ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยชะงักงัน ความรู้สึกขมขื่นพลุ่งพล่านในใจ
ซูหลีกล่าวเสียงเข้ม “หากท่านคิดถึงเสด็จพี่จริง ก็บอกข้า ว่าผู้ใดเป็นคนสอนท่านปลูกอวิ๋นเซียงซิ่นกันแน่?”
ฮั่วเสี่ยวหมานก้มหน้า มือกำชายชุดกระโปรงสีแดงเบาๆ คล้ายไม่ได้ยินคำพูดของซูหลีเลยแม้แต่น้อย
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวว่า “เสี่ยวหมาน เจ้ากับข้าเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น อย่าว่าแต่เจ้าไม่มีทางคิดวิธีปลูกอวิ๋นเซียงซิ่นได้เลย ดอกปิงหลิงก็ไม่ใช่ดอกไม้ที่จะหาได้ง่ายๆ เจ้าบอกความจริงพวกข้ามาเถิด”
ฮั่วเสี่ยวหมานก้มหน้าก้มตา ยังคงไม่พูดอะไร
ซูหลีเอ่ยเสียงเข้ม “ท่านคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังกำลังช่วยท่าน ความจริงแล้วพวกเขาแค่กำลังหลอกใช้ท่านต่างหาก! ท่านคิดแก้แค้นโดยไม่สนใจผลที่ตามมา ข้ารู้สึกผิด จึงไม่อยากขัดใจท่าน ส่วนตงฟางเจ๋อนั้นมีพิษเย็นในร่างกาย เขาระวังเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดีมาโดยตลอด มีเพียงข้าที่เขาไม่เคยสงสัย ถึงได้เกือบเอาชีวิตไม่รอด…เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง รู้จักจุดอ่อนของพวกเราเป็นอย่างดี! ย้อนนึกไปแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าเป็นจุดเริ่มต้นของแผนชั่วครั้งนี้ ที่ท่านอาศัยสุราก่อเหตุ ก็เป็นความคิดของคนผู้นั้นด้วยเช่นกันใช่หรือไม่? ภายนอกเหมือนต้องการทำลายความสัมพันธ์ของสองแคว้น ความจริงกลับต้องการเร่งรัดให้พวกเราสองคนอยู่ด้วยกันเร็วๆ ทำเช่นนั้นเขาจะได้มีโอกาสกินข้าวที่ตำหนักซีหวา ใช่หรือไม่?”
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกตะลึง “ดูเหมือนอีกฝ่ายจะวางแผนมานานแล้ว พายุหิมะในครั้งนี้กลายเป็นโอกาสดีของพวกเขาพอดี ส่วนการตายของฮ่องเต้แคว้นเฉิง ต้องไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาแน่นอน เสี่ยวหมานเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในแผนชั่วครั้งนี้…เมื่อคิดดูแล้ว ความเจ้าแผนการของอีกฝ่ายนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
สายตาของฮั่วเสี่ยวหมานไหวระริก ไม่นานจึงค่อยเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงลังเล “วิธีปลูกอวิ๋นเซียงซิ่นเป็นจิ่นอวิ๋นที่ได้ยินมาจากพี่ชายนาง เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงก็เป็นจิ่นอวิ๋นที่แนะนำข้า นางบอกว่าไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ล้วนส่งผลดีต่อข้าทั้งนั้น”
ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองตากันแวบหนึ่ง ต่างมองเห็นแววจนใจจากสายตาของอีกฝ่าย จิ่นอวิ๋นกับจิ่นฟู่ตายไปแล้ว ดูเหมือนเบาะแสจะขาดหายไปอีกแล้ว
ซูหลีครุ่นคิด แล้วถามอีกว่า “ศพของจิ่นอวิ๋นถูกพบโดยคนในตำหนักของท่าน ที่ท่านไปโวยวายที่ตำหนักซีหวา เป็นคำแนะนำของผู้ใด?”
ฮั่วเสี่ยวหมานนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “ขันทีคนหนึ่งในห้องเครื่อง…ชื่ออะไรแล้วนะ ข้าจำไม่ได้แล้ว”
“หวั่นซิน!” ซูหลีตะโกนออกไปนอกห้อง “ไปหาตัวคนผู้นั้นมา!”
หวั่นซินรีบรับคำแล้วจากไปทันที ผ่านไปไม่นานก็กลับมารายงานว่า ขันทีผู้นั้นกินยาพิษฆ่าตัวตายไปแล้ว
ฮั่วเสี่ยวหมานหน้าซีดเผือด นางหวาดกลัวจนพูดไม่ออก หลายปีมานี้นางคิดแต่จะแก้แค้น ไม่ได้คิดอะไรอื่นเลย นึกไม่ถึงว่าทุกเรื่องที่นางทำล้วนเกิดจากการวางแผนอย่างละเอียดของผู้อื่น
จากศพนั้น หวั่นซินค้นเจอเขี้ยวหมาป่าสีขาวชิ้นหนึ่ง ด้านบนสลักรูปหัวหมาป่าเอาไว้ สายตาของซูหลีพลันแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขรึม ได้ยินซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยร้องขึ้นด้วยความตกใจ “นี่มันสัญลักษณ์ประจำชนเผ่าหมาป่านี่นา! คนของชนเผ่าหมาป่ากลับแฝงตัวเข้ามาในวังแล้ว!”
ซูหลีกล่าวทีละคำๆ “รีบตรวจสอบทุกคนในวัง ผู้ใดก็ตามที่มีของสิ่งนี้ติดตัว ให้สอบสวนอย่างละเอียด ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว!”
หวั่นซินรีบรับคำ “หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้เพคะ”
ซูหลีวางชุดไว้ทุกข์สีขาวไว้ด้านหน้าฮั่วเสี่ยวหมาน แล้วกล่าวเสียงเนิบช้าว่า “เพื่อแก้แค้นแล้ว ท่านไม่ยอมไปพบหน้าเสด็จแม่เป็นครั้งสุดท้าย ยามนี้นางจากไปแล้ว ท่านก็ยังไม่คิดจะไปส่งนางอีกหรือ?”
ฮั่วเสี่ยวหมานเม้มปากแน่น คว้าชุดไว้ทุกข์มากำไว้ในมือ ชุดสีขาวขับเน้นชุดแต่งงานสีแดงบนกายนางให้ดูสะดุดตายิ่งขึ้น นางลุกขึ้นยืน แล้วรีบเปลี่ยนชุด น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ตั้งแต่เล็กจนโต เพราะนางมีท่านพ่อคอยตามใจ มีฮ่องเต้กับฮองเฮาคอยเอ็นดู และมีองค์รัชทายาทคอยเอาใจ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรนาง ปีนั้น องค์รัชทายาทตายอย่างอนาถ ฮ่องเต้สวรรคต ท่านพ่อตายเพื่อบ้านเมือง ยามนี้แม้แต่เสด็จแม่ก็จากไปด้วย…บนโลกใบนี้ไม่มีใครรักและห่วงใยนางอีกแล้ว! ความเศร้าโศกพรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตา นางปิดหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินเข้าไปกอดนางเบาๆ น้ำตาไหลลงมาเหมือนสายฝนไม่ต่างกัน เจ็บปวดจนพูดไม่ออก
ซูหลีเจ็บปวดรวดร้าว แต่กลับไร้ซึ่งน้ำตา นางค่อยๆ เดินออกจากตำหนักเฟิ่งอี๋ ท้องฟ้าในวันนี้ปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์สาดส่องบนกายนาง แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อย
ครั้นกลับมาถึงตำหนักซีหวา รถม้าถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมชุดสีขาวทั้งตัว ยืนสง่าอยู่ตรงนั้น คือตงฟางเจ๋อที่เพิ่งฟื้นกลับมาจากความตายเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นเอง
หลังหายป่วยหนัก และกำจัดพิษเย็นในร่างกายได้แล้ว สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นมาก เพียงแต่หว่างคิ้วคล้ายมีแววกังวลเล็กน้อย
พอเห็นเงาร่างของซูหลี เขาก็รีบสาวเท้ายาวๆ เดินเข้ามาหา กุมมือนาง แล้วขานเรียกเสียงเบา “ซูซู!”
ครั้นเห็นเขาสวมชุดไว้ทุกข์สีขาว ซูหลีก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านรู้แล้วหรือ?”
ตงฟางเจ๋อรับคำว่า “อืม” เห็นสีหน้านางเรียบเฉย รอบกายแผ่กลิ่นอายเจ็บปวดและเศร้าโศก ก็อดโอบกอดนางไว้ไม่ได้ เขาลูบแผ่นหลังนางอย่างห่วงใย แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เซิ่งฉินมารายงานตอนที่กำลังสะสางราชกิจ ข้ารู้ข่าวก็มาหาเจ้า แต่เจ้าไปที่ตำหนักเฟิ่งอี๋แล้ว เจ้าจะกลับเมืองหลวงเก่า ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
ซูหลีรู้สึกเปรี้ยวฝาดขึ้นมาในใจ เขาเพิ่งหายป่วย เพียงสะสางงานที่คั่งค้างก็ไม่เหลือเวลาให้พักผ่อนแล้ว แต่พอได้ยินข่าวการสวรรคตของไทเฮา กลับวางทุกอย่างลง แล้วรีบมาปลอบใจนางทันที อีกทั้งยังยอมวางฐานะลง เพื่อจะไปส่งเสด็จแม่เป็นครั้งสุดท้ายในฐานะผู้น้อยอีกด้วย! นางหลับตาเบาๆ แล้วพิงหน้าอกเขา กอดตอบเขาอย่างโหยหา
ครั้นสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอของนางในยามนี้ หัวใจของตงฟางเจ๋อก็เจ็บแปลบ เขากระชับกอดคนในอ้อมแขนแน่นๆ ก้มหน้าจูบหน้าผากนางเบาๆ “อยากร้องก็ร้องเถิด อย่าฝืนตนเองอีกเลย ข้าจะอยู่ข้างเจ้าเอง”
ขอบตาของซูหลีร้อนผ่าว ในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมา “ข้ามิใช่ลูกแท้ๆ ของเสด็จแม่ แต่นางกลับรักข้าเหมือนลูกแท้ๆ หลายปีมานี้ข้าควรอยู่ข้างนางให้มากกว่านี้ แต่กลับมัวแต่ทำงานเพื่อบ้านเมือง ไม่เคยทำหน้าที่ลูกกตัญญูให้นางเลยสักวัน! ยามนี้นางจากไปทั้งอย่างนี้ ข้า…” นางหลับตาแน่น เสียใจจนพูดไม่ออก
คนในอ้อมแขนเสียใจและโทษตนเอง ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ตงฟางเจ๋อปวดใจ รู้ดีไม่ว่าคำพูดใดก็ไม่อาจปลอบโยนความเจ็บปวดของนางในวินาทีนี้ได้ เพียงกอดนางแน่นๆ ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร จึงจะทำให้นางเสียใจน้อยลงได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหลีสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “หลายวันก่อนตอนที่เสด็จแม่ประชวร ยังไม่ลืมกำชับข้า นางบอกว่าในเมื่อข้าแต่งงานกับท่านแล้ว ก็ไม่ควรยึดติดกับอดีตอีก…ขอเพียงข้ามีความสุข พวกเขาจึงจะวางใจได้!”
ตงฟางเจ๋อสะท้านไปทั้งใจ คล้ายไม่อยากเชื่อ เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไทเฮา…ตรัสเช่นนั้นจริงหรือ?”
ซูหลีพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “เสด็จแม่เชื่อว่าข้ามองท่านไม่ผิด แล้วก็เชื่อว่าข้าจะต้องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังแน่นอน”
หน้าอกของตงฟางเจ๋อกระเพื่อมขึ้นลง ขอบตาของเขาร้อนผ่าวและรื้นเล็กน้อยเช่นกัน เขาอุทานด้วยความเลื่อมใส “ซั่งกวนไทเฮาทรงมีเมตตา พระทัยกว้างขวางเปี่ยมด้วยคุณธรรม โลกนี้หาได้ยากยิ่ง!”
ทั้งสองโอบกอดกันเงียบๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นฮั่วเสี่ยวหมานที่สาวเท้าเดินมาเร็วๆ แต่กลับหยุดชะงักอยู่ด้านหน้าประตูตำหนักซีหวา สายตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน นางกำชุดไว้ทุกข์สีขาวแน่น
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเกลี้ยกล่อม “เสี่ยวหมาน อย่าลืมสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้า มีเพียงฉางเล่อกับฮ่องเต้แคว้นเฉิงรักใคร่กลมเกลียว สองแคว้นจึงจะอยู่อย่างสงบสุขได้!”
ฮั่วเสี่ยวหมานมีสีหน้าสับสน ไม่พูดอะไร
ซูหลีปล่อยตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงฮั่วเสี่ยวหมานเดินตรงไปขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหลัง ไม่หันมามองพวกเขาแม้แต่น้อย
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวอย่างขอโทษขอโพย “ไทเฮาสวรรคต เสี่ยวหมานอารมณ์ไม่ดีนัก หากเสียมารยาท ก็ขอฮ่องเต้แคว้นเฉิงโปรดอภัยด้วยเพคะ”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านหญิงคิดมากไปแล้ว นี่ก็สายมากแล้ว ไปกันเถิด”
รถม้าสองคันเคลื่อนตัวออกจากเมืองซวงตูตามๆ กัน องครักษ์ขบวนใหญ่คอยติดตามคุ้มกันไม่ห่าง
ซูหลีนั่งอยู่ในรถม้า ในใจมีเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดกับเขาเช่นไรดี นางมองคนข้างกายด้วยสีหน้าลังเล
ตงฟางเจ๋อหันมามองด้วยสายตาเรียบเฉย เขากุมมือนางเบาๆ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ซูซูมีเรื่องใดก็พูดมาเถิด”
………………………