ตอนที่ 1610 แรงกดขั้นที่เก้า

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ท่ามกลางลำแสงสีเทาชนต่างเผ่าผมสีเขียวรู้สึกว่าลำแสงวิญญาณที่ปกป้องร่างแข็งตัว ชั่วขณะนั้นก็ไม่อาจขยับร่างกายได้ ยามนี้มือยักษ์สีเทาพลันกดลงมา

 

 

เห็นเพียงว่าเหนือศีรษะดำทะมึน บรรยากาศรอบๆ ตึงเครียด ชนต่างเผ่านี้ไม่แม้แต่จะหายใจได้ จากนั้นพลังมหาศาลที่ไร้การต้านทานก็กดลงมาที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขา

 

 

เสียง “ครืน” ดังขึ้น ชนต่างเผ่าผมสีเขียวไม่อาจต่อต้านพลังมหาศาลราวกับภูเขาไท่ซานกดลงมาได้ ขณะที่เส้นเอ็นต่างๆ อ่อนแรง หัวเข่าเป็นเหน็บชา ชั่วครู่ก็คุกเข่าลงไปกับพื้น

 

 

ขณะที่มือยักษ์สีเทาอยู่ห่างจากศีรษะของเขาไปครึ่งฉื่อ กดลงมาบนลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้แน่น ก็ทำให้เขาไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เลยสักกระผีกริ้น

 

 

ชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีสีหน้าซีดขาวในตอนแรก ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

 

 

ไม่รู้ว่าเขาโคจรพลังยุทธ์มากเกินไป หรือว่าอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีกันแน่

 

 

ชั้นสามทั้งชั้นเงียบสงัด

 

 

ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรท้องที่ หรือว่าผู้ที่มาจากภายนอก ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

 

 

ชายชราแซ่เยี่ยนหนึ่งในนั้นเผยสีหน้ายินดีออกมาท่ามกลางความตกตะลึง

 

 

ชนต่างเผ่าแซ่กุยที่อยู่ไกลออกไปหางตากระตุก สายตาที่มองมายังหานลี่เปลี่ยนเป็นเย็นชาดุจน้ำแข็ง

 

 

เซียนเซียนหญิงสาวเผ่าผลึกผู้นี้กลับหน้าเปลี่ยนสีไปหลายครั้ง

 

 

แม้ว่านางจะรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ของหานลี่นั้นสูงส่ง แต่แค่ลงมือก็กดคู่ต่อสู้ที่ระดับขั้นสูงกว่าตนสองขั้นได้ทันที และยังอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางเป็นอย่างมาก ทำให้นางรู้สึกสับสนในใจ

 

 

เย่ว์จงเองก็ตกตะลึงไม่น้อย มองหานลี่ด้วยความตกตะลึงไม่ได้ปริปากพูดอะไร

 

 

ส่วนหญิงสาวสวมชุดชาววังพร้อมพวกและคนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง

 

 

หานลี่ทำเป็นมองไม่เห็นทุกอย่าง แค่มองไปยังพื้นดินฝั่งตรงข้าม กระดูกทั่วเรือนกายของชนต่างเผ่าผมสีเขียวเปล่งเสียง “กร๊อบแกร๊บ” ออกมา

 

 

เขาหรี่ตาทั้งสองข้างลง!

 

 

หลังจากคนผู้นี้ถูกมือลำแสงยักษ์กดจนต้องคุกเข่า สายตาที่มองมาทางหานลี่นอกจากความอับอายแล้ว ยังเผยความโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่งออกมาด้วย ในเวลาเดียวกันลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างก็สั่นคลอนไปมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนอยากจะฝืนยืนขึ้น

 

 

หานลี่มุมปากกระตุก แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา

 

 

ฝ่ามือสีดำที่แต่เดิมยกขึ้น พลันพลิกฝ่ามือในทันที

 

 

ชั่วขณะนั้นมือยักษ์สีเทาที่เดิมกดอยู่บนร่างของชนต่างเผ่าผมสีเขียวพลันพลิกขยับนิ้วทั้งห้าในเวลาเดียวกัน

 

 

ภูเขาขนาดสองสามจั้งลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในทันที จากนั้นก็กดลงมาด้านล่าง

 

 

เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น!

 

 

ภูเขาลูกนี้เป็นสีดำสนิทท่าทางดูไม่สะดุดตาเลยสักนิด แต่เมื่อสัมผัสกันไม่เพียงจะทำให้ลำแสงวิญญาณที่ปกคลุมร่างของชนต่างเผ่าผมสีเขียวสลายออก ยังทำให้ชนต่างเผ่าที่เดิมคุกเข่าอยู่กับพื้นล้มลงไปบนพื้น

 

 

จากนั้นภูเขาลูกน้อยพลันพลิ้วไหว ความสูงเพิ่มขึ้นจนมีขนาดสามสี่จั้ง เปล่งเสียงอึกทึกออกมาพลางกดชนต่างเผ่าผมสีเขียวเอาไว้ใต้ภูเขา แล้วเผยออกมาเพียงครึ่งหนึ่งของศีรษะ

 

 

และกระดานชั้นบนของตึกที่เดิมทีดูเหมือนธรรมดาๆ ก็สั่นคลอนอย่างรุนแรง จากนั้นพื้นดินและกำแพงทั้งสี่ก็มีลำแสงสีขาวปรากฏขึ้น อักขระประหลาดทะลักออกมาจากทั้งสี่ทิศแปดด้านในเวลาเดียวกัน จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

 

 

ชั่วพริบตากระดานชั้นบนของตึกก็กลับมาเป็นปกติ

 

 

คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะวางเขตอาคมขนาดยักษ์ที่มหัศจรรย์มากเอาไว้ มิเช่นนั้นการต่อสู้เมื่อครู่ แค่พลังมหาศาลที่ปะทะกัน ก็ทำลายทั้งหอคอยได้ตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

 

 

“ตอนนี้ข้าน้อยมีตัวเลือกที่สามแล้วหรือยัง” หานลี่หดแขนกลับมา มองชนต่างเผ่าที่อยู่ใต้ภูเขาขนาดย่อมสีดำ แล้วเอ่ยถามอย่างราบเรียบ

 

 

สิ่งมีชีวิตระดับหลอมสูญคนหนึ่ง หากประมือกันข้างนอก ถ้าหานลี่ไม่ใช่เครื่องมือสังหารสองสามชนิด แม้ว่าจะโจมตีอีกฝ่ายให้พ่ายแพ้ได้แต่ก็ต้องออกแรงสักหน่อย

 

 

แต่ชนต่างเผ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ มั่นใจว่ามีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ในสถานที่ที่คับแคบเช่นนี้กลับต่อสู้กับเขาโดยไม่คิดหลบหลีก

 

 

เช่นนั้นภายใต้พลังมหาศาลของหานลี่ประกอบกับเคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจโจมตีได้

 

 

เมื่อคนผู้นี้รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ยามที่คิดจะหนีหรือว่าอยากควบคุมสมบัติชิ้นอื่นนั้น แน่นอนว่าย่อมสายไปแล้ว ภายใต้แรงกดของหานลี่ประกอบกับลำแสงเทวะดูดปราณที่สำแดงออกมา ก็ทำได้เพียงรักษาชีวิตเอาไว้เท่านั้น ไหนเลยจะมีแรงทำเรื่องอื่น

 

 

เมื่อเห็นว่าสหายร่วมวิถีของตนเองถูกหานลี่ควบคุมได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าของบุรุษแซ่กุยที่อยู่ไกลออกไปก็มีลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป กลับเป็นคิ้วทั้งสองที่เลิกขึ้น กลิ่นอายโลหิตวนล้อมรอบกายเขา ชั่วครู่ก็เปลี่ยนเป็นเข้มข้น

 

 

เขาหยัดกายยืนขึ้นอย่างแช่มช้า ดูเหมือนว่าจะอยากเดินมาทางหานลี่

 

 

หญิงสาวสวมชุดวางวังและพวกเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าตกตะลึงระคนดีใจก็เปลี่ยนเป็นฉงน

 

 

หลังจากที่เห็นหานลี่สำแดงอิทธิฤทธิ์เมื่อครู่ และยังมีท่าทีไม่แยแสเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องมีที่พึ่งพิงแน่นอน

 

 

ชายชราแซ่เยี่ยนมองบุรุษแซ่กุย สองตาหรี่ลงเล็กน้อย

 

 

กลับเป็นหานลี่ที่หันไปบอกมองคนผู้นั้น ใบหน้าไร้ซึ่งความประหลาดใจ

 

 

เมื่อเห็นบุรุษแซ่กุยก้าวเข้ามา บรรยากาศในหอคอยก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียด

 

 

คนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นพวกกับทั้งสองฝั่งอีกสิบกว่าคนพลันเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น มองฉากการปะทะที่ดุเดือดตรงหน้าด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ

 

 

“สหายเก็บสมบัติไปเถิด ที่นี่คือหอเมฆาอัสนี ไม่อนุญาตให้ลงมือสู้รบกัน หากสหายทั้งสองอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ก็ไปที่หอการประลองของหมู่บ้านจะดีกว่า มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะถูกยึดคุณสมบัติในการเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง” เสียงบุรุษแปลกหูคนหนึ่งดังมาจากหัวบันไดที่ใช้ขึ้นไปบนชั้นสี่ น้ำเสียงเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง

 

 

หานลี่ได้ฟังคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี บุรุษแซ่กุยที่อยู่ตรงข้ามเองก็หยุดฝีเท้า

 

 

“เป็น ‘ผู้ดูแลหมิ่น’ ที่มาใหม่ สหายหานหยุดก่อนเถิด” ชายชราแซ่เยี่ยนแววตาเปล่งประกาย รีบร้อนเอ่ยปากชักจูง

 

 

หานลี่เลิกคิ้วขึ้น มองไปยังชนต่างเผ่าผมสีเงินที่ภูเขากดเอาไว้แวบหนึ่ง หัวเราะต่ำๆ ออกมา แล้วกลับใช้มือหนึ่งตะปบไปที่ภูเขาขนาดเล็ก

 

 

เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้น ภูเขาขนาดเล็กสีดำเปล่งแสงสว่างวาบท่ามกลางม่านลำแสงสีเทา แล้วสลายหายไปราวกับฟองอากาศ

 

 

ชนต่างเผ่าที่เดิมทีถูกกดอยู่กับพื้นพลันยืนขึ้น ใบหน้าเป็นสีแดงราวกับโลหิต คำรามด้วยเสียงต่ำๆ ออกมา อ้าปากออก ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเหลืองพลันปรากฏขึ้นรางๆ หมายจะโจมตีไปหาหานลี่

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้นไม่รอให้เขามีการเคลื่อนไหวใดๆ กลับหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชาออกมา

 

 

“หยุด! เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา กลับมาเถิด” บุรุษแซ่กุยเปล่งเสียงเย็นชา คาดไม่ถึงว่าจะใช้น้ำเสียงออกคำสั่งเอ่ยขึ้น

 

 

“เมื่อครู่เขาฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่ตั้งตัว ถึงได้ทำสำเร็จ! ข้าจะ…” ภายใต้ความโกรธแค้นของชนต่างเผ่าผมสีเขียว กลับมีท่าทีไม่ฟังอะไรทั้งนั้น

 

 

“อันใด เจ้าคิดว่าข้าพูดผิดไปงั้นหรือ?” บุรุษแซ่กุยเห็นเหตุการณ์นี้ พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยด้วยความเย็นเยียบ

 

 

น้ำเสียงไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้าโสตของชนต่างเผ่าผมสีเขียว กลับทำให้เขาสั่นสะท้าน เก็บสีหน้าโกรธแค้นกลับไป แล้วเอ่ยคำว่า “มิกล้า” ออกมาด้วยความหวาดกลัว

 

 

จากนั้นชนต่างเผ่าผมสีเขียวก็ถลึงตาใส่หานลี่แวบหนึ่ง แล้วเดินกลับที่เดิมจริงๆ และนั่งสมาธิลงบนฟูกด้วยสีหน้าบูดบึ้งอีกครั้ง

 

 

“ในเมื่อสหายผู้นี้ตั้งมั่นว่าจะไม่ปล่อยสหายเย่ว์มา เช่นนั้นก็ช่างเถิด ฟังจากคำพูดของพวกเจ้าเมื่อครู่ เหล่าสหายไม่ได้มาที่นี่เพราะเห็ดเซียน เช่นนั้นก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับพวกเรา ข้าน้อยเองก็ไมอ่ยากลงมือกับผู้ใดให้เสียพลังลมปราณอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ครั้งหน้าหากนายท่านยังกล้าขวางทางข้า มันไม่จบง่ายๆ แน่!” บุรุษแซ่กุยเอ่ยอย่างเข้มงวด จากนั้นก็นั่งลงเช่นกัน

 

 

หานลี่ได้ฟังคำพูดข่มขู่ของอีกฝ่าย ก็แค่ลูบใต้คางไปมา ฉีกยิ้มไม่ปริปาก

 

 

ชายชราและพวกที่อยู่ด้านข้างได้ฟัง ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาจริงๆ

 

 

หญิงสาวสวมชุดชาวหวังฉีกยิ้มเบิกบานให้หานลี่ ยามที่คิดจะเอ่ยปากอะไรนั้น ตรงบันไดก็มีเสียงของ ‘ผู้แลหมิ่น’ ดังมา

 

 

“นอกจากระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่แปดและเก้าแล้ว คนที่เหลือที่อยากเข้าไปในเทือกเขามารสีทองต้องผ่านการทดสอบ หากอยากเข้าไปในเทือกเขามารสีทอง ตอนนี้ก็ขึ้นมาได้แล้ว ครั้งหนึ่งขึ้นมาได้เพียงสองคนเท่านั้น!”

 

 

คำพูดของผู้ดูแลหมิ่นผู้นี้ราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำให้ผู้ที่รวมตัวกันอยู่เกิดเสียงอื้ออึ้งอึ้ง

 

 

หลังจากที่ทุกคนมองสบตากันแวบหนึ่งแล้ว ก็มีคนสองคนแย่งกันเดินไปที่บันไดตามลำดับ ชั่วพริบตาก็หายวับไปตรงหัวบันได

 

 

ทั้งสองคนคนหนึ่งอยู่ในระดับเทพแปลงขั้นกลาง คนหนึ่งระดับสูญสุญตาขั้นต้น ล้วนไม่ได้เป็นพวกของชายชราและบุรุษแซ่กุย

 

 

คนที่เหลือไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ใบหน้าก็ฉายแววเสียใจในภายหลัง

 

 

ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ได้ร่มขจัดอัสนีมาก่อน แน่นอนว่าย่อมมีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสีย

 

 

ยามนี้คนที่เหลือก็ทำได้เพียงรออยู่ที่เดิมอย่างซื่อๆ บางคนจับจ้องการเคลื่อนไหวของชั้นบน หวังว่าจะได้ยินอะไรบ้าง

 

 

แต่ไม่รู้ว่าชั้นบนวางเขตอาคมเอาไว้ หรือว่าการทดสอบนั้นเงียบเชียบ ชั้นบนนั้นเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

 

 

นี่จึงทำให้คนเหล่านี้รู้สึกหมดหวัง

 

 

เวลาของการทดสอบไม่นับว่ายาวนั้น แต่ก็ไม่สั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ถึงได้มีคนหนึ่งเดินลงมา

 

 

แววตาของทุกคนหดเล็กลง แล้วทั้งหมดพลันกวาดสายตาไป

 

 

เห็นเพียงเสื้อผ้าของคนผู้นั้นฉีกขาด ราวกับว่ามีร่องรอยโลหิตอยู่จางๆ สองสามจุด คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางเหมือนไปสู้กับอะไรสักอย่างมา

 

 

“สหายจู้ เจ้าทดสอบเป็นอย่างไร ได้ร่มขจัดอัสนีมาหรือไม่!” ผู้ที่มาจากภายนอกซึ่งสนิทสนมกับคนผู้นี้ทนไม่ไหวพลางหยัดกายลุกขึ้นซักถาม

 

 

“ผ่านมันก็ผ่าน! แต่การทดสอบเช่นนี้ ผู้ดูแลหมิ่นสั่งไว้ว่าห้ามแพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้นจะรีบร่วมขจัดอัสนี! และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ ปกติแล้วคนที่ผ่าน ก็ต้องออกไปจากที่นี่ทันที ข้าน้อยก็จะไม่พูดมาก ขอตัวก่อน “

 

 

บุรุษผู้นี้ดูแล้วมีท่าทีจนตรอก ปากกลับเอ่ยอย่างคลุมเครือออกมา แล้วลงบันไดไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

ผู้ถามได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น ก็ไม่สะดวกจะบีบเคล้นซักถามอะไรอีก จึงทำได้เพียงเผยสีหน้าโกรธแค้นออกมาแล้วนั่งลงอีกครั้ง

 

 

หลังจากรออีกหนึ่งมื้ออาหาร อีกคนหนึ่งก็เดินคอตกลงมาจากชั้นสี่

 

 

ไม่เหมือนกับคนก่อนหน้า คนผู้นี้มีพลังยุทธ์ต่ำกว่าเรือนกายไร้ซึ่งการบาดเจ็บ แต่กลับมีสีหน้าโศกเศร้า

 

 

ทว่าคนผู้นี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ชั้นสาม แต่กลับเดินลงไปทันที

 

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ ยามนั้นกลับมีคนรีบร้อนจะขึ้นไป ล้วนใช้สายตาหยั่งเชิงมองพิจารณาคนอื่นๆ

 

 

เห็นได้ชัดว่าคิดเอาไว้แล้วว่าจะให้คนอื่นๆ ขึ้นไปทดสอบก่อน

 

 

“ขึ้นมาอีกสองคน!” บนบันไดมีเสียงเร่งเร้าของผู้ดูแลหมิ่นดังมา

 

 

หานลี่กวาดตาไปรอบๆ ด้าน เห็นว่ายังไม่มีคนยืนขึ้น ทันใดนั้นก็หยักมุมปากขึ้น ยืนขึ้นพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ แล้วตรงไปที่หัวบันได

 

 

ทว่าเมื่อเขาเดินออกมาได้สองสามก้าว ก็ได้เสียงฝีเท้าที่ด้านหลัง อีกคนเดินตามเข้ามา

 

 

“เหตุใดสหายถึงรีบร้อนถึงเพียงนี้ รออีกประเดี๋ยวค่อยขึ้นไปก็ไม่สาย” หานลี่ดูเหมือนว่าจะรู้ว่าผู้ที่อยู่ด้านหลังคือใคร จึงเอ่ยขึ้นโดยไม่แม้แต่จะหันหัวกลับมา

 

 

“ท่านอาวุโสโปรดวางใจ! เรื่องของการทดสอบ ข้าเคยสอบถามมาแล้ว และยังเตรียมตัวมาบ้าง” ด้านหลังมีเสียงไพเราะดังขึ้น นั่นก็คือหญิงสาวเผ่าผลึกนามว่าเซียนเซียนผู้นี้