ไอสังหารอันเย็นเยียบพาดผ่านดวงตาของตงฟางเจ๋อ เขาไม่ตอบอะไร
ซูหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าเห็นเขากระโดดลงจากป้อมปราการเมืองกับตา ไร้โอกาสรอดชีวิตแน่นอน หรือว่านั่นเป็นเรื่องลวง?”
ตงฟางเจ๋อแสยะยิ้มเย็นชา “ข้าตามเจ้าออกวังไป ศพของเขาก็ไม่อยู่แล้ว หากข้าไม่ได้เตรียมการไว้แต่แรก เกรงว่าฐานอำนาจที่เขาสร้างไว้ในเมืองหลวงแคว้นเฉิง ก็อาจจะหายสาบสูญไปด้วยเช่นกัน”
ซูหลีพลันเงียบขรึม เหมือนกับนางในตอนแรก ที่วางแผนสำรองไว้ก่อนล่วงหน้า แล้วจึงค่อยทุ่มสุดตัวในการวางเดิมพันครั้งสุดท้าย
“ซูซู” ตงฟางเจ๋อพลันเปิดปาก สายตาคล้ายมีความหมายแฝง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าอีกฝ่ายใช้ชื่อเสวียนฟง หลอกล่อครอบครัวหลินเทียนเจิ้งไปแคว้นเปี้ยนเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่?”
จุดประสงค์ที่แท้จริง?! ไม่ใช่เพราะต้องการล่อให้หลินเทียนเจิ้งไปจากตงฟางเจ๋อ เพื่อทำให้พิษเย็นในร่างเขากำเริบ จะได้ไม่มีผู้ใดรักษาเขาหรอกหรือ?
ซูหลีครุ่นคิด ตงฟางเจ๋อจูงมือนางกลับมานั่งที่เดิม แล้วจิบชาอย่างแช่มช้า จากนั้นก็เอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจว่า “ได้ยินว่าการตายของเจ้าเมืองหลิงโจวเป็นฝีมือของลัทธิธิดาเทพ?”
ซูหลีพยักหน้า สายตาขรึมลงหนึ่งส่วน “ตอนนี้ยังเป็นเพียงการคาดเดา ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นลัทธิธิดาเทพ แต่ถ้าหากใช่ หลินเทียนเจิ้งและครอบครัวจะต้องอยู่ในกำมือของพวกเขาแน่ ฉะนั้นหากเสวียนเฟิงอับจนหนทางยอมถูกพวกเขาบงการก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่…”
ซูหลีหยุดพูดไปครู่หนึ่ง อีกฝ่ายทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมลัทธิธิดาเทพ เพียงเพื่อใช้ลัทธิธิดาเทพฆ่าคนไม่กี่คนเท่านั้นหรือ? พลันนั้น นางก็นึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา หน้าถอดสีครั้งใหญ่ “…หยางเซียว?!”
ตงฟางเจ๋อวางถ้วยชาลง มองหน้านางไม่พูดอะไร แต่สายตาของเขา กลับยืนยันคำตอบให้นางอย่างชัดเจนแล้ว
ตั้งแต่พิษเย็นในร่างกายของตงฟางเจ๋อกำเริบ จนถึงข่าวเหตุการณ์ภัยพิบัติถูกส่งมา เหล่าขุนนางแคว้นเฉิงบุกประชิด…ทุกเหตุการณ์ที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน เดิมทีก็ทำให้รับมือแทบไม่ทันอยู่แล้ว ซูหลีไม่มีเวลาใคร่ครวญอย่างละเอียดเลยว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ยังมีแผนชั่วอีกอย่างหนึ่งซ่อนอยู่
ขณะเดียวกับที่เล่นงานนางและตงฟางเจ๋อ อีกหนึ่งเป้าหมายของอีกฝ่ายก็คือหยางเซียว…
กล้าต่อกรกับสามแคว้นใหญ่พร้อมกันอย่างบ้าคลั่งถึงเพียงนี้ อีกฝ่ายจะต้องวางแผนมานานแล้วแน่นอน เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
“ท่านได้รับข่าวสารใดแล้วใช่หรือไม่?” ซูหลีจ้องหน้าเขาโดยไม่ละสายตา
ตงฟางเจ๋อถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เซิ่งจินส่งนกพิราบส่งข่าวมา รายงานว่าหนึ่งเดือนก่อน สืบพบว่าหยางจิ้นอ้างเรื่องพายุหิมะถล่มเมืองเหลียวเฉิง นำคนมุ่งหน้าไปยังทิศเหนืออย่างลับๆ ยามนี้คาดว่าน่าจะถึงเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนแล้ว”
“หยางจิ้นไปเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน?” ซูหลีได้ยินก็ขมวดคิ้ว เขาเดินทางไปเมืองหลวงแคว้นเปี้ยนในเวลานี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน หากมีคนใช้เส้นทางลับของลัทธิธิดาเทพเพื่อเข้าวังหลวงแคว้นเปี้ยน แล้วร่วมมือกับหยางจิ้นโจมตีจากทั้งด้านนอกและด้านใน เรื่องราวจะต้องเลวร้ายจนไม่อาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน!
ยิ่งคิด ซูหลีก็ยิ่งตกตะลึง นางรีบเรียกหวั่นซินเข้ามา แล้วถามว่า “ข้าให้เจ้าส่งคนไปสืบข่าวเรื่องในแคว้นเปี้ยน ได้เรื่องบ้างหรือไม่?”
“ตอนนี้ยังไม่มีเพคะ” ครั้นเห็นสีหน้าซูหลีไม่สู้ดี หวั่นซินก็กล่าวด้วยความเป็นห่วง “ฝ่าบาท เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ?”
ซูหลีพูดเรื่องที่กำลังกังวลให้นางฟัง หวั่นซินได้ยินก็รีบบอกว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงกังวลพระทัย หม่อมฉันจะเดินทางไปด้วยตนเองเพคะ”
ซูหลีกล่าวอย่างครุ่นคิด “ให้เซี่ยงหลีไปกับเจ้าด้วย พาคนไปเยอะหน่อย ยามคับขัน แม้ต้องทำลายลัทธิธิดาเทพก็ต้องช่วยหยางเซียวให้ปลอดภัยไว้ก่อน!”
หวั่นซินรับคำแล้วจากไป
ซูหลียังคงไม่สบายใจ อยู่อย่างสงบสุขมาสามปี จู่ๆ พายุลมก็ก่อตัว เกรงว่าวันเวลาต่อจากนี้คงยากจะสงบสุข
เฟิงซุ่นเดินเข้ามารายงาน “ทูลฝ่าบาท ใต้เท้าซูฉุนจากกรมพิธีการ และใต้เท้าเซี่ยอวิ๋นเซวียนจากกรมคลังอาวุธมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาสองคนมาขอเข้าเฝ้าพร้อมกัน? ซูหลีบังเกิดความสงสัย แต่กลับเห็นดวงตาของตงฟางเจ๋อมีรอยยิ้มพาดผ่านรางๆ คล้ายคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว นางสะดุดใจ อดถามไม่ได้ว่า “เหล็กอูจินมาถึงแล้วหรือ?”
ตงฟางเจ๋อยันโต๊ะลุกขึ้นยืน ยักคิ้ว ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อจะร่วมมือกัน ยิ่งเร็วย่อมยิ่งดี”
ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น แต่ความเร็วในการขนส่งก็ยังทำให้ซูหลีอดรู้สึกตกใจไม่ได้อยู่ดี สองแคว้นร่วมมือกัน ตามหลักแล้วควรลงนามในสัญญากันก่อน แล้วค่อยให้กรมพิธีการจดทะเบียนรายการสิ่งของ แต่เขากลับให้คนส่งเหล็กอูจินไปให้เซี่ยอวิ๋นเซวียนที่กรมคลังอาวุธโดยตรง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ เขาไม่กลัวว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาทีหลังเลยหรืออย่างไร?
คล้ายมองออกว่านางคิดอะไรอยู่ ตงฟางเจ๋อเดินเข้ามากุมมือนาง แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย “ไปกันเถิด ไปพบพวกเขาสองคนด้วยกัน”
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉินเจิ้งโดยตรง จากนั้นก็นั่งบนตำแหน่งสูงสุด แล้วจึงค่อยเรียกพบซูฉุนกับเซี่ยอวิ่นเซวียน
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซูฉุนและเซี่ยอวิ๋นเซวียนค้อมกายทำความเคารพตามธรรมเนียม
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “ลุกขึ้นเถิด” จากนั้นก็เชิญทั้งสองนั่งประจำที่
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเห็นว่าตงฟางเจ๋อก็อยู่ด้วย สีหน้าพลันบึ้งตึงลงเล็กน้อย เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ และไม่พูดอะไร
ซูฉุนเป็นคนฉลาด ในเมื่อฮ่องเต้เรียกพบที่ตำหนักฉินเจิ้ง ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ มิใช่การพูดคุยธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน เขาเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบพระทัยฮ่องเต้แคว้นติ้ง! กระหม่อมทำตามรับสั่งของฝ่าบาท ส่งเหล็กอูจินไปยังกรมคลังอาวุธของแคว้นติ้งแล้ว แต่ใต้เท้าเซี่ยกลับปฏิเสธ ครั้นถามเหตุผล ใต้เท้าเซี่ยก็บอกเพียงว่าจะเข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท กระหม่อมจนใจ จึงทำได้เพียงตามเข้าวังมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีพยักหน้า หันไปมองเซี่ยอวิ๋นเซวียน เห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยพยับเมฆมืดครึ้ม สายตาที่มองตงฟางเจ๋อเต็มไปด้วยแววอาฆาต นางอดถอนหายใจไม่ได้ “รบกวนพี่ใหญ่แล้ว เรื่องนี้ข้าผิดเอง หลายวันนี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมากมาย เรื่องการร่วมมือสร้างอาวุธของสองแคว้น ข้ายังไม่ทันได้หารือกับใต้เท้าเซี่ย”
ครั้นได้ยินว่าสองแคว้นจะร่วมมือกันสร้างอาวุธ เซี่ยอวิ๋นเซวียนขมวดคิ้ว สายตาที่มองซูหลีสะท้อนแววตำหนิ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ฝ่าบาทจะร่วมมือกับเขา สร้างอาวุธชิ้นนี้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูหลีพยักหน้า ยังไม่ทันเปิดปาก เซี่ยอวิ๋นเซวียนก็กล่าวต่ออีกว่า “ผู้น้อยเซี่ยไร้ความสามารถ ฝ่าบาททรงหาตัวยอดฝีมือผู้อื่นเถิด ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!” เอ่ยจบก็ทำท่าจะเดินจากไป
ซูหลีรู้ว่าเซี่ยอวิ๋นเซวียนไม่มีทางยอมตกลงง่ายๆ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธด้วยท่าทีเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ไม่เปิดโอกาสให้นางพูดเลยแม้แต่น้อย ขณะที่นางกำลังจะรั้งเขา กลับได้ยินตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เดิมทีข้านึกว่าสามปีก่อนเจ้าถูกผู้มีเจตนาร้ายหลอกใช้ ถึงได้กระทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ลงไป! นึกไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังคงดื้อรั้น และโง่งมอยู่อย่างนี้!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนชะงักเท้า แล้วหันกลับมา แสยะยิ้มเย็นชา แล้วกล่าวว่า “แม้ข้าจะโง่อีกเพียงใด ก็ไม่มีทางโง่ถึงขั้นลืมความแค้น และทำงานรับใช้เจ้าแน่นอน!”
เขาพูดจาถากถางด้วยความโกรธแค้น ตงฟางเจ๋อมองหน้าเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเหมือนพ่อเจ้าดังคาด ในใจมีเพียงครอบครัวแต่กลับไม่เห็นแก่บ้านเมือง ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าบุญคุณ”
“บุญคุณ?” เซี่ยอวิ๋นเซวียนแค่นหัวเราะ กล่าวอย่างดูแคลนว่า “ระหว่างเจ้ากับข้ามีเพียงความแค้น มีบุญคุณเสียที่ไหนกัน?! แล้วเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ข้าเช่นนี้ด้วย”
ซูฉุนกล่าวต่อว่า “ฝ่าบาทอาจไม่มีบุญคุณต่อใต้เท้าเซี่ย แต่ฮ่องเต้แคว้นติ้งกลับมี”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเงยหน้ามองซูหลี สายตาสะท้อนแววกระสับกระส่าย แต่กลับไม่พูดอะไร
ซูฉุนกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่ได้รู้จักคุณชายเซี่ยดีนัก แต่ในอดีตก็เคยได้ยินชื่อเสียงของนายน้อยแห่งสำนักกระบี่เหล็กมาบ้าง ลือว่าเขาเป็นคนใจกว้างมีคุณธรรม จริงใจต่อผู้อื่น ครั้นมาเห็นกับตาวันนี้ กลับชวนให้ผิดหวังยิ่งนัก”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนโต้กลับ “ข้าน้อยเองก็เคยเลื่อมใสคุณชายสกุลซูมากเช่นกัน ชาวโลกล้วนรู้ว่าคุณชายซูเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า ยอมทิ้งอนาคตในหน้าที่การงานเพื่อสหายเก่า ออกท่องยุทธภพในแดนไกล ยามนี้สหายเก่าตายอย่างเดียวดาย เพียงตำแหน่งเสนาบดีขั้นสอง ก็ทำให้ท่านเปลี่ยนใจได้แล้ว เห็นได้ว่ามิตรภาพของสหายเก่าสู้คำว่าชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”
สหายเก่าที่เขาพูดถึง หมายถึงผู้ใดไม่ต้องบอกก็รู้ ทุกคนล้วนรู้ดี ซูฉุนกับตงฟางจั๋วสนิทสนมกัน และไม่ลงรอยกับตงฟางเจ๋อ เซี่ยอวิ๋นเซวียนจงใจพูดถึงเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจยุแยงตะแคงรั่ว หมายให้พวกเขาสองคนบาดหมางกัน
……………………