ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 38 สามีภรรยาใจตรงกัน (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ซูหลีถอนหายใจ แล้วพูดเสียงเบาว่า “เรื่องพิษเย็น ข้าตรวจสอบแล้ว น้ำแกงแปดเซียนมังกรคู่หงส์…เป็นข้าที่ประมาทเอง!”

เพียงประโยคนี้ ตงฟางเจ๋อก็เดาได้แล้วว่านางจะพูดอะไร เขารั้งนางเข้าไปกอด แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ตรวจสอบเจอก็ดีแล้ว ฮั่วเสี่ยวหมานเป็นภรรยาของหลางฉ่าง นางทำเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงแม้ไม่มีเรื่องราวในอดีต แต่เห็นแก่หน้าเจ้า ข้าก็จะไม่ทำให้นางลำบากใจอยู่ดี”

ซูหลีถอนหายใจยาว ค่อยๆ พิงศีรษะบนหัวไหล่เขา หลังผ่านเคราะห์กรรมในช่วงหลายวันที่ผ่านมาและการสวรรคตของไทเฮา ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าชีวิตคนเรานั้นล้วนอนิจจัง มีเพียงต้องเห็นคุณค่าของคนที่อยู่ข้างกาย จะได้ไม่รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดในวันที่ต้องสูญเสียไป

ตงฟางเจ๋อโอบกอดนางด้วยแขนข้างหนึ่ง แขนอีกข้างกุมนิ้วมืออันเรียวยาวของนาง และลูบปลอบโยนเบาๆ พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล เจ้านอนเถิด”

ซูหลีพยักหน้าเบาๆ ซุกหน้าเข้าไปในซอกคอเขาอย่างไม่รู้ตัว กลิ่นกายหอมสะอาดอันคุ้นเคยของเขา ทำให้หัวใจนางค่อยๆ สงบลง ความเจ็บปวดลึกๆ ข้างใน ราวกับจางหายไปหลายส่วนในวินาทีนี้

ตามประสงค์ของไทเฮา พิธีศพถูกดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เหล่าขุนนางไม่จำเป็นต้องไว้ทุกข์สามวัน เพียงอยู่จนจบพิธีศพก็ให้เดินทางกลับเมืองหลวงใหม่ เพื่อทำงานของตนเองต่อ ซูหลีมีงานราชการคั่งค้างจำนวนมาก จึงมิอาจรั้งอยู่ได้นานเช่นกัน นางกับตงฟางเจ๋อ และซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินทางกลับเมืองหลวงใหม่ในวันนั้นทันที มีเพียงฮั่วเสี่ยวหมานที่รั้งอยู่เมืองหลวงเก่าเพื่อไว้ทุกข์ให้ไทเฮาแต่เพียงผู้เดียว

ก่อนจากกัน จี้ฉิงมอบกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งให้ซูหลี นางเปิดออกดู ค้นพบว่าข้างในมีหยกห้อยเอวรูปมังกรผานหลงชิ้นหนึ่งวางไว้ เหมือนกับหยกห้อยเอวที่หลางฉ่างเคยพกติดตัวไม่มีผิด

ซูหลีหยิบหยกห้อยเอวขึ้นมา ภาพยามพบกับหลางฉ่างเป็นครั้งแรกพลันผุดขึ้นมาในสมอง หัวใจพลันเจ็บปวด

จี้ฉิงกล่าวว่า “นี่คือหยกประจำตำแหน่งรัชทายาทที่ไทเฮามีรับสั่งให้ทำขึ้นมาใหม่ และสั่งให้บ่าวมอบให้ฝ่าบาทเพคะ”

ซูหลีกำหยกห้อยเอวแนบกับหน้าอกแน่น สายตาทอดมองไปยังทิศที่ตั้งของสุสานราชวงศ์ แล้วกล่าวด้วยดวงตารื้นน้ำใส “ความตั้งใจของเสด็จแม่ ชิงเอ๋อร์เข้าใจแล้วเพคะ!”

รีบแตกกิ่งก้านสาขาเพื่อราชวงศ์ แล้วแต่งตั้งองค์รัชทายาท จึงจะสามารถทำให้รากฐานของบ้านเมืองมั่นคงได้

ครั้นกลับมาถึงเมืองหลวง หวั่นซินก็มารายงาน ทั่วทั้งวังหลวงแคว้นติ้ง ไม่มีผู้ใดพกเขี้ยวหมาป่าติดตัวอีกเลย ซูหลีจึงจำต้องวางเรื่องนี้ลงก่อน แล้วหันไปสะสางงานบ้านเมือง ระหว่างนั้นนางเขียนสาสน์ ให้ส่งเสบียงอาหารไปยังราชสำนักแคว้นเฉิง เพื่อเป็นการแสดงความขอโทษต่อเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลิงโจว พร้อมกับสัญญาว่าจะสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนและให้คำอธิบายแก่แคว้นเฉิง ตงฟางเจ๋อเขียนสาสน์ตอบกลับด้วยตนเอง รอฟังข่าวดีอย่างเต็มใจ

ช่วงเช้าของวันนี้ ซูหลีกับเหล่าขุนนางหารือกันถึงวิธีฟื้นฟูความเป็นอยู่ของชาวบ้านหลังเผชิญภัยธรรมชาติ ครั้นหารือกันเสร็จสิ้น กลับมาถึงตำหนักซีหวาก็ใกล้เวลากลางวันแล้ว เพิ่งจะรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ เจียงหยวนก็มาถึง

ครั้นเห็นซูหลีมีสีหน้าเหนื่อยล้ารางๆ เจียงหยวนขมวดคิ้วกล่าวว่า “พระวรกายของฝ่าบาทยังไม่หายดี ไม่ควรทรงงานจนเหน็ดเหนื่อยเกินไปนะพ่ะย่ะค่ะ”

ซูหลีถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง “งานบ้านงานเมืองเร่งด่วน ไม่อาจรั้งรอ บาดแผลของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

เจียงหยวนพยักหน้า แล้วตรวจชีพจรให้นางตามปกติ สายตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหนักใจ จากนั้นก็จ่ายเทียบยามาแผ่นหนึ่ง

ซูหลีอ่านเทียบยา สีหน้าสะดุดเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไร เพียงพับเทียบยาแล้วส่งให้โม่เซียง โม่เซียงรีบไปจัดยาทันที

ในตำหนักไม่มีผู้ใดอีก เจียงหยวนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พื้นฐานร่างกายของฝ่าบาทต่างจากคนทั่วไป เพราะฝึกวรยุทธ์จึงอาการดีขึ้น ครั้งนี้เพื่อช่วยชีวิตฮ่องเต้แคว้นเฉิง พิษเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย กำลังภายในเสียหายจนแทบสูญสิ้น ยากจะฟื้นคืนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กระหม่อมอับจนหนทาง จำต้องเพิ่มยาแรงสองชนิด ระหว่างกินยานี้ ต้องทรงจำไว้ว่าห้ามให้กำเนิดบุตรเด็ดขาด มิเช่นนั้น…”

หัวใจของซูหลีบีบรัด “จะเป็นเช่นไร?”

เจียงหยวนกล่าวเสียงเข้ม “ไม่เพียงครรภ์มังกรจะเสียหาย ยากจะให้กำเนิด ในกรณีร้ายแรงที่สุด คือไม่สามารถตั้งครรภ์ไปตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”

หากนางไม่อาจตั้งครรภ์ สองแคว้นก็ไร้ซึ่งผู้สืบทอด! หัวใจของซูหลีหนักอึ้งทันที นางกล่าวอย่างระมัดระวัง “ข้าเข้าใจแล้ว! ใช่สิ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ทำร้ายเจ้าในวันนั้น เป็นใคร?”

เจียงหยวนส่ายหน้า นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เขาก็ยังสงสัยไม่หาย “จะว่าไปแล้วก็แปลก พิษที่กระหม่อมทำขึ้น กระหม่อมมั่นใจว่าในโลกนี้มีคนที่สามารถแก้ได้ไม่มาก แต่คนพวกนั้นกลับไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย! พฤติกรรมของพวกเขา ก็คล้ายต้องการถ่วงเวลากระหม่อมเท่านั้น ก่อนหวั่นซินจะมาถึง กลับมิได้คิดจะสังหารกระหม่อมจริงๆ”

เมื่อคิดดูแล้วก็แปลกจริงๆ ต้องการชีวิตของตงฟางเจ๋อ แต่กลับไม่อยากให้เจียงหยวนตาย! เป็นใครกันนะ?

ซูหลีขมวดคิ้วครุ่นคิด พลันนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากประตูกั้น นางหันไปมอง ก็เห็นตงฟางเจ๋อเดินเข้ามาด้วยสายตาร้อนแรง

ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลวงเก่า ทั้งสองแยกย้ายกันสะสางงานราชกิจ ไม่มีเวลาพบกัน วันนี้จู่ๆ เขาก็มาหา นางอดยิ้มออกมาอย่างดีใจไม่ได้

เจียงหยวนค้อมกายทำความเคารพ ตงฟางเจ๋อโบกมือเล็กน้อย

สายตาของซูหลีดูอบอุ่นขึ้นมาหนึ่งส่วนอย่างไม่รู้ตัว นางลุกขึ้นต้อนรับ “วันนี้มีเวลาว่างมาด้วยหรือ?”

ตงฟางเจ๋อกุมมือนาง แล้วมองหน้านางนิ่งๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้เจอกันหลายวัน ข้าเลยอยากมาหาเจ้าหน่อย ได้ยินว่าแม่ทัพเสิ่นเจี้ยนอันยังเดินทางไปไม่ถึงหลิงโจว แผนการฟื้นฟูของฝั่งเจ้าเรียบร้อยหมดแล้วหรือ?”

ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “หารือกันล่วงหน้า เตรียมพร้อมไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย เหตุการณ์ภัยธรรมชาติฝั่งท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ตงฟางเจ๋อส่ายหน้า แล้วกล่าวว่า “หยวนเซี่ยงเร่งเดินทางหามรุ่งหามค่ำ อย่างน้อยก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงเมืองจิ้นหยางเช่นกัน” เอ่ยจบ เขาก็ยกมือลูบหน้านาง รู้สึกปวดใจ ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลวงเก่า นางก็ยืนยันว่าจะไว้ทุกข์ให้ไทเฮาเจ็ดวัน ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วยังทำงานหนักอีกด้วย นางดูซูบผอมไปมาก

ซูหลีไม่รับรู้ความคิดของเขาแม้แต่น้อย เพียงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “หวังว่าชาวบ้านในเมืองหลิงโจวกับเมืองจิ้นหยางจะผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย!”

ตงฟางเจ๋อแย้มยิ้มเล็กน้อย “แน่นอนอยู่แล้ว” เขาจูงมือนางให้นางนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วหันไปกล่าวกับเจียงหยวนว่า “ครั้งนี้โชคดีที่ได้หมอเจียงใช้วิชาแพทย์ชุบชีวิต ข้าถึงได้เจอเรื่องดีในเรื่องร้าย โจวหลี่!”

โจวหลี่เดินถือถาดของขวัญเข้ามา ครั้นมองไป ก็เห็นว่าล้วนเป็นสมุนไพรที่มีค่าเทียบเท่าเงินทองมหาศาล

เจียงหยวนกลับไม่แยแส เพียงกวาดตามองผ่านเล็กน้อย แต่ทันใดนั้น สายตาพลันเป็นประกายขึ้นมา เขาเดินเข้าไปหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านอย่างใจจดใจจ่อ เดินไปพลาง อ่านไปพลาง ไม่นานก็กลับออกจากตำหนักบรรทมไปอย่างไม่รู้ตัว

โจวหลี่ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม คนผู้นี้เป็นใครกัน ไม่เอ่ยคำขอบคุณสักคำ ก็ไปเสียแล้ว? เขาหันไปมองฝ่าบาท กลับพบว่าฝ่าบาทของเขาไม่สะทกสะท้านสักนิด คล้ายไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

ซูหลีกลั้นหัวเราะไม่ไหว “นั่นตำราอะไรกัน ถึงได้ทำให้เจียงหยวนอ่านอย่างหลงใหลถึงเพียงนั้น?”

ตงฟางเจ๋อยิ้มเจ้าเล่ห์ “ตำราแพทย์ที่มีเพียงเล่มเดียวในโลก หลินเทียนเจิ้งใช้เวลานานมากกว่าจะหาได้ ได้ยินว่าแลกมาด้วยเงินทั้งหมดในบ้าน เขากลัวว่าอวี๋เชียนจีจะเผาทิ้ง จึงได้ส่งมาเก็บไว้กับข้าก่อนเป็นการชั่วคราว”

ซูหลีเอ่ยด้วยความตกใจ “ของล้ำค่าเช่นนี้ ท่านมอบให้เจียงหยวน ไม่กลัวหลินเทียนเจิ้งจะมาเอาเรื่องกับท่านหรือ?”

ตงฟางเจ๋อสีหน้าสะดุดเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจกล่าวว่า “เขาจะเอาเรื่องข้า ก็ต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้ก่อน”

ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ เดาว่าเขาเองก็คงคิดไม่ต่างจากนางเช่นกัน ซูหลีอดกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ได้ “อีกฝ่ายวางแผนครอบคลุมขนาดนี้ จดหมายของเสวียนเฟิงก็ต้องเป็นของปลอมแน่นอน เกรงว่าหลินเทียนเจิ้งจะไม่ได้โชคดีเหมือนเจียงหยวน”

สีหน้าของตงฟางเจ๋อหมองลงเล็กน้อย เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนค่อนข้างช้า กิ่งไม้นอกหน้าต่างแห้งเหี่ยว เศษหิมะยังคงหลงเหลือให้เห็น ท้องฟ้ามืดมน

ซูหลีมองดูแผ่นหลังสูงใหญ่ของเขา ที่เหมือนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับแสงอันหมองหม่น ดูอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด เกิดในราชวงศ์ เห็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันมาตั้งแต่เด็ก ยากจะเชื่อใจใคร บางทีหลินเทียนเจิ้งอาจเป็นสหายรู้ใจเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็ได้

ซูหลีลุกขึ้น แล้วเดินมายืนข้างกายเขา “ท่านคิดว่า แผนการร้ายครั้งนี้เป็นฝีมือของผู้ใด? อีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

ตงฟางเจ๋อเอียงหน้ามองนาง สายตาไม่อาจคาดเดา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยกล่าวว่า “ซูซูคิดว่าอย่างไรเล่า?”

ซูหลีเม้มปากเล็กน้อย มีบางเรื่องที่นางพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ไม่อยากพูดคุยลงรายละเอียด แต่คำถามที่ซ่อนอยู่ในใจ อย่างไรก็ต้องได้รับการยืนยัน

ซูหลีกล่าวว่า “เขายังมีชีวิตอยู่?”

…………………………