บทที่ 52
ดวงตาสีม่วงของกวนหลิน
มู่หรงเสวี่ยนึกถึงชูหลิงหลิงซึ่งยังอยู่นอกห้องประชุม ทันใดนั้นเธอก็อารมณ์ดีและหัวเราะ “ใช่ เมื่อกี้ฉันเจอน้องสาวพี่ข้างนอกด้วยนะ” เธอสงสัยว่าพี่น้องสองคนนี้ไม่ค่อยลงรอยกันเลย
ชูอี้เสิ่นรู้สึกประหลาดใจ เขามองมู่หรงเสวี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าและพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติเลย จากนั้นเขาก็ถามว่า “เธอโอเคไหม?น้องสาวของพี่เธอเป็นคนอารมณ์ร้อน อย่าไปสนใจเลย!”
“วู้! ฉันไปทำอะไรให้พี่เนี่ย?! พี่ชูควรจะห่วงน้องสาวตัวเองก่อนไม่ใช่เหรอ?” มู่หรงเสวี่ยที่หันไปส่งรอยยิ้มและสบสายตากับแขกคนอื่นในงานสร้างความประหลาดใจให้ชูอี้เสิ่นอย่างมาก
“เธอเป็นน้องสาวต่างพ่อ ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเธอ ยังไงก็ตามถ้าต่อไปเธอมารบกวนอะไรอีก โทรหาฉันได้เลยรู้ไหม?” ชูหลิงหลิงจะต้องตามมาแก้แค้นเธออย่างแน่นอน เขากลัวว่าเธอจะทำอะไรบางอย่างกับเสี่ยวเสวี่ย
เย่เฟิงเดินตรงเข้ามาแยกชูอี้เสิ่นและมู่หรงเสวี่ยออกจากกัน พร้อมพูดอย่างเย็นชา “นายหญิงน้อยมีเราคอยดูแลอยู่แล้ว ไม่ต้องรบกวรคุณชายชูหรอกนะครับ” ไอ้หมอนี่เข้ามายุ่งกับนายหญิงน้อยตลอดทั้งวันได้ยังไง นี่ถ้านายน้อยรู้เขาต้องโดนลงโทษอีกแน่ๆ หื้อหื้อ … จากหัวหน้าทหารจะต้องถูกไล่ออกให้ไปตบแมลงวันเล่นแน่ๆ
“นายหญิงน้อยงั้นเหรอ?” ชูอี้เสิ่นประหลาดใจและหันไปหามู่หรงเสวี่ยโดยหวังว่าเธอจะสามารถช่วยอธิบายได้
มู่หรงเสวี่ยเหล่ตามองเขา เธอเกลียดคำนี้จริงๆ “อย่าไปฟังเขาเลย ฉันเป็นแฟนของชางกวนโม่ ก็เลย…” มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เย่เฟิงอย่างไม่พอใจแล้วก็หันมาขำเจื่อนๆกับชูอี้เสิ่น
ไม่ว่าเย่เฟิงจะเป็นใครแต่เมื่อเธอบอกเรื่องนี้กับเขา ชูอี้เสิ่นคาดไม่ถึงกับเรื่องนี้ เป็นไปได้ยังไง?! เขายังไม่ทันได้เริ่มเลย…เขาคิดว่าเธอยังเด็กไปสำหรับเรื่องความรัก เขาอยากจะรอให้เธอโตกว่านี้ก่อน ถ้าเขารู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่อดทนรอแล้วปล่อยให้คนอื่นมาตัดหน้าไปแต่แรกแล้ว “มู่หรงเสวี่ย เธอ…เธอ…” รักเขาไหม? ประโยคหลังที่อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป เพราะกลัวคำตอบว่าจะไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ
มู่หรงเสวี่ยสงสัย มีอะไรงั้นเหรอ?! โดยปกติแล้วถึงแม้เธอจะได้คุยกับพี่ชูอยู่บ่อยๆ แต่ส่วนมากก็จะแค่กินข้าวและช่วยเขาทำแผลเท่านั้น พวกเขาเหมือนพี่น้องกันมากกว่า เมื่อได้เห็นท่าทางตกใจของพี่ชู เป็นเพราะเขากลัวว่าเธอจะยังเด็กเกินไปหรือเปล่า?
“ฮ่าฮ่า พี่ชู อยากจะนัดเจอกันวันอื่นไหมคะ?” พี่ชูกับชางกวนโม่ต่างก็อยู่ในเมืองหลวง บางทีพวกเขาอาจจะเคยเจอกัน
ใครบ้างที่จะไม่รู้จักเขากัน! อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะได้รู้เจตนาของเขา เสี่ยวเสวี่ยเป็นคนไร้เดียงสา เขาเป็นห่วงว่าเธอจะถูกหลอกและสุดท้ายก็ต้องเจ็บปวด “ดีเลย!” ถือซะว่าใช้เวลานี้เพื่อได้อยู่ด้วยกันในเมืองหลวงแล้วกัน
เธอไม่รู้ว่าเขาอยากจะมาเจอหรือเปล่า?! ไม่รู้ว่าชางกวนโม่จะว่างหรือเปล่าด้วย?! เดี๋ยวค่อยถามแล้วกัน “โอเค แล้วฉันจะนัดเวลาอีกทีนะคะ”
หัวใจของชูอี้เสิ่นเจ็บปวด เขาไม่รู้สึกเลยว่าเสี่ยวเสวี่ยมีความสุข นี่เขาเดาผิดไปเองหรือเปล่า? พวกเขาอยู่ด้วยกันก็เพราะพวกเขาชอบกัน เสี่ยวเสวี่ยไม่ได้ถูกบังคับซะหน่อยใช่ไหม?! เขารีบยิ้มออกมาและเปลี่ยนเรื่องคุย “เสี่ยวเสวี่ย เธอรู้จักเรื่องหินหยกหรือเปล่า?”
“ก็นิดหน่อยค่ะ พอที่จะเอามาซื้อเองได้นิดหน่อย” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างถ่อมตัว ถึงแม้เธอจะแกล้งทำเป็นไม่ค่อยรู้เรื่องเพื่อที่จะไม่ให้คนอื่นสนใจมากนัก แต่สิ่งที่เธอพึ่งจริงๆคือความสามารถในการมองเห็นของเธอเอง
“สวัสดีครับคุณมู่หรง ไม่คิดเลยว่าคุณจะมาที่นี่ด้วย!” ชายหลายคนที่เคยไปงานประชุมการพนันที่เมือง A เข้ามาทักทาย ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเขาหน้าคุ้นๆ หลังจากที่คิดอยู่นานเธอก็นึกออกว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอคือใคร?!
เขาคือหลินฟางเจิง หนึ่งในผู้จัดงานของตระกูลหลิน เขาก็อยู่ด้วยตอนที่เปิดหยกจักรพรรดิ หินหยกที่ควรจะต้องถูกทิ้งแต่เมื่อเปิดออกมากลับได้ผลที่คาดไม่ถึง ระหว่างนั้นเขาก็สังเกตเห็นท่าทางของปรมาจารย์ด้านหินหยกอย่างมู่หรงเสวี่ย เด็กสาวที่อายุเพียงแค่ 15 แต่กลับไม่แสดงอาการอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบราวกับว่าเธอรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว
เขาคิดว่าเธอคงแค่โชคดีแต่เขาเห็นอาการของเธอดูน่าสงสัย ต่อมาช่างหยกคนอื่นๆก็พูดถึงครั้งที่สองที่เธอเจอหยกจักรพรรดิอีก ในเวลานั้นเขาก็จับตาดูเรื่องนี้ เขาอยากที่จะทำความรู้จักกับเธอแต่เพราะคุณชายแห่งเมืองหลวงอยู่ข้างกายเธอตลอด เขาจึงไม่กล้าที่จะเข้ามาทักทาย
อันที่จริง เขาประหลาดใจมากกว่าเดิมอีก โชคดีมากที่ครั้งนี้คุณชายแห่งเมืองหลวงไม่ได้มากับเธอด้วยไม่งั้นเขาคงไม่ได้เข้ามาทักเธอ อย่างไรก็ตามชายร่างใหญ่ปรากฏตัวที่ข้างๆสาวน้อยมู่หรงเสวี่ยซึ่งทำให้เขาต้องประเมินสถานะของตระกูลมู่หรงใหม่
ตระกูลหลิน หลินฟางเจิงเหรอ?! นี่มันอะไรกันเนี่ย?! “สวัสดีค่ะคุณลุงหลิน! ขอบคุณนะคะสำหรับบัตรเชิญ” หลินฟางเจิงเป็นญาติฝั่งพ่อของเธอ ดังนั้นเธอจึงต้องมางานนี้ด้วย
“คุณสมควรได้รับแล้ว น่าทึ่งจริงๆที่ได้เจอคุณหนูมู่หรงที่แสนสง่างามคนนี้” ถึงแม้มันจะเป็นคำชมแต่สายตากลับจ้องเขม็งมาที่มู่หรงเสวี่ย
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเต้นรัวและความรู้สึกเริ่มที่จะเปลี่ยนไป แต่ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะมีเรื่อง เธอจึงแกล้งทำเป็นสงบและตอบออกไป “ฮ่าฮ่า พูดแบบนี้ฉันก็เขินแย่สิคะ ฉันก็แค่โชคดี ไม่คิดเลยว่าคุณจะให้เกียรติฉันมากขนาดนี้”
โชคดีงั้นเหรอ?! ในครั้งแรกเขาก็เคยคิดว่าเป็นเพราะโชคดีแต่สองครั้งมันเหลือเชื่อเกินไปนะ ตระกูลมู่หรงอยากที่จะเข้ามาลงแทรกแซงในตลาดหยกของโลกหรือเปล่า? เมื่อเร็วๆนี้ร้านเป่าหยูก็เพิ่งจะเปิด ซึ่งไม่สนใจไม่ได้เลย พวกเขาตามฟูหยูของตระกูลหลินไม่ทันหรอก เขาจะต้องป้องกันไว้ก่อน ต้องจับตาดูให้ดี เขาหยิบนามบัตรออกมา
“คุณมู่หรง นี่นามบัตรของผม ในอนาคตถ้าอยากที่จะขายหยกช่วยติดต่อผมด้วยนะครับ ผมยินดีจะให้ราคาอย่างงามเลย” อันที่จริงเขาอยากที่จะได้หยกจักรพรรดิก้อนล่าสุดด้วย แต่มันดันเป็นชิ้นโปรดของคุณชาย
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะพร้อมรับนามบัตรมา “โอเคค่ะคุณลุงหลิน”
หลังจากนั้นหลินฟางเจิงก็เดินจากไป ยังไงซะในงานก็ยังมีคนสำคัญอยู่อีกเยอะ เขาจะมัวมาเสียเวลากับเด็กสาวคนเดียวไม่ได้
ชูอี้เสิ่นที่ยืนมองเงียบๆอยู่ด้านข้างได้ยินเรื่องทั้งหมด ดูเหมือนว่ามู่หรงเสวี่ยจะไม่ได้แค่พอรู้เรื่องหินหยกนิดหน่อยอย่างที่บอกแล้ว
“มู่หรงเสวี่ย ไปดูหินหยกกันเถอะ”
“ได้เลย!” เธอเองก็อยากที่จะพูดแบบนั้น เพราะเธอมาที่นี่เพื่อมาดูหยก
เรื่องคุณภาพของหินหยกในงานการประชุมนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย มันมีแต่หยกเกรดสูงๆทั้งนั้นเลย มู่หรงเสวี่ยต้องกดความตื่นเต้นในหัวใจเอาไว้และค่อยๆเลือก
ชูอี้เสิ่น ลูกชายคนโตของตระกูลชูก็เดินเกมและเดินห่างออกไปจากเสี่ยวเสวี่ย 2-3 เมตรเพื่อเลือกดูของเหมือนกัน เขาเป็นลูกคนโตของตระกูลชูและมีภารกิจที่จะต้องจัดการที่นี่เหมือนกัน ในเมื่อเขาเพิ่งจะกลับเข้ามาในตระกูลชู เขามีเรื่องที่ต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลชู
แล้วอยู่ดีๆมู่หรงเสวี่ยก็เห็นหินหยกชิ้นหนึ่งที่เปล่งประกายลำแสงคริสทัลใสสีม่วงจนอยากที่จะเอื้อมมือออกไปหยิบมาแต่ก็เจอคนที่เร็วกกว่าเธอตัดหน้าไป มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจมาก เธอหันหัวกลับไปและเห็นชายอายุประมาณ 22 พร้อมใบหน้าที่หล่อเหล่า เธอไม่รู้ว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าหน้าของเขาคล้ายกับชางกวนโม่อย่างมาก เพียงแต่ว่าชายคนตรงหน้าเธอมีดวงตาคู่สวยสีม่วง ซึ่งดูเหมือนคุณชายในหนังการ์ตูนมากกว่า
เธอเห็นชายคนนั้นยิ้ม ทันใดนั้นดอกไม้ก็เบ่งบานกลางใจเธอ “ชอบสีม่วงเหรอ? เอ้านี่” เขาส่งหินหยกที่อยู่ในมือให้เธอ
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจ หมายความว่ายังไง? เขารู้ว่ามันเป็นสีม่วงงั้นเหรอ? เหมือนกับเธองั้นเหรอ?!!! มู่หรงเสวี่ยงงมากและจ้องเขาอยู่นาน!
“ฟู่! มีอะไรเหรอ? มองฉันแบบนั้นทำไม? เธอชอบหินหยกชิ้นนี้ไม่ใช่เหรอ?!” ชางกวนหลินมองมู่หรงเสวี่ย รอยยิ้มบนใบหน้าเขายิ่งเปล่งประกายมากขึ้นไปอีก อ่า! น่าแปลกอะไรขนาดนี้!!! มู่หรงเสวี่ยมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายและเธออดไม่ได้ที่จะหน้าแดงระเรื่อ เธอยกมือปฏิเสธและพูดออกมาว่า “ไม่ค่ะ ฉันแค่ดูเฉยๆ แต่คุณหมายความว่ายังไงที่บอกว่าสีม่วง” มู่หรงเสวี่ยแกล้งทำเป็นไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะสามารถมองทะลุได้จริงหรือเปล่า เธอจะเปิดเผยเรื่องที่เธอสามารถมองทะลุไม่ได้ อีกอย่างเธอรู้กฎในโลกของการพนันดี หินหยกจะเป็นของคนแรกที่จับได้ ไม่งั้นอีกฝ่ายจะต้องยอมยกให้เอง
แค่มองงั้นเหรอ?! เขาแค่สังเกตเธออยู่นานแล้ว ตอนแรกเขารู้สึกสนใจผู้หญิงที่อยู่ดีๆก็มาอยู่ข้างกายชางกวนโม่ผู้ที่ไม่เคยยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาอยู่ใกล้ๆได้เลย อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าหินหยกทุกชิ้นที่ผู้หญิงคนนี้จับเป็นชิ้นที่ดีทั้งนั้นเลย ซึ่งมันน่าสนใจอย่างมาก
ตั้งแต่เกิดแล้วเขามีสายตาที่แตกต่างออกไป เขาสามารถมองเห็นก๊าซในหยกได้ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นหยกขนาดใหญ่แค่ไหน แต่เขาก็ยืนยันได้ว่าข้างในหินหยกมีของดีแน่นอน นี่มันดีมาก ดังนั้นเมื่อเขาเห็นมู่หรงเสวี่ยเลือกหินหยก เขาก็ประหลาดใจว่าในโลกนี้มีคนที่เป็นเหมือนเขาด้วย
ไม่รู้ว่าทำไมชางกวนหลินถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ครอบครัวรู้เลย แต่อยู่ดีๆถึงอยากที่จะบอกให้เธอรู้!? แบบนี้เรียกว่าอะไรนะ? เหมาะสมกันงั้นเหรอ!
เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่คิดแบบนี้ด้วยเลย?! โอ้! แกล้งโง่งั้นเหรอ?! ไม่เป็นไร เขารู้อยู่แล้ว เขาเข้าใจดีว่าทำไมเธอถึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ ก็เหมือนกับเขาแหละ
หลังจากที่ได้เห็นบอดี้การ์ดมือหนึ่งของชางกวนโม่ เย่เฟิงแล้ว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาซึ่งดูเหมือนจะเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก! “สวัสดี ฉันชางกวนหลิน ขอเป็นเพื่อนด้วยได้ไหม?”
“ชางกวนหลินเหรอ?! คุณเป็นอะไรกับชางกวนโม่เหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ฉันเป็นน้องชายของเขา” เพียงแค่ว่าพี่ชายไม่อยากที่จะเจอหน้าเขา
“อ่า ฉันมู่หรงเสวี่ย ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” กลายเป็นว่าเขาคือน้องชายของชางกวนโม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาก็มีความสามารถในการมองเห็นด้วยเหมือนกัน เธอไม่รู้ว่าชางกวนโม่มีด้วยเหมือนกันหรือเปล่า?! เคยได้ยินว่าคนเราจะเลือกคบคนที่คล้ายๆกัน เรื่องผู้หญิงที่อยู่ข้างกายก็ด้วยงั้นเหรอ?! แต่ยังไงซะพวกเขาก็เหมือนกันหมด!
“ฉันรู้จักเธอแล้ว ขอเรียกว่าเสี่ยวเสวี่ยได้ไหม? พี่ชายฉันเรียกเธอแบบนั้น”
“ค่ะ ได้เลยค่ะ” มันก็แค่ชื่อ
“ว่าแต่เชิญตามสบายเลยนะคะ ฉันแค่อยากจะไปดูตรงโน้นหน่อย” ไม่รู้ทำไมแต่มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่อันตรายมากๆ เลยไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับเขามากนักเลยหาข้ออ้างที่จะแยกออกมา
อย่างไรก็ตามกระโปรงของมู่หรงเสวี่ยยาวเกินไป เมื่อเธอรีบลุกขึ้นก็เลยเซ่ไปหน่อย เธอไม่ได้ยืนให้มั่นคงและเกือบที่จะล้มลงไปกองกับพื้น
เย่เฟิงแค่อยากที่จะช่วยพยุงมู่หรงเสวี่ยแต่ชางกวนหลินไวกว่าจึงกอดเข้าที่เอวของมู่หรงเสวี่ย ร่างกายของพวกเขาแนบชิดกัน ไม่เหมือนชางกวนโม่ ชางกวนหลินมีกลิ่นจางๆของมินท์ซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
เย่เฟิงช่วยมู่หรงเสวี่ยและรีบปล่อยมือจากเธอทันที “ขอโทษครับ คุณไม่เป็นไรนะครับ!”
เขาไม่ได้มีท่าทางรุ่มร่ามอะไรซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยชอบเขาขึ้นมาก “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะ ฉันไปก่อนนะคะ” ครั้งนี้พร้อมรอยยิ้มอย่างจริงใจ
ชางกวนหลินยิ้มพร้อมพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากหยุดเธอไว้ บางครั้งมันก็ไม่ดีเท่าไรถ้าจะทำให้ไก่ตื่น ค่อยๆลงมือไม่ต้องรีบ ตามแบบของตระกูลชางกวน เขาชอบที่จะทำอะไรช้าๆ การได้เห็นคนอื่นตื่นตกใจทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า!
เย่เฟิงเดินออกมาพร้อมมู่หรงเสวี่ย เธอไม่เห็นท่าทางแปลกๆของชางกวนหลิน ยังไงซะเธอก็มีการ์ดดูแล ถึงแม้ชางกวนหลินจะดูใจดีและทำให้ผู้ใหญ่หลายคนในตระกูลหลงเชื่อมาแล้ว เขาเคนติดตามคุณชาย เขารู้ดีว่าชางกวนหลินโหดเหี้ยมและเคยโจมตีคุณชายมา 10 ครั้งแล้วด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายเขาก็คงถูกฆ่าตายไปแล้ว
ตอนนี้เขาเข้าหาคุณมู่หรงเสวี่ยอย่างมีเจตนา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่รู้สึกไม่ค่อยดีและต้องรายงานเรื่องนี้กับคุณชาย
มู่หรงเสวี่ยที่เดินมาอีกฝั่งเพียงลำพังในที่สุดก็รู้สึกโล่งอก แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมที่จะโทรหาพี่ชู เธอรีบกดโทรศัพท์โทรหาและบอกว่าเธอเดินที่อีกฝั่งและให้เขาเดิมตามมา หลังจากที่คุยกันไม่กี่คำเธอก็วางสายไป รุ้สึกว่าทั้งโลกเงียบไปหมด มู่หรงเสวี่ยเริ่มที่จะเลือกหินหยกอย่างผ่อนคลายแต่เธอไม่กล้าที่จะมองชิ้นที่มีหยกทุกก้อน ถึงแม้ชิ้นที่ไม่มีหยกแต่เธอก็แกล้งทำเป็นสนใจมัน มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเย่เฟิงที่ยืนอยู่ข้างเสาและไม่สนใจว่าเขาจะโทรไปรายงานอะไรเจ้านายบ้าง ยังไงตอนนี้เธอก็ไม่ว่างอยู่แล้ว! จึงรีบเดินหน้าและไม่อยากที่จะเสียเวลาอีก!
มู่หรงเสวี่ยเลือกหยกเกรดสูงๆหลายชิ้นและเลือกหยกชิ้นเล็กๆอีกนิดหน่อยมารวมกันและเดินเอาไปเก็บที่ตู้เก็บของส่วนบุคคล ช่างเป็นการประชุมหินการพนันระหว่างประเทศที่ใหญ่จริงๆถึงขนาดมีห้องพิเศษไว้ให้สำหรับแขกวีไอพีแต่ละคนด้วย ซึ่งจะมีกุญแจเพียงแค่ดอกเดียวและต้องใช้ลายนิ้วมือเพื่อที่จะสแกนเปิดประตูด้วย
การประชุมหินการพนันจะจัดไปตลอดทั้งเดือน เธอจึงไม่รีบร้อน วันนี้เธอต้องอกสั่นขวัญแขวนไปแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยและอยากที่จะกลับไปพัก เธอไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยซ้ำ เธอเดินตรงไปที่ห้องพิเศษของแขกในงาน ห้องพักแขกจะถูกคิดราคาต่างหาก เมื่อเช้านี้ชางกวนโม่จองห้องไว้แล้ว
มู่หรงเสวี่ยพร้อมกุญแจห้องเดินตรงขึ้นไปด้านบนเตรียมพร้อมที่จะพัก และเย่เฟิงก็อยู่ข้างนอก มู่หรงเสวี่ยบอกให้เขากลับไปพักแต่เย่เฟิงบอกว่านี้เป็นหน้าที่ของเขา มู่หรงเสวี่ยจึงปล่อยให้เขายืนคุ้มกันอยู่หน้าห้อง
มู่หรงเสวี่ยเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดนอนและเดินตรงไปนอนที่เตียง ช่วงนี้เธอไม่มีโอกาสได้เข้าไปในมิติลับเลย เธอถูกคนล้อมรอบตลอด 24 ชั่วโมงซึ่งไม่ค่อยสะดวกเท่าไร เธอไม่กล้าที่จะเข้าไปตามอำเภอใจ ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยเธอคงไม่มีความสามารถพอที่จะสู้ได้ หลังจากที่กลับมาเกิดใหม่เธอรู้สึกเหนื่อยกว่าเดิมมาก ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่เธอยังทำไม่เสร็จซะที เธอจัดการไม่ได้สักเรื่อง
ไม่ช้ามู่หรงเสวี่ยก็หลับไป เวลาผ่านไปนานอยู่ดีๆก็มีใครบางคนมานอนข้างๆเธอและเธอไม่รู้ตัวเลย