ตอนที่ 1611 เข้ามารสีทองตอนต้น

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ดูแล้วก็คงมีแผนการอยู่แล้ว กลับเป็นผู้แซ่หานที่คิดมากไป” หานลี่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่คิดจะหยุดพักเลยสักนิด

 

 

เซียนเซียนเม้มปากฉีกยิ้ม เดินนวยนาดตามไปด้านหลัง

 

 

ตรงหัวบันไดชั้นสี่มีม่านลำแสงสีแดงอ่อนชั้นหนึ่งกั้นอยู่ตรงนั้น

 

 

หานลี่หัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา ร่างกายพลิ้วไหว ทะลวงผ่านม่านลำแสงไป

 

 

จากนั้นเบื้องหน้าพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ปรากฏขึ้นบนพื้นที่ที่มีท้องฟ้าสีฟ้า

 

 

ไม่ว่าเหนือศีรษะหรือกำแพงทั้งสี่ ล้วนเป็นสีสันแวววาว และมีลำแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นลางๆ

 

 

ใต้เท้ามีเขตอาคมยักษ์สีขาวแห่งหนึ่ง แทบจะปกคลุมพื้นที่ทั้งสิบในระยะยี่สิบกว่าจั้งเอาไว้ ตรงใจกลางของเขตอาคม คนคนหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น และพิจารณาหานลี่และพวกทั้งสอง

 

 

หานลี่แววตาเปล่งประกาย มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

 

 

เป็นบุรุษสวมชุดนักปราชญ์ใบหน้าเข้มงวดคนหนึ่ง มือหนึ่งถือคัมภีร์สีเหลืองเอาไว้ อีกมือหนึ่งกลับถือจานอาคมสีทองอ่อนเอาไว้ พลังยุทธ์อยู่ในระดับสูญสุญตาขั้นสุดยอด

 

 

“ที่แท้ก็สหายนี่เอง!” นักปราชญ์เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาขณะเอ่ย

 

 

“อันใด สหายรู้จักข้าน้อยหรือ?” หานลี่ถามกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

 

 

“ต่อให้ก่อนหน้านี้ไม่รู้จัก แต่สหายลงมือที่ด้านล่างนั้น ผู้แซ่หมิ่นจะไม่รู้จักได้อย่างไร สหายมีพลังกดขั้นที่เก้าได้ นับว่ามีอิทธิฤทธิ์มากนัก” นักปราชญ์เอ่ยพร้อมส่งเสียงจุ๊ๆ

 

 

“สหายชมเกินไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะทดสอบคุณสมบัติของข้าน้อยอย่างไร?” หานลี่เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

“ทดสอบ? จากอิทธิฤทธิ์ของสหาย ยังต้องทดสอบอะไรอีก แน่นอนว่าต้องผ่านอยู่แล้ว!” นักปราชญ์หัวเราะร่าออกมา

 

 

เมื่อได้ยินคำนี้ หานลี่และเซียนเซียนพลันตกตะลึง

 

 

“อันใดสหายคิดว่าข้าน้อยเป็นผู้ที่ไม่รู้จักพลิกแพลงหรือ? ในเมื่อระดับแปดและเก้าด้านล่างไม่ต้องทำการทดสอบ นายท่านเองก็ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไร รับเอาไว้ นี่คือร่มขจัดอัสนีของสหาย!” นักปราชญ์เพิ่งจะเอ่ยจบ คัมภีร์ในมือก็เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ ของสิ่งหนึ่งบินออกมาจากด้านบน ตรงมาหาหานลี่

 

 

หานลี่ใช้มือหนึ่งตะปบไปกลางอากาศ คว้าของที่บินมาไว้ในมือ แล้วรู้สึกเย็นยะเยือกเล็กน้อย

 

 

ก้มหน้าลงมองเป็นร่มคันเล็กสีเงินอ่อนคันหนึ่ง มีขนาดเพียงสองสามชุ่น แต่กลับวิจิตรงดงาม ผิวของมันมีอักขระสลักอยู่เต็มไปหมด

 

 

“ข้าจำต้องเตือนสหายสักหน่อย ร่มขจัดอัสนีต้องยอมรับเจ้าของต่อหน้าข้า เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นแย่งไป และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากร่มรับเป็นนายแล้ว ก็มีประสิทธิภาพเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อหมดเวลาก็จะหมดประสิทธิภาพไป นั่นหมายความว่าสหายต้องออกมาจากเทือกเขาภายในหนึ่งเดือน มิเช่นนั้นก็จะถูกไอมารด้านในกัดกิน กลายเป็นมารไปจริงๆ” ผู้ดูแลหมิ่นผู้นี้กลับรู้หน้าที่เป็นอย่างมาก เขาเอ่ยอย่างละเอียดรอบคอบ

 

 

“ขอบพระคุณสหายที่เตือน” หานลี่พยักหน้า โยนร่มคันเล็กในมือขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็อ้าปากออก

 

 

พ่นโลหิตบริสุทธิ์ที่กลายเป็นหมอกโลหิตออกมา ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มร่มคันเล็กสีเงินเอาไว้

 

 

จากนั้นหานลี่พลันบริกรรมคาถา สองมือพลันร่ายอาคม นิ้วทั้งสิบร่ายไปกลางอากาศไม่หยุด

 

 

อาคมหลากสีสันเป็นสายๆ ทะลักออกมา ทยอยกันจมหายเข้าไปในหมอกโลหิต

 

 

ร่มคันเล็กสีเงินขยายใหญ่ขึ้น ชั่วพริบตาก็มีขนาดสามฉื่อ

 

 

ในเวลาเดียวกันท่ามกลางหมอกโลหิตก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น หมอกรวมตัวกันกลายเป็นอักขระสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน วนล้อมรอบร่มสีเงินไปมา แล้วเปล่งแสงสว่างวาบพลางจมหายไป

 

 

พริบตานั้นผิวของร่มสีเงินพลันมีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้น แต่ทันใดนั้นก็สลายออกกลับเป็นดังเดิม

 

 

หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก ร่มสีเงินหดเล็กลง พุ่งเข้ามาหาแขนเสื้อของเขา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป

 

 

ขั้นตอนการรับเป็นนายสำเร็จในชั่วพริบตา

 

 

ผู้ดูแลเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงกับความไวในการรับเป็นนายของหานลี่เช่นกัน

 

 

ทว่าครู่ต่อมาเขาก็มีสีหน้าราบเรียบดุจปกติ และสายตาก็ตกอยู่บนร่างของเซียนเซียนขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยว่า

 

 

“เซียนผู้นี้คือคนของเผ่าผลึก และยิ่งไปกว่านั้นพลังยุทธ์ยังต่ำเกินไปหน่อย หากเข้าไปในเทือกเขามารสีทองก็อาจจะเพลี่ยงพล้ำได้สูง ข้าว่าเซียนล้มเลิกความคิดเถิด มิเช่นนั้นอัตราการเพลี่ยงพล้ำจะสูงมาก”

 

 

“ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ปรารถนาดี แต่ชนรุ่นหลังจะต้องเข้าไปในเทือกเขามารสีทองให้ได้ ท่านอาวุโสมีการทดสอบอย่างไร ก็เริ่มเถิด” เซียนเซียนคารวะผู้ดูแลหมิ่นอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยอย่างมุ่งมั่น

 

 

“ในเมื่อเซียนกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่หมิ่นก็จะไม่พูดอะไรมาก การทดสอบของข้าน้อยมีสองแบบ อย่างแรกคืออยู่ในภาพลวงตาที่ข้าน้อยวางไว้ครึ่งชั่วยาม อีกแบบหนึ่งคือสู้กับอสูรหุ่นเชิดสองตัวของข้าน้อย และทำให้พวกมันพ่ายแพ้ ในสองแบบนี้หากผ่านแบบใดแบบหนึ่ง ก็นับว่าเซียนผ่านการทดสอบ” ผู้ดูแลหมิ่นเอ่ยอย่างแช่มช้า

 

 

“ชนรุ่นหลังเลือกแบบแรก!” เซียนเซียนดูเหมือนว่าจะคาดเดาเอาไว้ตั้งนานแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

“เช่นนั้นสหายก็ก้าวมาข้างหน้าสามก้าว” ผู้ดูแลหมิ่นพยักหน้า

 

 

หญิงสาวเผ่าผลึกได้ยินคำนี้ ก็ก้าวขึ้นไปด้านหน้าสามก้าวตามคำพูด

 

 

หานลี่ที่อยู่ด้านข้างแววตาสว่างวาบ กลับพบว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังเดินไปยังเขตอาคมบนพื้นที่มีอักขระขนาดใหญ่อยู่ในนั้น

 

 

เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้คิดอะไรให้ละเอียด ผู้ดูแลหมิ่นกลับเอ่ยกับเขาอย่างกะทันหัน

 

 

“สหายลงไปได้แล้ว ข้าไม่อยากให้ใครเห็นเนื้อหาการทดสอบของข้าน้อย หวังว่าสหายจะไม่แพร่งพรายออกไป”

 

 

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ผู้แซ่หานก็ขอตัวลา” หานลี่พยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วสาวเท้ายาวๆ ลงไป

 

 

ชั่วพริบตาที่เข้าไปในหัวบันได เขตอาคมที่แผ่นหลังก็มีระลอกคลื่นส่งมา และมีเสียงร้องดังขึ้นแว่วๆ

 

 

หานลี่หันกลับไปมองแวบหนึ่งตามความรู้สึก

 

 

เห็นเพียงงยามนี้เขตอาคมบนแผ่นไม้กระดานชั้นบนถูกกระตุ้น ม่านลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ ปกคลุมหญิงสาวเผ่าผลึกด้านในรวมทั้งผู้ดูแลหมิ่นเอาไว้ และไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

หานลี่ชักสีหน้าแต่เท้าก็ไม่ได้หยุดเดินข้ามม่านลำแสงลงไปด้านล่างเลยแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อมาปรากฏตัวที่ชั้นสาม ก็เห็นสายตาคนจำนวนมากจับจ้องมา

 

 

หานลี่ฉีกยิ้มไม่ได้คิดจะหยุดอยู่ที่ชั้นสาม แต่เดินลงไปด้านล่าง

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่ก็มาปรากฏตัวด้านนอกวิหาร หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย ก็หันกายมองไปทางหอคอยแวบหนึ่ง

 

 

หอคอยนี้มีทั้งหมดห้าชั้น ในชั้นที่ห้ามีสิ่งใดอยู่กันนะ?

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจของหานลี่ถึงมีความคิดประหลาดๆ นี้ผุดขึ้นมา แต่ทันใดนั้นก็สั่นศีรษะพลางฉีกยิ้มเบิกบาน คนก็เดินไปตามท้องถนน

 

 

เดาว่าหากรอให้เย่ว์จงทำการทดสอบเสร็จสิ้น คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เขาจะไปเดินเล่นในหมู่บ้านก่อนก็แล้ววัน

 

 

โชคดีที่หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก แค่ชั่วครู่ก็เห็นภาพรวมทั้งหมด

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้สึกสนอกสนใจระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่เสนอรางวัลการจับเห็ดเซียนผู้นั้นอยู่หนึ่งส่วน แม้จะไม่ได้คิดจะคบค้ากับอีกฝ่าย แต่หากมองอยู่ๆ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร

 

 

เมื่อครุ่นคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ก็เดินไปตามท้องถนน

 

 

ร้านค้าทั้งสองฝั่งของท้องถนนมีไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังเป็นร้านขายวัตถุดิบมารอสูร ร้านค้าเหล่านี้ไม่ใหญ่โตนัก และยิ่งไปกว่านั้นยังดูเก่าและชำรุดทรุดโทรม เห็นได้ชัดว่าเปิดมานานหลายปีแล้ว

 

 

ทว่าโชคดีที่บนท้องถนนยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเดินสัญจรไปมาอยู่

 

 

บางครั้งพวกเขาก็เดินเข้าออกร้านค้าเหล่านั้น จึงพอจะประคับประคองธุรกิจไปได้

 

 

เมื่อหานลี่เดินมาได้ครึ่งทาง ยามที่ผ่านคฤหาสน์หลังใหญ่นั้น ฉับพลันนั้นพลันหรี่ตาลง เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาหลายส่วน

 

 

เมื่อครู่ยามที่เขากวาดจิตสัมผัสผ่านที่นี่นั้น กลับถูกเขตอาคมโบราณขวางเอาไว้ และเขตอาคมนี้ก็ชาญฉลาดมาก แม้ว่าเขาจะฝืนแทรกเข้าไป ก็ไม่อาจเข้าไปได้เลยแม้เพียงชั่วครู่

 

 

ดูแล้วที่นี่คงเป็นที่พักของระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นสินะ

 

 

หานลี่กำลังขบคิดในใจ และอดที่จะมองพิจารณาที่นี่สองสามแวบไม่ได้

 

 

น่าเสียดายประตูคฤหาสน์ปิดสนิท และยิ่งไปกว่านั้นยังวางเขตอาคมเอาไว้อย่างแน่นหนา ดูอะไรไม่ออก และไม่รู้ว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นอยู่ข้างในหรือไม่

 

 

หานลี่ไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่นานนัก แค่ดูเหมือนแววตาเปล่งประกายตอนผ่านประตูแวบหนึ่ง แล้วพลันเดินต่อ

 

 

หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม หานลี่ก็เดินเล่นในหมู่บ้านครบรอบหนึ่ง และกลับมายังหน้าหอคอยอีกครั้ง

 

 

ผลคือหลังจากที่เขามาถึงกลับพบเซียนเซียนเย่ว์จงยืนอยู่ตรงนั้น ใกล้กันกลับไม่มีผู้อื่นอยู่เลย

 

 

“อันใด พี่เย่ว์ไม่ต้องทดสอบก็ผ่านหรือ?” หานลี่เดาอะไรออก จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มมาแต่ไกล

 

 

“ท่านอาวุโสกล่าวไม่ผิด ตอนที่ข้าขึ้นไปท่านอาวุโสหมิ่นบอกว่าชื่อเสียงของข้ายิ่งใหญ่มาก ไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไร มิเช่นนั้นแม้ว่าชนรุ่นหลังจะตามขึ้นไปติดๆ ก็ไม่อาจออกมาเร็วเช่นนี้ ชนรุ่นหลังยังไม่ได้ขอบคุณพระคุณของท่านอาวุโสเลยขอรับ!” เย่ว์จงค้อมตัว เผยท่าทางนอบน้อมต่อหานลี่ขึ้นมาสองสามส่วน

 

 

“ไม่เป็นไร การเดินทางครั้งนี้ขาดสหายไปไม่ได้ สหายเซียน เจ้าน่าจะเอาร่วมขจัดอัสนีมาได้สินะ” หานลี่โบกมือแล้วเอ่ยถามเซียนเซียน

 

 

“นั่นมันแน่นอยู่แล้ว แม้ว่าเขตอาคมลวงตานั่นจะร้ายกาจ แต่ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาลับชำระจิตสงบใจมาพอดี จึงยืนหยัดได้ระยะหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา” เซียนเซียนเอ่ยอย่างคลุมเครือ

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ออกเดินทางเถิด พวกเราไม่ได้มีเวลามากมายนัก” หานลี่กล่าวเช่นนี้ออกมา

 

 

“ชนรุ่นหลังก็คิดเช่นนั้น!” เซียนเซียนฉีกยิ้ม

 

 

เย่ว์จงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

 

 

ดังนั้นทั้งสามคนจึงไม่ลังเลอะไรอีก กลายเป็นลำแสงหลีกหนี ออกไปจากหมู่บ้าน แล้วตรงไปเบื้องหน้า

 

 

พวกเขาบินมาแค่สองสามลี้ ก็จมหายไปในหมอกสีเขียวอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ผลคือหลังจากที่บินมาได้ยี่สิบกว่าลี้ หมอกด้านหน้าก็ค่อยๆ เบาบางลง

 

 

แต่ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนมีเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังกึกก้องสั่นโสตประสาทไม่หยุด

 

 

เมื่อลำแสงหลีกหนีสามสายพุ่งออกมาจากม่านหมอก หลังจากที่หานลี่มองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปไม่ได้

 

 

เห็นเพียงตรงหน้าห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง กลางอากาศล้วนมีสายฟ้าสีเขียวแล่นแปล๊บๆ ในเวลาเดียวกันเสียงอัสนีฟ้าฟาดก็ดังขึ้นจากทั้งสี่ทิศแปดด้าน ราวกับว่าไม่รู้จักจบสิ้นอย่างไรอย่างนั้น

 

 

สิ่งที่พวกเขาต้องเข้าไปคือแดนที่นอกจากอัสนีฟ้าฟาดแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่น

 

 

“ไป”

 

 

เย่ว์จงเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ อ้าปากออกอีกครั้ง พ่นร่วมสีเงินคันเล็กออก มันพลิ้วไหวแล้วกลายเป็นลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้ข้างใน

 

 

เขาบินเข้าไปทางบรรยากาศที่หมุนวนทั้งอย่างนั้น

 

 

หานลี่และเซียนเซียนเองก็ทำเช่นกัน ปล่อยร่วมขจัดอัสนีของตนออกมา แล้วตามหลังไปติดๆ

 

 

……

 

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อลำแสงสีเงินทั้งสามพุ่งออกมาจากอีกด้านของแดนอัสนีแล้ว ก็มาปรากฏเหนือภูเขาสูงใหญ่สีดำสนิท

 

 

หลังจากลำแสงหม่นลง หานลี่ก็ปรากฏตัว ลอยอยู่กลางอากาศ

 

 

“นี่ก็คือเทือกเขามารสีทอง!” หานลี่กวาดสายตาไปรอบด้าน แล้วเอ่ยพึมพำ