ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางหันไปมองตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงเขากระดกมุมปากเบาๆ สายตายังคงเรียบเฉยเป็นปกติ คล้ายไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
ซูฉุนกล่าวว่า “คุณชายเซี่ยเข้าใจผิดแล้ว ในฐานะสหาย ผู้น้อยซูได้ทำสุดความสามารถ และไม่มีสิ่งใดติดค้างอีกแล้ว ในฐานะราษฎรแคว้นเฉิงคนหนึ่ง การใช้ความสามารถของตนเองประคับประคองบ้านเมือง เพื่อตอบแทนประเทศชาติ เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ผู้น้อยซูไม่ได้ทำเรื่องน่าละอายแต่อย่างใด กลับเป็นคุณชายเซี่ย ไม่ว่าจะในฐานะสหาย ขุนนาง หรือในฐานะบุตร และราษฎร ล้วนบกพร่องในหน้าที่ เป็นที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูล”
สายตาของเซี่ยอวิ๋นเซวียนแปรเปลี่ยนเป็นขึ้งเคียด กล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้?”
ซูฉุนมองหน้าเขาตรงๆ แล้วกล่าวว่า “เดิมท่านเป็นชาวเฉิง แค่เรื่องที่ท่านไม่อาจหยุดยั้งการทรยศประเทศชาติของบิดาตนเองได้ ก็ถือว่าผิดหลักคุณธรรมแล้ว ไม่ยอมทำงานรับใช้แคว้นเฉิง เพื่อไถ่ความผิดบาปให้แก่สกุลเซี่ย ก็ถือเป็นความอกตัญญู”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของซูฉุน ตอนนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคัดค้านท่านพ่อ เพียงแต่ท่านพ่อไม่ยอมฟังเขา ลงมือทำทุกอย่างโดยพลการ ถึงได้ทำให้สกุลเซี่ยต้องประสบกับหายนะเช่นนั้น
เซี่ยอวิ๋นเซวียนหมายจะโต้แย้ง กลับได้ยินซูฉุนกล่าวต่อว่า “ยามนี้ในฐานะขุนนางแคว้นติ้ง ฮ่องเต้แคว้นติ้งเป็นทั้งประมุขและสหายของท่าน ไม่เพียงมีบุญคุณต่อท่าน ยังทำให้ท่านไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ สร้างพื้นที่ให้ท่านได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตนเอง และทำความฝันของตนเองให้เป็นจริง…ท่านควรซาบซึ้งในพระคุณของนาง!”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ซาบซึ้ง?” เซี่ยอวิ๋นเซวียนหันไปมองซูหลี “สามปีมานี้ ที่ข้ายังอยู่ในแคว้นติ้ง ก็เพราะเห็นแก่มิตรภาพความเป็นเพื่อน อาวุธที่ข้างสร้างขึ้นมา ไม่เคยเก็บไว้กับตัว…”
“แต่ท่านกลับคิดจะสะบัดหน้าหนีในยามที่นางต้องการท่าน!” ซูฉุนตัดบทเขา น้ำเสียงฟังดูคมปลาบเล็กน้อย
“ข้า…” เซี่ยอวิ๋นเซวียนพูดไม่ออกชั่วขณะ วินาทีที่ได้ยินว่านางจะร่วมมือกับตงฟางเจ๋อสร้างอาวุธ เขาผิดหวังมากจริงๆ จนถึงขั้นคิดจะไปจากที่นี่
ซูฉุนกล่าวต่อว่า “สามปีก่อน ท่านเห็นกับตาว่าชนเผ่าหมาป่าสร้างความเสียหายให้แคว้นติ้งอย่างไร ยามนี้ชนเผ่าหมาป่ายังคงไม่ยอมแพ้ หมายจะบุกโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ด้วยเรื่องนี้ ซูซูกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่านในฐานะขุนนางของนาง แล้วยังเป็นสหายของนาง ไม่เห็นแก่ความทุกข์ยากของนาง แต่กลับโทษนางว่าไม่เข้าใจความแค้นส่วนตัวของท่าน แล้วหันไปร่วมมือกับฮ่องเต้ของข้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม?!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนก้มหน้าเล็กน้อย ขยับริมฝีปากอยู่นาน แล้วจึงค่อยกล่าวว่า “ข้าตามหาวัสดุเหล็กที่เหมาะสมมาตลอดเช่นกัน ข้าเองก็อยากสร้างอาวุธวิเศษให้สำเร็จเร็วๆ จะได้ช่วยนางปราบศัตรูในเร็ววัน…”
“เช่นนั้นท่านหาได้แล้วหรือยัง?”
“ยังหาไม่ได้ แต่สักวันต้องหาได้แน่…”
“ต้องรออีกนานเท่าใดกว่าวันนั้นจะมาถึง? สามปี? ห้าปี? หรือสิบปี?”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเงียบงัน
ซูฉุนขมวดคิ้ว ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าท่านสามารถตามหาไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด แต่ชนเผ่าหมาป่าจะไม่รอท่าน แคว้นติ้งเองก็ไม่มีเวลารอท่านนานถึงเพียงนั้น!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนเม้มปาก สีหน้าสับสน ป้อมปราการในใจเริ่มสั่นคลอนทีละน้อย
ซูฉุนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกว่า “ความจริงท่านรู้ดี ถึงแม้จะผ่านไปอีกสิบปี ท่านก็จะไม่มีวันหาวัสดุเหล็กที่เหมาะสมกว่าเหล็กอูจินได้อีกแล้ว…กินเบี้ยหวัดของกษัตริย์ ก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระของกษัตริย์ แต่นี่ท่านกินเงินเดือนของราชสำนักติ้ง ในใจกลับคิดถึงแต่ความแค้นส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นคนจิตใจคับแคบเพียงใด”
บุรุษที่สุภาพอ่อนโยนเสมอมา ครั้นบันดาลโทสะเมื่อใด กลับทำให้ผู้คนรับมือไม่ไหว ภายใต้วาจาเชือดเฉือนประโยคแล้วประโยคเล่า เซี่ยอวิ๋นเซวียนแทบไร้ข้อโต้แย้ง ดวงหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยความอัดอั้น
ซูหลีทนมองไม่ได้ จึงห้ามปราม “พี่ใหญ่ พอเถิด”
ไม่เคยนึกเลยว่า คนที่สุภาพอ่อนโยนเช่นซูฉุน ก็มีด้านที่พูดจาเชือดเฉือนและบันดาลโทสะเช่นนี้ด้วย ยามนี้นางได้กลายเป็นปะมุขแห่งแคว้นไปแล้ว เขากลับยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีของนางเช่นเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไป
ซูหลีถอนหายใจเบาๆ ก้าวลงจากที่นั่ง แล้วหันไปยิ้มให้เซี่ยอวิ๋นเซวียนเล็กน้อย “ข้าเชื่อว่าอวิ๋นเซวียนเพียงแค่โมโหด้วยอารมณ์ชั่ววูบ มิได้คิดจะไปจากที่นี่จริงๆ”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนได้ยินก็รู้สึกละอายใจ ไม่อาจเผชิญหน้ากับสายตาจริงใจของนางตรงๆ เขาก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด
ซูหลีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “อวิ๋นเซวียน ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน แล้วก็รู้ว่าหากจะให้ท่านปล่อยวางความแค้นทันทีก็เป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป แต่ข้าหวังว่าท่านจะมีส่วนในการร่วมมือครั้งนี้ สร้างอาวุธวิเศษที่อาจารย์ลุงของท่านออกแบบขึ้นมาอย่างยากลำบากให้สำเร็จ นี่ไม่เพียงเป็นการทำเพื่อข้า เพื่อแคว้นติ้ง แต่ยังเป็นการทำเพื่อตัวท่านและสำนักกระบี่เหล็กอีกด้วย”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนได้ยินก็เงยหน้า มองหน้านางด้วยสายตาไม่เข้าใจ
ซูหลีพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ท่านรู้หรือไม่ จั้นอู๋จี๋อาจจะยังไม่ตาย?”
“อะไรนะ?” เซี่ยอวิ๋นเซวียนเบิกตาค้าง “…จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?” ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินมายืนข้างซูหลี แล้วกล่าวเสียงขรึมว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในหลายปีมานี้ นอกจากเขาก็ไม่มีใครอีกแล้ว! คนผู้นี้ลอบวางแผนชั่วอยู่ในที่มืด คอยยุแยงตะแคงรั่วไปทั่ว หมายจะจุดชนวนสงคราม เพื่อฉวยโอกาสในยามวุ่นวาย!”
“แต่ว่า…” เซี่ยอวิ๋นเซวียนยังคงไม่เชื่อ เขาหันไปมองซูหลี แล้วพึมพำว่า “ตอนนั้นฝ่าบาททรงเห็นจั้นอู๋จี๋กระโดดป้อมปราการฆ่าตัวตายเองกับตามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? เขาจะยังมีชีวิตอยู่อีกได้อย่างไรกัน?”
ซูหลีเดินผ่านเขาไป เงยหน้าทอดมองท้องฟ้ามืดมนด้านนอกตำหนักฉินเจิ้ง ครั้นนึกได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา อาจเป็นฝีมือของจั้นอู๋จี๋ทั้งหมด หัวใจก็คล้ายกับถูกปกคลุมไปด้วยตาข่ายสีเทาที่มองไม่เห็น
ซูหลีเอ่ยเสียงขรึม “ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เหตุการณ์เมื่อสามปีก่อน ดูคุ้นเคยมาก การตายของเสด็จพี่และเสด็จพ่อ เหมือนกับเหตุโศกนาฎกรรมในจวนเซ่อเจิ้งอ๋องในอดีตไม่มีผิด!”
การตายของหลีซู ทำให้พระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋องตรอมใจตาย การตายของหลางฉ่าง ก็ทำให้อาการประชวรของฮ่องเต้พระองค์ก่อนกำเริบจนไร้หนทางรักษา เหตุการณ์แรกทำเพื่อแก้แค้นหลีเฟิ่งเซียนที่ทำลายประเทศชาติของเขา เหตุการณ์ต่อมาทำเพื่อแยกซูหลีกับตงฟางเจ๋อออกจากกัน ทำให้พวกเขาไม่อาจครองรักกัน ซึ่งเป็นการแก้แค้นที่โหดร้ายที่สุดสำหรับคนรักกัน
ความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งสองครั้ง ล้วนเป็นฝีมือของคนคนเดียวกัน แม้ภายนอก ซูหลีจะดูใจเย็น แต่ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังในใจกลับมากมายจนไม่อาจบรรยายได้
ตงฟางเจ๋อเดินเข้าไปลูบหัวไหล่นางเบาๆ คล้ายต้องการปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนไร้เรี่ยวแรงมากที่สุดในชีวิตนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่อดีตอันเจ็บปวดของนาง มีเขารวมอยู่ด้วย
ซูฉุนกล่าวด้วยความเคียดแค้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องหาตัวเขาให้เจอ ทำให้เขาไม่อาจทำชั่วได้อีก”
ซูหลีเอ่ยพลางครุ่นคิด “ข้าส่งคนตามหาอย่างลับๆ มาโดยตลอด แต่ก็ยังคงไร้ร่องรอยของเขาจนถึงตอนนี้ แต่นี่ก็สงบสุขมานานถึงสามปีแล้ว ข้าจึงสงสัยว่าตนเองอาจคิดผิด แต่การใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์พายุหิมะถล่มในครั้งนี้เพื่อสร้างเหตุจลาจลในสามแคว้น และยืมมือข้าเพื่อคร่าชีวิตเขา ทำให้สองแคว้นเกือบแตกหักกันอีกครั้ง…แผนการชั่วร้ายอันแยบคายเช่นนี้ นอกจากจั้นอู๋จี๋ ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนกล่าวด้วยความสงสัย “เขาเป็นเพียงองค์รัชทายาทของแคว้นที่ล่มสลายไปแล้ว ฐานอำนาจที่สร้างไว้ในแคว้นเฉิงก็ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว จะมีอำนาจและกำลังจากที่ใดทำเรื่องมากมายถึงเพียงนี้?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวเสียงขรึม “จั้นอู๋จี๋เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ช่ำชองการใช้จุดอ่อนของผู้อื่น ฐานอำนาจที่เขาสร้างขึ้น มิได้ง่ายดายเหมือนที่ชาวโลกเห็นกันแค่ภายนอก แล้วยังมีเด็กที่องค์หญิงเยวี่ยหยางพาอออกจากแคว้นหวั่นอย่างลับๆ ในอดีตอีกด้วย เด็กพวกนั้นผ่านการฝึกฝนพิเศษมาอย่างดี และกระจายตัวไปทุกที่ ยากจะแยกแยะตัวตน หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยหยุดตามหาพวกเขาเลยแม้แต่วันเดียว ถึงแม้จะเจอเบาะแสบ้างแล้ว แต่หากจะกำจัดให้สิ้นซาก ก็ยังไม่ถึงเวลาอันควร”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนก้มหน้า ในอดีต เป็นจั้นอู๋จี๋ที่ทำให้สกุลเซี่ยต้องล่มสลาย เขาเกลียดแค้นคนผู้นี้ยิ่งกว่าตงฟางเจ๋อเสียอีก เขานึกมาตลอดว่าศัตรูตายไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ครั้นนึกถึงการตายของท่านพ่อ จนป่านนี้ก็ยังไม่อาจย้ายกระดูกกลับไปฝังที่บ้านเกิด หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยเพลิงแค้น แต่สมองกลับยังคงมีสติชัดเจน
เขาหันไปถามซูหลี “ร่วมมือสร้างอาวุธกับแคว้นเฉิง เกี่ยวข้องอันใดกับจั้นอู๋จี๋หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
……………………………