รถม้าของมิเอลที่กำลังมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ดยุก หยุดลงหน้าร้านเบเกอรี่ระหว่างทาง เพื่อมารับเค้กที่สั่งจองไว้ล่วงหน้า
หล่อนตั้งใจมาให้ตรงกับเวลาที่จองไว้พอดีเพื่อให้ได้เค้กที่เพิ่งอบใหม่จากเตา
ขณะที่สาวใช้กำลังไปรับเค้ก หล่อนก็แหวกผ้าม่านที่ปิดอยู่ออกแล้วมองดูบรรยากาศด้านนอก
‘วันนี้คนเยอะจริงนะ’
ใกล้ๆ บริเวณนี้มีพิธีจบของวิทยาลัย และดูเหมือนบรรดาผู้เข้าร่วมกำลังทยอยกันออกมาเพราะพิธีจบลงแล้ว หากเลยขึ้นไปด้านบนจะเป็นป้อมเก่า ดังนั้นทางลงจึงมีแค่ทางนี้ทางเดียว
‘จะว่าไปแล้ว ทำไมเคาน์ติสที่ออกไปพร้อมอาเรียถึงได้กลับมาคนเดียวกันนะ’
พอดีกับที่หล่อนเกิดข้อสงสัย ก็มีคนมากมายตกใจที่เห็นรถม้าที่มิเอลนั่งแล้วพากันหยุดอยู่หน้ารถหล่อน
“…”
ปกติเมื่อเจอรถม้าของชนชั้นสูง พวกเขาควรจะหลีกตัวไปเล็กน้อยหรือไม่ก็ต้องก้มหน้าลง น่าแปลกเหลือเกิน คนที่จ้องมองรถม้าหรือเข้ามาชะเง้อมองใกล้ๆ กลับมีมากขึ้นทุกที
“เกิดอะไรขึ้น”
ผู้ติดตามที่อยู่ประจำที่ออกไปนอกรถม้าเพื่อตรวจสอบทันทีที่มิเอลเอ่ยถาม
มิเอลจึงมองตามออกไปนอกหน้าต่างและเป็นอันต้องตกใจจนตาโตเมื่อได้เห็นภาพผู้คนที่ปกปิดสีหน้ายินดีไว้ไม่มิด ได้กระทำตัวไร้มารยาท ไม่แม้แต่จะหลบหลีกต่อให้ผู้ติดตามจะแสดงตัวแล้วก็ตาม
ชาวบ้านพากันบอกบางอย่างกับผู้ติดตามหน้าตาแดงระเรื่อ ทางด้านผู้ติดตามก็มีสีหน้าสงสัยใคร่รู้อยู่สักพักก่อนจะเริ่มพูดคุยโต้ตอบกับพวกเขา
‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่’
มิเอลเริ่มหงุดหงิดเพราะเหตุการณ์แปลกประหลาด ทั้งที่ปัญหานี้แค่ให้ความสนใจและทำให้พวกเขาแยกย้ายก็พอ แล้วเหตุใดจึงต้องคุยกันเสียยืดยาว
บทสนทนายังดำเนินต่อไปจนกระทั่งสาวใช้ที่ถือเค้กเดินออกมา จากนั้นความยินดีก็ค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้าของชาวบ้านก่อนที่พวกเขาจะสลายตัวไปก็เป็นอันจบเรื่อง
มิเอลถามต้นสายปลายเหตุจากผู้ติดตามที่กลับมาพร้อมใบหน้าสับสน
“คือว่า…”
แต่ผู้ติดตามกลับไม่สามารถตอบคำถามของมิเอลอย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้สาวใช้ที่คอยมองอยู่ข้างๆ จึงได้ทีแย่งตอบ ผู้ติดตามคุยกับชาวบ้านจนกระทั่งหล่อนถือเค้กออกมาก็ยังไม่จบ ทำให้หล่อนพอจะเดาเรื่องออก
ใบหน้าของหล่อนสดใสราวกับได้รับของขวัญวันเกิดก็ไม่ปาน ดูหล่อนจะตื่นเต้นมากทีเดียว
“ดิฉันบอกเองค่ะ เลดี้รู้จักผู้ลงทุนผู้เลื่องชื่อใช่ไหมคะ ที่ลงทุนให้บรรดานักธุรกิจหนุ่มสาวที่มีความสามารถไม่เลือกชนชั้นวรรณะอย่างต่อเนื่องคนนั้นน่ะค่ะ!”
“…ผู้ลงทุน A น่ะหรือ”
“ใช่ค่ะ ใช่ค่ะ! ว่ากันว่าผู้ลงทุน A คนนั้นเปิดเผยตัวเองในงานพิธีจบของวิทยาลัยที่จัดขึ้นวันนี้ด้วยนะคะ!”
สาวใช้พยักหน้าและตอบกลับด้วยท่าทีสดใส ติดผมที่อาเรียให้วาววับอยู่บนผมของหล่อน
“อ้อ เช่นนั้นก็คงจะเป็นคนที่เข้าร่วมงานสินะ แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ในตอนนี้กันล่ะ”
มิเอลถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อหล่อนไม่ยอมพูดส่วนสำคัญมาเสียที
นั่นทำให้สีหน้าของผู้ติดตามยิ่งหมองลง สาวใช้กลืนน้ำลายแล้วพูดเสียงดัง
“ก็ผู้ลงทุนคนนั้นคือเลดี้อาเรียน่ะสิคะ! ทีนี้พอเห็นรถม้าที่มีตราประทับของตระกูลโรสเซนต์พวกเขาก็เลยมารวมตัวกันค่ะ! บางทีอาจจะคิดว่าเลดี้อาเรียอยู่บนนี้ก็ได้นะคะ!”
“…ว่าไงนะ”
สาวใช้ตอบราวกับภูมิใจนักหนาพาให้มิเอลตัวแข็งเป็นหิน
มิเอลจ้องสาวใช้ของตนนิ่งๆ ไม่ไหวติงราวกับลืมวิธีหายใจ ดูเหมือนกำลังตั้งคำถามกับคนของตนว่าพูดเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร
‘…ลูกสาวโสเภณีชั้นต่ำอย่างแม่นั่นคือผู้ลงทุนในข่าวอย่างนั้นหรือ คือคนที่ดัชเชสทรงต้องการให้มาอยู่ข้างเดียวกับพระองค์นั่นน่ะหรือ’
เรื่องนี้จะเป็นไปได้จริงหรือ
สิ่งที่หล่อนกำลังได้ฟังอยู่ตอนนี้คืออะไรกันแน่
แม้จะไม่เชื่อแต่มิเอลกลับเบิกตาโตเล็กน้อยแล้วกำมือที่วางไว้บนหน้าขาอย่างเรียบร้อยด้วยความตกใจ
แม่นั่นเป็นเพียงผู้หญิงโง่ๆ ที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา แต่ผู้ลงทุนคนเก่งคนนั้นกลับเป็นแม่นั่นอย่างนั้นหรือ
มิเอลคิดถึงตอนที่หล่อนเคยเอ่ยชมผู้ลงทุน A ต่อหน้าดัชเชสว่าเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมและมองการณ์ไกลโดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าใครคือผู้ลงทุนคนนั้น
เสียงที่ถามกลับไปช่างสั่นเครือ
“…นี่เรื่องจริงหรือ พวกเขาพูดแบบนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าเข้าใจผิดคนหรือไง…”
“พูดอะไรอย่างนั้นคะ! ดิฉันก็หมายถึง ‘อาเรีย โรสเซนต์’ ที่มีข่าวลือว่าเป็นนางร้ายตรงๆ เลยค่ะ”
มิเอลยังไม่อาจปักใจเชื่อแม้สาวใช้จะพูดย้ำว่าเป็นความจริงอยู่หลายครั้ง หล่อนส่งสายตาเร่งให้ผู้ติดตามของตนตอบคำถาม
หล่อนได้แต่หวังให้เขาตอบว่าไม่ใช่
ให้มันเป็นเพียงการเข้าใจผิดของสาวใช้ผู้โง่เขลา
แต่ตรงกันข้ามกับที่มิเอลวาดหวัง ผู้ติดตามตอบคำถามของหล่อนโดยการเสหลบตาไปเงียบๆ
มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน…! มิเอลที่ตกใจจนหน้าซีดสติหลุดไปพักใหญ่ก่อนจะวิ่งพรวดพราดออกไปนอกรถม้า พรวดพราดจนไม่อาจคิดว่าเป็นชนชั้นสูงได้เลย ผู้ติดตามเรียกหล่อนแล้วรีบวิ่งกวดตามหลังมา
คนที่ยังอ้อยอิ่งไม่ยอมออกไปจากรถม้าเกิดเข้าใจผิดคิดว่ามิเอลเป็นอาเรียจึงรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความยินดี ในมือถือเอกสารที่เพิ่งทำมาอย่างลวกๆ เพื่อให้อาเรียดูเอาไว้ด้วย
“…โอ๊ย ขอ ขอโทษครับ!”
แต่เมื่อเห็นว่านอกจากสีผมและสีนัยน์ตาแล้วก็ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนอาเรียอีก ก็รีบโค้งคำนับให้กับชนชั้นสูงผู้ประเสริฐทันที
เพราะสำหรับชนชั้นสูงทั่วไปแล้ว สามัญชนมักจะถูกมองว่าต่ำต้อยด้อยค่า ต่างจากอาเรียที่ที่ลงทุนกับพวกเขาโดยไม่คิดเสียดาย
“ผู้ลงทุนคนนั้น… เป็นคนจากตระกูลโรสเซนต์หรือ เพราะอย่างนั้นถึงได้มารอใช่ไหม”
ทันทีที่มิเอลผู้มีใบหน้าซีดเผือดถามแบบนั้น ชายผู้ก้มหน้าอย่างนอบน้อมก็ตอบรับ
“เอ๊ะ เอ่อ ครับ… ชื่อ ‘อาเรีย โรสเซนต์’ ครับ…”
“แล้ว แล้วสีผมล่ะ สีตาล่ะ ความสูงอีก สีผิว โทนเสียงล่ะเป็นยังไง อายุเท่าไร”
ชายหนุ่มมึนงงไปชั่วขณะเพราะคำถามที่หลั่งไหลมาไม่หยุด ก่อนจะเริ่มตอบไปทีละข้อ
ผมสีทองเป็นประกายระยิบระยับ รูปโฉมงดงาม และนัยน์ตาสีเขียวราวกับมีอัญมณีอยู่ในนั้น
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนตรงกับรูปพรรณของอาเรียจนมิเอลโซเซเหมือนจะลม ทำให้ผู้ติดตามรีบเข้ามาประคองทันที
“…รีบ รีบไปคฤหาสน์ท่านดยุกเร็ว!”
มวลชนพากันมาล้อมรอบเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่ผู้ติดตามกำลังประคองหล่อนกลับไปยังรถม้าอีกครั้ง แต่อาจเป็นเพราะความตกใจสุดขีด หูของมิเอลจึงไม่ได้ยินเสียงเอะอะโดยรอบแม้สักนิด
ดัชเชสจะทรงทราบเรื่องนี้หรือยัง หากทรงทราบแล้วหล่อนควรทำอย่างไรดี ฉันจะไม่โดนสะเก็ดไฟไปด้วยหรือ …หรือว่า ทรงคิดจะร่วมมือกับลูกสาวนางโลมต่ำทรามนั่นอยู่แล้ว…!
มิเอลยกมือกุมหน้าอกที่ใจเต้นระรัวเหมือนจะหยุดได้เอาไว้พร้อมกับออกคำสั่งเสียงดังให้พาหล่อนไปยังคฤหาสน์ดยุกในทันใด รถม้าจึงพุ่งทะยานสุดความเร็วสู่จุดหมายปลายทางด้วยเสียงดังน่ากลัวว่าจะแตกเป็นเสี่ยง
ดัชเชสที่ทรงอยู่ระหว่างการสนทนากับอาคันตุกะ กลับให้การต้อนรับมิเอลอย่างยินดีราวกับยังไม่ได้ข่าวดังนั้น
“ตายจริง สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ เลดี้มิเอล มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรื่องนั้น…!”
มิเอลไม่อาจตอบได้จนจบเพราะเพิ่งสังเกตเห็นท่านชายวิการ์ที่เดินตามหลังดัชเชสไอซิสออกมาจากห้องรับรอง ท่านชายวิการ์รู้ตัวว่าตนคือตัวขัดขวางระหว่างทั้งสอง จึงเอ่ยคำลาพร้อมรอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมาย
“ดัชเชสไอซิส กระหม่อมเสร็จธุระแล้ว คงต้องขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ ที่คอยให้คำแนะนำ ท่านชายวิการ์”
เขาจากไปแล้วทิ้งมิเอลให้อยู่กับดัชเชสเพียงลำพังแค่สองคน หล่อนได้แต่ตัวสั่นระริกเพราะไม่อาจเอ่ยปากพูดเรื่องอาเรียออกไปได้ ทั้งออสการ์ที่เพิ่งลงมาหลังจากได้ยินว่ามิเอลมาที่นี่ นั่นยิ่งทำให้หล่อนน้ำท่วมปากเข้าไปใหญ่
แต่ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ไม่สามารถปิดปากเงียบไปได้ตลอด ในที่สุดมิเอลก็หลับตาลงพร้อมกับบอกเล่าต้นสายปลายเหตุของตนออกไป
“…ที่พิธีจบวันนี้ ผู้ลงทุน A ได้เปิดเผยตัวออกมาแล้วนะคะ”
“ตายแล้ว จริงหรือคะ ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจจริงๆ…ว่าแต่ คนผู้นั้นต้องน่าเหลือเชื่อขนาดไหนกัน เลดี้ถึงได้ตัวสั่นงันงกมาแบบนี้”
ปฏิกิริยาที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นทำให้ไปซิสถึงกับหรี่ตาลงมอง ออสการ์เองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่
หล่อนไม่อาจผัดผ่อนไปนานกว่านี้ มิเอลยกชาขึ้นดื่มด้วยมือสั่นระริกก่อนจะพูดออกไปเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน
“คนคนนั้น… คือ ‘แม่นั่น’…”
แม่นั่น
เพียงแค่ชื่อของอาเรียก็ยังไม่อยากเรียก จึงเลือกใช้สมญาที่ไอซิสใช้เรียกเธอแทน
“…เมื่อกี้เลดี้พูดว่า’แม่นั่น’ อย่างนั้นหรือ ล้อเล่นเสียแรงเชียวนะ”
ไอซิสย้อนถามพร้อมเสียงแค้นหัวเราะ ขณะที่มิเอลได้แต่หลับตาแน่นแล้วตอบรับ
“เป็นเรื่องจริงค่ะ…”
ด้วยเหตุนี้ไอซิสจึงนิ่งไปเหมือนตัวหล่อนเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
ไอซิสพูดอะไรไม่ออกเพราะเรื่องไม่น่าเชื่อนี้อยู่พักใหญ่ ก่อนจะสั่งให้ผู้ช่วยออกไปตรวจสอบหาข้อเท็จจริงมา
“…ไปตรวจสอบมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเป็นจริงตามนั้นหรือไม่”
ออสการ์ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวพยายามถามอยู่หลายครั้งว่าทั้งสองหมายถึงใคร แต่ก็ไม่มีใครยอมเอ่ยตอบเขาแม้สักคน
มีเพียงความเงียบที่ยังคงดำเนินต่อไปไร้ซึ่งเสียงสนทนาโต้ตอบ
ผู้ช่วยที่ออกไปหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ลงทุน A ตามคำสั่งของไอซิส วิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาหน้าซีดเผือด
“…ดัชเชสไอซิส ท่านผู้ลงทุน A เปิดเผยตนเองว่าเธอคือ ‘อาเรีย โรสเซนต์’…”
เพล้ง
ไอซิสขว้างแก้วชาของตนทิ้งก่อนที่ผู้ช่วยจะได้รายงานจนจบ
มิเอลคู้ตัวและตัวสั่นด้วยความตกใจกับเสียงนั้น ออสการ์ก็เพิ่งมารู้ตัวจริงของ ‘แม่นั่น’ เอาในตอนนี้เอง เขาใช้ฝ่ามือปิดปากเอาไว้แต่ไม่อาจปิดความตกใจไว้ได้มิด
“…ใช่สิ ถึงได้กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากันอย่างผิดปกติวิสัย”
ไอซิสพูดแล้วหัวเราะเสียงดังราวกับเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งยังพูดเสริมว่าเข้าใจเหตุผลที่เธอปฏิเสธอย่างเฉียบขาดแม้ตนจะส่งจดหมายหรือคนไปหลายครั้งมากก็ตาม เพราะหากใส่ใจมากขนาดนั้นคงให้โอกาสมาเจอกันสักครั้งแล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้ช่วยข้างกายหล่อนที่ยังรายงานไม่เสร็จกลับได้แต่กัดปากแน่นอย่างทำตัวไม่ถูก
“เราน่าจะกำจัดนังคนปลิ้นปล้อนไปเสียให้สิ้นซากตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วแท้ๆ”
น้ำเสียงที่รอดผ่านไรฟันที่ถูกขบเคี้ยวนั้นช่างน่ากลัวเหลือคณา หากอาเรียมาอยู่ตรงหน้าตอนนี้ หล่อนคงหักลำคอระหงของเธอทิ้งเสียเดี๋ยวนี้
ไอซิสก่นด่าสาปแช่งเธออยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่แววตาจะเป็นประกายราวกับคิดอะไรดีๆ ออก
“ในเมื่อมันเป็นกลุ่มอำนาจที่เราต้องการกำจัดเพราะดึงมาอยู่ข้างเดียวกับเราไม่ได้ ฉะนั้นในตอนนี้….”
ทั้งบรรดาผู้ที่ได้รับการลงทุนซึ่งหล่อนไม่อาจดึงมาเป็นพรรคพวกได้ ทั้งอาเรียที่เป็นเสมือนหนามบ่งใจ ดังนั้นแค่กำจัดไปให้พ้นทางก็พอ
ไม่ว่าจะได้รับคำสรรเสริญเยินยออย่างไรสุดท้ายก็เป็นเพียงลูกสาวนางโลม แค่ว่าจ้างเพชฌฆาตสักคนก็สามารถกำจัดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ไอซิสตกลงปลงใจกับตัวเองเพียงลำพัง แต่เมื่อหล่อนออกคำสั่งให้ผู้ช่วยออกไปก่อน เขากลับน้อมหัวแล้วรายงานสิ่งที่ยังไม่ได้พูดต่อไปให้จบ
“คือว่า… เลดี้ …ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องรายงานครับ”
ผู้ช่วยยิ่งโน้มตัวทั้งยังตัวสั่นเสียยิ่งกว่าตอนรายงานเรื่องที่อาเรียคือผู้ลงทุน ภาพนั้นทำให้ไอซิสยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเข้าไปอีก
ไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องที่เลวร้ายกว่านี้เกิดขึ้นหรอกนะ หล่อนต้องก้มหัวให้กับบรรดาคนที่เคยตามหล่อนเพราะคำดูถูกจากองค์รัชทายาท ทั้งยังต้องหันไปจับมือกับกษัตริย์ของอีกจักรวรรดิเพื่อให้ได้สิ่งนั้นคืนมา
แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผู้ที่เกิดมาในตระกูลสูงส่งและมีเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์อย่างหล่อนแล้ว นี่นับเป็นเรื่องอัปยศอดสูอย่างไม่อาจหาคำพรรณนา
ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องใดจะน่าตระหนกตกใจได้เทียบเท่า หัวใจเต้นระรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุจนแทบจะหลุดออกมาทางปาก แต่ไอซิสก็ยังคงพยายามรักษาท่าทีนิ่งเฉยพลางเอ่ยเร่งขอคำรายงาน
ด้วยเหตุนี้ ผู้ช่วยที่เว้นช่วงไปเล็กน้อยจึงได้หลับตาแน่นแล้วค่อยๆ พูดต่อช้าๆ
“หลังจบพิธี… ว่ากันว่า… เธอหายไปพร้อมกับ… เจ้าชายครับ และยังพูดกันว่าทั้งสองน่าจะคบหากันมาตั้งนานแล้วอีกด้วย…”
“…”
ถ้าอย่างนั้น ทั้งคำดูถูกดูแคลนและความอัปยศทั้งหมดนี้… ก็เกิดขึ้นเพราะนางมารร้ายผู้หยาบช้านั่นอย่างนั้นน่ะหรือ…
ฟุ่บ
“ดัชเชส…!”
“ท่านพี่!”
ไอซิสหมดสติเพราะตกใจสุดขีดจนล้มลงบนพื้นเย็นเยียบก่อนที่ผู้ช่วยจะทันได้พูดจบ
* * *
“อาเรีย!”
ทันทีที่กลับถึงคฤหาสน์ท่านเคานต์หลังจากใช้เวลาไปกับอาซไม่ว่าจะเป็นเดินเล่นในป่าหรือเดินชมทั่วบ้านพักตากอากาศ ท่านเคานต์ที่ควรจะกลับมาตอนดึกก็เข้ามาต้อนรับอาเรียราวกับมีเรื่องอะไรบางอย่าง
ทั้งใบหน้าแดงเรื่อง สีหน้า และสายตาทำให้เธอพอจะรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว
“กลับมาเร็วจังเลยนะคะ”
“งานเสร็จเร็วพ่อถึงได้รีบกลับมายังไงล่ะ”
ท่านเคานต์ผู้มีใบหน้ารักใคร่และน้ำเสียงเอ็นดูเธอมากกว่าครั้งใด เอ่ยชวนให้เธอร่วมดื่มชากันระหว่างครอบครัวหลังจากไม่ได้ทำแบบนั้นมานานพร้อมรอยยิ้มสดใส
‘นานอะไรกัน ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกหรือ’
เขาคงคิดจะรักษาท่าทีงามสง่าเอาไว้ด้วยการดื่มชา ทั้งที่ในใจคงอยากจะถามทุกสิ่งที่สงสัยมันเสียตรงนี้ ณ เวลานี้ล่ะสินะ
ถัดจากท่านเคานต์ไปด้านหลังคือเคนที่กำลังทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก สีหน้าอย่างกับประเทศเพิ่งเสียเอกราชไปอย่างไรอย่างนั้น แล้วเหตุใดเขาถึงได้ทำหน้าราวกับสูญเสียอะไรบางอย่างไปเช่นนั้นกัน ในเมื่อเขาก็ไม่ได้มีอะไรมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่
แล้วเธอจำเป็นต้องมาทำอะไรน่ารำคาญตามความต้องการของพวกเขาเพียงเพราะเธอตัดสินใจคบกับองค์รัชทายาทอย่างเป็นทางการแล้วด้วยหรือ ทั้งที่ท่านเคานต์ตัดสินใจจะอยู่ข้างเดียวกับดัชเชสจนแทบจะสวมใส่หนังที่เขียนว่าครอบครัวอยู่แล้วด้วยซ้ำ
ดังนั้นเมื่ออาเรียเอาแต่ขบคิดว่าจะทำอย่างไรเธอจึงจะได้ประโยชน์ ท่านเคานต์จึงรีบเร่งเร้าให้เธอรีบเข้าบ้าน
“ที่รัก อาเรียจะไม่เหนื่อยแย่หรือคะ ลูกออกไปตั้งแต่เช้าเพิ่งจะได้กลับมาเอาป่านนี้”
และผู้ที่เข้ามาช่วยอาเรียก็ไม่ใช่ใครอื่นหากแต่เป็นเคาน์ติสนั่นเอง หล่อนเดินลงมาจากชั้น 2 พร้อมรักษาใบหน้างดงามนั้นอย่างเต็มที่ไม่เหมือนในเวลาปกติ พร้อมทั้งกล่าวเตือนท่านเคานต์
“เพราะอย่างนั้นคุณควรจะใส่ใจให้มากกว่านี้หรือเปล่าคะ”
ราวกับหล่อนกำลังพยายามจะสลัดทุกสิ่งที่เคยต้องทนทุกข์ทั้งที่สังเกตเห็นมาตลอดออกไปให้หมด จึงพูดออกมาได้โดยไม่ลังเลแม้แต่นิด
คราวนี้ท่านเคานต์จึงได้สังเกตเห็นเสียที
“…ฮึ่ม ก็ดูจะเป็นเช่นนั้นนะ มาคิดดูอีกทีลูกไปพักก่อนแล้วค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า”
อาเรียแย้มยิ้มงดงามให้ท่านเคานต์ที่เปลี่ยนคำพูดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ขณะที่เธอกำลังจะขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนั้นเอง มิเอลที่ออกไปคฤหาสน์ท่านดยุกก็กลับเข้ามาพร้อมดวงตาแดงก่ำพอดิบพอดี
อาเรียมั่นใจว่าที่หล่อนเป็นแบบนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเธอเป็นแน่ จึงยิ้มให้มิเอลอย่างอ่อนโยนทั้งยังเอ่ยต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับจะ มิเอล”
“…!”
ราวกับไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอหน้าอาเรียทันทีที่กลับมา หล่อนถึงได้ก้าวถอยหลังด้วยความตกใจอย่างแรงเช่นนั้น
นัยน์ตาหล่อนส่ายไปมาสะเปะสะปะทางนั้นทีทางนี้ที
‘ตายจริง ทำไมสนุกแบบนี้นะ’
ภาพนั้นช่างน่าดูและเพลิดเพลินเสียจนเธอเปลี่ยนใจไม่กลับขึ้นห้องแล้ว ทั้งยังยืดแผ่นหลังตั้งตรง
“จะว่าไป ลูกควรจะรายงานให้ทุกคนทราบก่อน มันสายเกินไปมากทีเดียวค่ะ ลูกต้องขออภัยด้วยนะคะที่ปิดบังตลอดมา”
ทุกสายตาจับจ้องมาทันทีที่เธอปริปากพูดเช่นนั้นออกมา ทั้งความคาดหวัง ความท้อแท้ และความโกรธแค้นพุ่งตรงไปยังอาเรียที่กำลังจะประกาศเรื่องที่พวกเขาได้รับรู้มาก่อนแล้วอย่างเป็นทางการ ว่าบุคคลหลักของกลุ่มอำนาจใหม่แห่งจักรวรรดิอย่างผู้ลงทุน A คือตัวเธอเอง
อาเรียระบายยิ้มอย่างสุขใจก่อนจะเอ่ยปากพูดทั้งที่กำลังได้รับสายตาจากทุกคนอยู่ ราวกับเห็นว่านี่เป็นเรื่องสนุก
“แล้วคนที่ลูกคบหาอยู่ยังบอกกับลูกว่าเขาอยากมาที่บ้านในเร็ววันนี้ด้วยค่ะ เห็นว่าอยากจะมาขออนุญาต ส่วนจะขออนุญาตเรื่องอะไรนั้นลูกเองก็ฟังไม่ถนัดเท่าไร คงได้รู้ในวันนั้นทีเดียวน่ะค่ะ”
แต่อาเรียกลับทิ้งระเบิดลูกอื่นซึ่งผิดไปจากความคาดหวังของทุกคนใส่ แล้วเดินขึ้นบันไดกลับห้องตัวเองไปอย่างสบายใจ ทิ้งพวกเขาที่พูดอะไรไม่ออกเพราะความตกใจและสับสนเอาไว้เบื้องหลัง
ในห้องโถงที่เธอได้จากไปมีเพียงความเงียบงันราวกับไม่มีคนอยู่ ทั้งที่ในความเป็นจริงจะอยู่กันพร้อมหน้าก็ตาม
……………………….