืชผักต่างๆของทั้งค่าย? ตอนนี้อาจบอกไม่ได้ว่าค่ายเขี้ยวหมาป่าอยู่ในสถานะดี แต่อย่างน้อยทุกคนก็ไม่หิวโหยอีก”

 

เมื่อพูดจบ ซางจิ่วตี้ก็กระซิบอยู่ข้างหูชูฮันและชี้ไปที่คนคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่มุมห้อง “คือคนนั้น”

 

ชูฮันเหลือบตามองตาม เขามองเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมห้องทางซ้ายและกำลังแอบขโมยแป้งทอดมากินอยู่

 

“คุณเป็นหัวหน้าแผนกเพาะปลูกใช่มั้ย?” ชูฮันเปิดประโยคขึ้นก่อน

 

“ครับ ท่านพลเอก สวัสดีครับ” ชายร่างท้วมวัยกลางคนผุดลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดง ตาตี่ๆ เขาฉีกยิ้มกว้าง “ผมชื่อเหลาเกา ผมชื่นชมท่านมาตลอดครับ”

 

ชูฮันยิ้มและชี้ไปที่รอยเปื้อนที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของเหลาเกา “เสื้อผ้านี่ไม่ได้ซักมาหลายวันแล้วใช่มั้ย?”

 

“อ่า—? เอ่อ เอ่อ เอิ่ม!” ชายร่างท้วมหน้าแดงก่ำด้วยความอาย ความจริงก็คือที่มันเลอะเพราะเขาพึ่งนั่งกินแป้งทอดเมื่อกี้ แต่มันก็จริงที่เขาไม่ได้ซักเสื้อผ้ามาหลายวันนั่นเป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือก มันเป็นข้อจำกัดของโลกาวินาศ

 

“ไม่มีอะไร เสื้อผ้าฉันเองก็ไม่ได้ซักมาเป็นเดือน” ชูฮันยิ้มมุมปาก “แผนกเพาะปลูกนั้นเข้าร่วมกับแผนกโลจิสติกส์โดยตรง หลังจากที่ผลผลิตทางการเกษตรถูกเก็บเกี่ยวแล้วทั้งหมด จะต้องนำเข้าไปเก็บในคลังสินค้าทันที และถูกบริหารโดยแผนกโลจิสติกส์ต่อ ตัดกระบวนการที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อประหยัดกำลังคน”

 

“ค่ะ” ซางจิ่วตี้รีบจดบันทึกคำสั่งการของชูฮันตามอย่างรวดเร็ว

 

“เหลาเกา” ทันใดนั้นชูฮันก็มองไปที่เหลาเกาที่กำลังแอบขโมยแป้งทอด “ตั้งแต่นี้ไป คุณจะได้รับตำแหน่งควบคุมแผนกโลจิสติกส์ของค่ายเขี้ยวหมาป่าอย่างเป็นทางการ”