บทที่ 53 แม่ของฟางฉีฮัว

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 53
แม่ของฟางฉีฮัว

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหนและไม่รู้ว่าชางกวนโม่เข้ามานอนข้างเธอตั้งแต่เมื่อไรด้วย
มู่หรงเสวี่ยเห็นรอยดำคล้ำที่ตาเขา เธอไม่ขยับจึงปล่อยให้เขาหลับต่อไป เธอเพียงแค่มองหน้าตอนที่เขาหลับอย่างเงียบๆและทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเธอไม่เคยมองหน้าเขาใกล้ๆแบบนี้เลย ตอนนี้เธอคิดว่าดีมากๆ ดูอ่อนโยนและน่ารักขึ้นเมื่อไม่พูดอะไร น่ารักงั้นเหรอ?! เธอรู้สึกว่าเขาน่ารักได้ยังไงนะ? เธอประหลาดใจมากจนต้องส่ายหัว มู่หรงเสวี่ยค่อยๆแกะมือที่โอบรอบเอวเธอ

ทันใดนั้นทันทีที่เธอออกแรงดึงมือออก ชางกวนโม่ก็ดึงตัวเธอเข้ามาชิดหน้าอกเขาและจูบลงที่ริมฝีปากแดง
“อืม…” ทั้งสองคนครางออกมาพร้อมๆกัน อยู่ดีๆชางกวนโม่ก็กลายร่างเป็นหมาป่า มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจที่เขาเปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วขนาดนี้ เธอแทบจะตั้งตัวรับเขาไม่ทัน

การสัมผัสจากชางกวนโม่ทำให้เธอเขินอายไปหมด ยิ่งมีเสน่ห์และได้อารมณ์มากขึ้นไปอีก ราวกับดอกไม้แรกแย้มที่รอคนรักมาเด็ดไป ไม่นานเสื้อคลุมของทั้งสองก็หลุดร่วงออกจากร่างกาย

ร่างกายที่รุ่มร้อนของทั้งสองเข้ากันได้เป็นอย่างดี ชางกวนโม่รู้สึกเจ็บปวดและยากมากที่จะต้องอดทนห้ามตัวเอง ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้ยังเด็กอยู่ เขาจับเธอและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหอบ “ช่วยฉันที…”

มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกงุนงงเพราะความคลุมเครือนี้ด้วยเหมือนกัน ช่วยเขางั้นเหรอ?! ฉันจะช่วยเขาได้ยังไงล่ะ? ไม่นานเธอก็เข้าใจเพราะชางกวนมือกำมือเธอแน่นขึ้น

มู่หรงเสวี่ยหน้าแดงและจ้องเขาด้วยความไม่พอใจแต่เขาดูน่าหลงใหลมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รุนแรงอีกแล้ว

หลังจากนั้นสักพักในที่สุดชางกวนโม่ก็ลุกขึ้นและรีบไปอาบน้ำ มู่หรงเสวี่ยยังนอนหน้าแดงอยู่บนเตียงกำมือแน่น ตอนนี้เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเธอเพิ่งจะทำให้ชางกวนโม่หยุดได้ มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาแล้วจึงลุกขึ้นมาเพื่อเข้าไปอาบน้ำบ้างแต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร

หลังจากนั้นทั้งสองก็แต่งตัวและเตรียมลงไปข้างล่างเพื่อทานอาหาร ชางกวนโม่เดินออกไปก่อนเพื่อที่จะสั่งให้การ์ดทั้งสองออกไปจัดการปัญหา เพราะในงานนี้ปลอดภัยอย่างแน่นอน ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาท้าทายอำนาจของงานประชุมหินการพนันระหว่างประเทศหรอก ดังนั้นชางกวนโม่ถึงมั่นใจที่จะปล่อย มู่หรงเสวี่ยไว้คนเดียว มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเบื่อและอยากที่จะออกไปดูคนอื่นเปิดหิน

ก่อนที่จะเข้าไปในลานตัดหินก็เกิดเสียงจะโกนที่น่าตกใจดังขึ้นมา
“ดูสิมีแต่คนโชคดี วันนี้ฉันเปิดมาเจอหยกมา 3 ชิ้นแล้วนะซึ่งดีมากจริงๆ ชิ้นนี้ดีมากจริงๆ…”
“วันนี้ฉันยังไม่เจอหยกสักชิ้นเลย…”
“…”
มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปดูและพบว่ามันคือหยกสีม่วงคุณภาพดีมากซึ่งสีบริสุทธิ์และใสอย่างมาก เป็นหยกสีม่วงที่คุณภาพสูง ตอนที่เธอเห็นหยกสีม่วง มู่หรงเสวี่ยคิดถึงหินหยกสีม่วงที่เห็นเมื่อวาน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเธอก็เห็นว่าชางกวนหลินกำลังยืนอยู่ข้างๆคนตัดหิน และดูเหมือนว่าจะมีวัตถุดิบอีกมากมายที่ยังไม่ถูกแกะ

มู่หรงเสวี่ยมองและพบว่าในหินหยกมีหยกอยู่ด้วย ดูเหมือนว่าเขากับเธอจะเหมือนกันแต่ทำไมถึงมี 2-3 ก้อนที่มีผิวเป็นสีเขียว?! มีคำอธิบายเดียวก็คือเขาอาจจะซื้อหินเปล่าๆเพื่อเอามาปกปิดความสามารถ

อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยเข้าใจผิดแล้ว ชางกวนหลินไม่ได้มีความสามารถในการมองเห็นอย่างที่เธอคิด เขาสามารถบอกได้ว่าชิ้นไหนมีของอยู่ข้างในแต่บอกไม่ได้ว่าของที่ว่าเป็นอะไร
ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงเดินมาอยู่ข้างๆเธอ “แม่หนู รู้เรื่องหินด้วยเหรอ? ถึงได้มางานแบบนี้ด้วย เธอกำลังขวางทางฉันอยู่นะ ออกไปให้พ้นทางซะ!”

มู่หรงเสวี่ยหันไปมองว่าเธอเป็นใคร?! แม่ของฟางฉีฮัว!
เธอสวมชุดสีดำ ผมม้วนไว้ด้านหลัง ผิวขาวผ่อง ใบหน้าสวยที่ดูเย็นชาและใจร้าย อารมณ์ฉุนเฉียวที่พร้อมทำลายทุกอย่าง เธอดูอายุน่าจะประมาณ 30

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกมึนงง เธอเคยเรียกผู้หญิงคนนี้อยู่หลายปี เพื่อที่จะทำให้ฟางฉีฮัวพอใจ และในชีวิตที่แล้วเธอทำหลายอย่างเพื่อทำให้ผู้หญิงที่ชื่อหวู่เหมยลี่พอใจ ตลกดีนะเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในตอนแรกที่เธอยังไม่ย้ายออกจากบ้าน ผู้หญิงคนนี้กลับอ้าแขนต้อนรับเธออย่างดีไม่ว่าจะดีหรือเลว

เธอเคยซื้อเครื่องประดับราคาแพง, กระเป๋าและอื่นๆให้กับเธอ แต่หลังจากที่เธอย้ายออกจากตระกูลมู่หรง หวู่เหมยลี่ก็เริ่มที่จะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา เธอติตลอดและบางครั้งก็จะชอบพูดว่าเธอไม่กตัญญูกับฟางฉีฮัวเลยแล้วก็อื่นๆอีก เมื่อเธอนึกถึงชีวิตที่แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆที่ถูกสองคนนี้หลอก
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ งั้นทำไมในชีวิตนี้เธอต้องยอมด้วยล่ะ “คุณป้า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับมือใหม่นะคะ”

เมื่อได้ยินที่มู่หรงเสวี่ยพูดหวู่เหมยลี่ก็ถึงกับลนลานแต่ก็ต้องบังคับตัวเองให้สงบไว้ “เธอเรียกฉันว่าป้า นี่ตาบอดหรือไง? เธอยังเด็กแต่พูดจาไม่ดีเลยนะ แบบนี้ไม่น่าจะหาผู้ชายดีๆได้หรอกนะ”

“ฉันเรียกว่าคุณป้า เพราะคุณอายุมากกว่า 30 แล้ว ฉันเพียงจะ 15 เอง ถ้าไม่ให้ฉันเรียกว่าคุณป้าแล้วจะให้เรียกว่าอะไรคะ?! อีกอย่างฉันชื่นชมคุณป้านะคะที่เป็นแค่มือใหม่แต่กล้ามาทำเสียงดังขนาดนี้!” มู่หรงเสวี่ยแสยะ

หน้าของหวู่เหมยลี่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธและเสียงซุบซิบรอบข้างก็ยิ่งทำให้เธออับอาย เธอเกลียดที่ถูกเรียกว่ามือใหม่ “ทำไมเธอถึงบอกว่าฉันเป็นพวกมือใหม่? ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อน ถึงแม้เราจะเพิ่งมีเรื่องกัน แต่เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดใส่ร้ายฉันขนาดนี้เลยนะ” หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวู่เหมยลี่ ผู้คนก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป้าโจมตีพร้อมชี้มาที่มู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจคำพูดของคนอื่นและไม่สนใจสายตามีความหมายของชางกวนหลินด้วย “คุณป้า ถึงแม้ฉันจะไม่รู้จักคุณแต่ฉันรู้จักลูกชายคุณป้านะคะ ลูกชายของคุณป้าเป็นนักเรียนที่จังหวัด A ฉันรู้นิสัยของเขาดี ลูกชายของคุณคือฟางฉีฮัว อย่าบอกฉันนะคะว่าคุณป้าจำลูกชายตัวเองไม่ได้”

มีน้ำเสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นรอบๆ สีหน้าของหวู่เหมยลี่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดแล้วพูดตอบออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ไร้สาระ! เธอมันบ้าไปแล้ว และครอบครัวเธอก็ไม่สั่งสอน”

น้ำเสียงดังลั่นขนาดนี้ทำให้ผู้คนหันมามองที่เธอด้วยสายตาอย่างเลือกปฏิบัติ ถ้าไม่โต้ตอบไปอย่างหนักแล้วเธอจะชดเชยความโกรธของชีวิตที่แล้วได้ยังไง “คุณชื่อหวู่เหมยลี่ คุณเคยเป็นดาราหนังเกรดสาม ตอนที่คุณยังเด็ก คุณเคยคบกับลูกชายคนโตของตระกูลฟาง ฟางซือเจิง ต่อมาคุณก็ตั้งท้อง ตระกูลฟางรับคุณเข้ามาเพราะเห็นแก่หลานของพวกเขา…”

ในเวลานี้ สีหน้าของหวู่เหมยลี่เปลี่ยนสลับกันไปมาทั้งโกรธและอาย ก่อนที่เธอจะมา ฟางซือเจิงได้ย้ำกับเธอแล้วว่าอย่าสร้างปัญหาหรือทำให้เสียหน้า ไม่งั้นกลับไปเธอจะต้องถูกฟางซือเจิงลงโทษแน่ๆ ใช่ ถึงแม้ภายนอกฟางซือเจิงจะดูดอ่อนโยนและสง่างาม แต่เขาเมื่อกลับไปที่วิลล่าเขาจะทำร้ายและทรมานเธอถ้าเธอทำให้เขาไม่พอใจ แต่ยังไงซะเธอก็ยังไม่ยอมเลิกเพราะความร่ำรวยของเขา

“ฉันคิดว่าฟางซือเจิงจะเป็นคนอ่อนโยนซะอีก ภายนอกเขาเก็บอารมณ์ได้ดีมาก…”

“ไม่นะ ฉันได้ยินมาว่าการแต่งงานของพวกเขามันไม่ธรรมดาจริงๆ คุณฟางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและคงจะถูกหลอกมา ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา เธอก็เจอฟางซือเจิงนอนอยู่ข้างๆ เธอไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตระกูลฟางไม่อยากที่จะเสียหน้าเลยประกาศไปว่าเขาสองคนรักกัน”

เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็เกิดเสียงซุบซิบไปทั่ว เธอไม่คิดเลยว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นแบบนี้

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยยิ่งรู้สึกเกลียดมากขึ้นไปอีก ลูกชายก็ไม่ต่างอะไรจากพ่อ ก่อนหน้านี้ฟางฉีฮัวก็อยากที่จะบังคับขืนใจเธอ โชคดีที่เธอเสียมันให้หยางเฟิงดีกว่าเสียให้ฟางฉีฮัวอีก
เมื่อเงยหน้ามอง เธอก็เห็นว่าหวู่เหมยลี่อยากที่จะเดินหนีออกไปจากฝูงชน จะปล่อยไปได้ยังไง มู่หรงเสวี่ยจึงถามออกไปเสียงดัง “คุณป้าคะ จะไปไหนเหรอคะ?”

เมื่อหวู่เหมยลี่เห็นว่าตัวเองเดินหนีไปไหนไม่ได้ เธอก็โมโหขึ้นมาทันที เธอรีบเดินตรงเข้ามาเพื่อหวังที่จะตบมู่หรงเสวี่ย เธอโทษนังเด็กคนนี้ที่เปิดเผยเรื่องราวของเธอ แต่ก่อนที่มือจะได้ทำอย่างที่หวังก็มีมือใหญ่มาขวางไว้ก่อน

“คุณป้า เวลาที่คุณโกรธคุณไม่ควรทำร้ายคนอื่น คุณมีคุณสมบัติพอที่จะเข้ามาในการประชุมนี้ได้ยังไง?” ชางกวนหลินเห็นว่าเธออยากที่จะทำร้ายเหยื่อของเขา แล้วจะยอมได้ยังไงล่ะ?!

“พูดได้เลยว่าสามีเธอคงไม่ได้คิดถึงว่าจะได้มาเจอกับผู้หญิงแบบนี้”
“น่าอับอายแทนตระกูลฟางจริงๆ”
“อะไรอีกล่ะ? มันคงตามหลอนน่าดูเลย”
“…”
หวู่เหมยลี่เห็นว่าทุกคนยิ่งซุบซิบกันมากขึ้นๆ เธอกลัวว่าเดี๋ยวฟางซือเจิงจะมาได้ยินแบบนั้นเธอต้องตายแน่ๆ ในเวลานี้เธอไม่เถียงอะไรอีกเลย เธอรีบปิดหน้าปิดตาตัวเองและเดินออกไปทันที

มู่หรงเสวี่ยแสยะ เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณชางกวนหลินพอดี แต่ดันหันไปเห็นฟางฉีฮัว นี่มันอะไรกัน? ชางกวนโม่ไม่ได้สั่งสอนเขางั้นเหรอ? ทำไมล่ะ? แล้วเขาก็อยู่ที่นี่เนี่ยนะ?! เขาไม่ออกมาช่วยแม่ตัวเองด้วยซ้ำเหรอ?! ผู้ชายคนนี้เลือดเย็นจริงๆ!

เมื่อเขาเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยกำลังมองมาที่เขา เขาไม่หลบสายตาด้วยซ้ำแต่กลับจ้องมาที่เธอ สายตาไม่ได้แสดงความไม่พอใจเธอเรื่องแม่ของเขาเลยด้วยซ้ำแต่กลับแสดงท่าทางเหมือนว่าสมควรแล้ว!

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเต้นรัวและหลบจากสายตาของเขา! แล้วหันมาที่ชางกวนหลิน มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?!!
แต่ก็ต้องขอบคุณ “ขอบคุณนะคะคุณชางกวน”
“ขอบคุณฉันซะสุภาพเชียวนะ เรียกฉันว่าหลินเฉยๆก็พอ”
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขิน หลินงั้นเหรอ?! ไม่ดูสนิทไปเหรอ!? “ชางกวน…หลิน…เอ่อ…”
“ฟู่” รอยยิ้มช่างสดใสอะไรขนาดนี้ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้หัวเราะอย่างจริงใจแบบนี้
มู่หรงเสวี่ยทำปากจุ อ๊า! นี่เธอถูกแกล้งงั้นเหรอ!?
ชางกวนหลินเห็นท่าทางน่ารักนี้ รอยยิ้มไร้เดียงสาพร้อมด้วยดวงตาที่สวยงามนี้
“ไปเถอะ!”
อ่า?! “ไปไหนเหรอคะ?!”
เด็กโง่เอ๊ย! ซื่อบื้อจริงๆ! แต่ก็น่ารัก เขาชอบนะ เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย “อยากจะขอบคุณด้วยการเลี้ยงอาหารฉันไหมล่ะ? เธอจ่ายนะ”