“เลดี้ เลดี้ควรจะลงไปห้องอาหารมากกว่านะคะ”
วันต่อมา อาเรียเพียงแค่ดื่มน้ำชาแบบง่ายๆ และเอาแต่เขียนจดหมายแม้จะเลยเวลาอาหารเช้ามาแล้วก็ตาม เจสซี่จึงเอ่ยบอกเธอด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใย
“วันนี้ฉันเพลียนิดหน่อย รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยดีเท่าไร ขอไม่รับมื้อเช้าก็แล้วกัน”
แต่อาเรียกลับทรยศความคาดหวังของสมาชิกในคฤหาสน์ท่านเคานต์ที่ต่างก็ตั้งตารอคอยแต่มื้อเช้า เธอยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า
จริงอยู่ที่ร่างกายเธอไม่ได้เป็นอะไร แต่ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อทำให้จิตใจอันว้าวุ่นของพวกเขาร้อนรุ่มกว่านี้อีกสักนิด
ไม่ได้มีแผนการอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่รู้สึกว่ามันสนุกดีก็เท่านั้น เหตุใดเธอจึงต้องออกหน้าไปมอบความสำราญเริงรมย์ให้คนพวกนั้นด้วย หาได้มีความจำเป็นที่เธอต้องทำเช่นนั้น
“เจสซี่ ช่วยส่งจดหมายนี้ไปให้ซาร่าที แล้วก็เอาอาหารง่ายๆ มาให้ฉันด้วย”
อาเรียเขียนจดหมายเรียบเรียงเหตุการณ์ที่จะส่งให้ซาร่าแล้วนำใส่ซองเรียบร้อย ก่อนจะส่งให้เจสซี่
ทั้งที่เมื่อครู่เธอเพิ่งบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีแท้ๆ แต่แอนนี่กลับออกตัวแทนเจสซี่ที่กำลังสงสัยโดยบอกว่าหล่อนจะเป็นคนเตรียมอาหารมาให้ทันที
เธอบรรเทาความหิวด้วยซุปและเครื่องดื่มเบาๆ แล้วใช้เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการเอ้อระเหยลอยชายวางแผนเผื่อวันข้างหน้า แต่จู่ๆ กลับได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากนอกหน้าต่างที่เปิดไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท
เมื่อไกลออกไปด้านนอกก็เห็นเหมือนเงาของใครหลายคนกำลังต่อสู้ดึงดันกับทหารองครักษ์ที่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์
“…ท่าน…! แค่สักเดี๋ยว…!”
ด้วยระยะทางที่แสนไกลทำให้เธอไม่อาจได้ยินได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน แต่นี่คือวันถัดมาจากงานพิธีจบเธอจึงคิดเอาว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเธอแน่
ดังนั้นอาเรียจึงส่งแอนนี่ไปสืบหาเหตุแห่งความวุ่นวายและมันก็เป็นอย่างที่เธอคาด
“พวกเขาอยากเอาแผนธุรกิจมาให้เลดี้ดูถึงได้ชุลมุนกันขึ้นค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“บอกให้กลับไปก็ไม่ฟังนะคะ เอาแต่ถามว่าขอพบเลดี้สักครั้งไม่ได้หรือ ดิฉันบอกว่าจะให้บารอนเวอร์บูมนำแผนธุรกิจของพวกเขามาส่งเลดี้ให้ก็ไม่เอาค่ะ! เสียมารยาทกันจริงๆ!”
มันก็เข้าใจได้อยู่หรอก เพราะคนที่พร้อมจะลงทุนให้กับพวกเขาที่ไม่มีต้นทุนใดๆ นั้นหาได้ยากเหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจทั้งหมดที่ผู้ลงทุน A ลงทุนนั้นต่างก็กลายเป็นเรื่องราวสุดยอดธุรกิจที่โด่งดังไปทั่วทุกสารทิศ
และเธอยังได้ลงทุนกับวิทยาลัยที่เปรียบเสมือนโครงการการกุศลอีกด้วย ไหนจะที่เธอได้ประกาศอย่างมั่นใจว่าเธอจะยังลงทุนต่อไปในอนาคตอีก ด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงอยากให้เธอได้ดูแผนของพวกตนสักครั้งอย่างไรล่ะ
“ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ”
“…แต่เลดี้คะ”
“การดูแผนธุรกิจมันคืองานของฉันไม่ใช่หรอกหรือ พวกเขาต่างก็มาไกล ฉันปล่อยให้พวกเขาอยู่แค่หน้าประตูอย่างเลือดเย็นไม่ได้หรอก”
ในเมื่อเธอเลือกจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เธอก็ละเลยไม่ได้
ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องช่วยเหลือคนยากคนจนและทำให้ตำแหน่งของนางร้ายกับแม่พระเปลี่ยนกลับกันให้ได้
“พวกเขาเดินเท้ากันมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางให้มาทานอาหารง่ายๆ ด้วยกันสักมื้อก็ดีนะ ไปบอกบรรดาผู้ดูแลคฤหาสน์ให้แต่งสวนไว้เถอะ เอาให้สวยพอที่จะต้อนรับแขกได้นะ”
“แต่ แต่ว่าเลดี้…! ถ้าเราเปิดให้ใครที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเกิดมีอุบัติเหตุอะไรขึ้นล่ะคะ!”
หล่อนพูดถูก แต่สำหรับเธอแล้วยังมีนาฬิกาทรายที่พร้อมให้ใช้สำหรับเรื่องแบบนั้นอยู่
อาเรียเหลือบมองนาฬิกาทรายที่ถูกวางไว้บนตู้อย่างดิบดีแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ
“แอนนี่ ฉันดูเป็นคนโง่แบบนั้นหรือไง”
ตอนนั้นเองแอนนี่ก็เป็นอันต้องกลืนน้ำลายเมื่อหล่อนหวนนึกไปถึงช่วงที่อาเรียสามารถข้ามผ่านคำลวงของเอ็มม่ากับเบอร์รี่มาได้อย่างไม่ยากเย็น
ตอนนี้อาเรียมีสีหน้าอ่อนโยนและเมตตา ทั้งยังจิตใจดีราวแม่พระก็จริง แต่แอนนี่ที่อยู่ใกล้เธอนั้นรู้ดี ว่าในบางครั้งนางมารร้ายในข่าวลือกลับหลบซ่อนอยู่ในตัวเธอ
“เพราะฉะนั้นรีบไปเตรียมอย่าให้ชักช้านัก”
“…ค่ะ ค่ะ! เลดี้! “
ด้วยความช่วยเหลือจากม้าเร็วอย่างแอนนี่ สวนกลางแจ้งก็พร้อมรับแขกภายในเวลาอันรวดเร็ว
ท่านเคานต์ที่ออกไปไหนไม่ได้เพราะต้องการฟังเรื่องราวโดยละเอียดจากอาเรียรู้สึกแปลกใจจนต้องถามเอากับผู้ดูแลคฤหาสน์
“เรื่องนั้น… ผมทราบเพียงแค่เลดี้อาเรียสั่งแค่ให้เตรียมไว้…”
“อาเรียรึ”
นั่นทำให้ท่านเคานต์เข้าใจผิดไปเองว่าเธอได้เตรียมที่แห่งนี้ไว้เพื่ออธิบายเรื่องราวโดยละเอียดให้ตนฟังจนหัวใจพองโตด้วยความภูมิใจ
ซึ่งนั่นน่าจะเป็นความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงทีเดียว
“โธ่ เลดี้อาเรีย! ขอบคุณจริงๆ นะครับ! แค่เลดี้ช่วยรับแผนธุรกิจของพวกเราเอาไว้ก็เป็นบุญคุณอย่างสูงแล้ว แต่ยังอุตส่าห์เตรียมอาหารไว้ให้แบบนี้อีก!”
“พวกท่านอุตส่าห์ดั้นด้นมาด้วยตนเองแบบนี้ ดิฉันปล่อยให้พวกท่านอยู่แค่ประตูไม่ได้หรอกค่ะ ทุกท่านคงจะเหนื่อยแย่ ขอให้ค่อยๆ ทานอาหารกันให้อร่อยนะคะ แล้วระหว่างที่ทุกท่านกำลังทานอาหาร ดิฉันจะอ่านแผนธุรกิจไปด้วยค่ะ”
“ขะ…ขอบคุณครับ!”
บรรดาหนุ่มสาวเกือบสิบคนต่างรีบลงมือทานอาหารกันท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นและอ่อนโยน
ทั้งท่านเคานต์ เคาน์ติส และเคนที่รีบวิ่งมาเพราะความเข้าใจผิด เห็นแบบนี้ก็ได้แต่ตกตะลึงจนหน้าซีดไปตามๆ กัน
มิเอลผู้มีจิตใจเปราะบางได้เฝ้ามองภาพอันน่าสยดสยองนี้จากนอกหน้าต่าง ก่อนจะปิดหน้าต่างด้วยหน้าตาบึ้งตึงแล้วเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
ท่านเคานต์เดินเข้าไปหาอาเรียที่กำลังตรวจเอกสารด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วเอ่ยถามเบาๆ
“…อาเรีย ลูกแค่รับเอกสารไว้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
“พวกเขาอุตส่าห์รอมาตั้งแต่เช้า ลูกให้พวกเขากลับไปเฉยๆ ไม่ได้หรอกค่ะ”
“ท่านพ่อ…”
พวกนั้นมารอกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วต่างหากล่ะ
ท่านเคานต์ได้แต่ยิ้มเจื่อนเมื่อไม่อาจพูดได้จนจบ นี่ตนมาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถบอกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองให้ลูกเลี้ยงรู้ได้อย่างไรกัน
ด้วยนิสัยของพ่อค้าในตัวที่หยั่งรากลึกจนถึงกระดูกดำ เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเช่นนั้น จึงปิดปากเงียบแล้วเข้าไปแทรกที่โต๊ะอาหารแทน
“ไม่เข้าไปทานข้างในหรือคะ”
“พ่อจะปล่อยเวลาที่จะได้อยู่กับบรรดานักธุรกิจรุ่นใหม่ไปได้อย่างไรเล่า! พ่อว่าพวกเขาอาจกลายเป็นเสาหลักของจักรวรรดิในวันข้างหน้าก็ได้”
แม้จะไม่ได้คิดเช่นนั้นแต่ท่านเคานต์ก็ยังไม่ยอมเสียที่ทั้งยังพูดจาสวยหรู เคนกับเคาน์ติสเองก็ตามมาเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาถึงจะมีสีหน้าอึดอัดใจกันก็ตาม
“มีความคิดอะไรดีๆ ไหมล่ะ”
คำถามของท่านเคานต์ทำให้อาเรียยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย หมายความว่าเขากำลังขอดูด้วยนั่นเอง
แต่มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นล่ะ
ท่านเคานต์ทำเหมือนจะขโมยความคิดที่ยอดเยี่ยมของบรรดานักธุรกิจรุ่นเยาว์เหล่านี้ต่างจากเธอที่คิดจะลงทุนด้วยความบริสุทธิ์ใจ เธอจึงเพียงแค่พยักหน้ากลับไปแทนคำตอบ
“มีค่ะ แผนธุรกิจที่ทุกท่านนำมามีแต่ความคิดดีๆ ทั้งนั้นค่ะ”
คำพูดของเธอทำให้ใบหน้าของคนหนุ่มสาวที่กำลังทานข้าวอยู่สดใสขึ้นทันตา เพราะการได้รับการยอมรับจากอาเรียก็เหมือนพวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะประกอบธุรกิจได้นั่นเอง
“ทั้งแปลกใหม่แล้วก็ไม่ซ้ำใครด้วยนะคะ เป็นธุรกิจต่างๆ ที่น่าเสียดายเกินกว่าจะถูกเก็บไว้ทั้งนั้น อืม… แต่ก็ยังมีส่วนที่ต้องแก้ไขอยู่เหมือนกันค่ะ”
แน่นอนว่าเธอเพียงพูดไปอย่างนั้นเอง
เพราะไม่ว่าจะคิดอีกกี่ตลบมันก็ไม่มีธุรกิจไหนเลยที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อตัดสินด้วยความรู้จากการตรวจสอบธุรกิจมาหลายสิบหลายร้อยอย่าง พวกเขาก็เป็นได้แค่ปุถุชนคนธรรมดาหาได้เหมาะกับการทำธุรกิจ
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่หากเป็นความสามารถที่พอจะจัดการแผนและแยกแยะได้อย่างละเอียดแล้วก็นับว่าเธอสามารถช่วยพวกเขาได้
นับเป็นโอกาสที่ดีทีเดียว
“เพราะอย่างนั้นลูกจึงอยากให้โอกาสทุกท่านเลยค่ะ”
อาเรียแนะนำให้พวกเขาเข้าเรียนที่วิทยาลัย ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาทุกคนต่างก็เก็บความผิดหวังเอาไว้ไม่มิดเพราะพวกเขานับว่านั่นคือการปฏิเสธ
เธอเลี้ยงอาหารพวกเขาจนถึงมื้อเที่ยงดังนั้นมันจะมาจบลงแบบนี้ไม่ได้ อาเรียจึงพูดต่อเนื่องจากเธอยังพูดไม่จบ
“หากพวกท่านไร้ซึ่งพรสวรรค์ ดิฉันคงส่งพวกท่านกลับโดยไม่เอ่ยชวนไปแล้วแต่ว่า… ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ทั้งสิ้น ดังนั้นดิฉันจะเป็นคนสนับสนุนเรื่องค่าเล่าเรียนให้เองค่ะ”
เธอกำลังคิดว่าการสนับสนุนทุนการศึกษาในนามของเธอเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแย่ไปเสียทีเดียว อีกทั้งอาซเองก็แนะนำและยังเป็นการประกาศศักดาให้พวกเขาเห็นด้วย เพราะสำหรับเธอแล้วมันก็เป็นเพียงแค่เศษเงินเท่านั้น
คำพูดชมเชยที่บอกว่ายอมรับความสวรรค์ของพวกเขาแม้ว่าจะใกล้เคียงกับการปฏิเสธไปบ้างก็ตาม ทั้งยังบอกว่าสนับสนุนค่าเรียนอีก ทำให้พวกเขายิ่งยกย่องอาเรียมากขึ้น
“ดื่มชาสักหน่อยแล้วค่อยไปนะคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ แค่นี้พวกเราก็เป็นหนี้บุญคุณเลดี้อย่างใหญ่หลวงจนไม่อาจอยู่เฉยได้แล้วล่ะครับ!”
อาเรียมองตามหลังกลุ่มวัยรุ่นที่เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย และทันทีที่พวกเขาหายลับไปใบหน้าของเธอก็ค่อยๆ เย็นเยียบลงช้าๆ เธอวางส้อมกับมีดลง รสชาติอาหารนั้นแสนอร่อยแต่ความอยากอาหารกลับลดฮวบ เพราะมารยาทบนโต๊ะอาหารของคนพวกนั้น
เธอเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่เคยร่วมรับประทานกับตัวเธอในอดีตที่ก็ไม่มีมารยาทแบบนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อคิดได้ว่าในที่สุดตัวกวนก็หายไปเสียที ท่านเคานต์ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปและเอ่ยปากถามอาเรียทันที
“อาเรีย นี่ข่าวลือทั้งหมดเป็นความจริงหรือ”
สีหน้าเขาเหมือนกำลังรีบร้อนเป็นอย่างมาก เหมือนกับบรรดาวัยรุ่นที่ถือแผนธุรกิจมาหาเธอไม่มีผิด
เขาดูเหมือน… เหมือนสัตว์ที่กำลังหิวโหยจนวิ่งพล่านไปทั่วท้องถนนมากกว่าจะเป็นขุนนางจนเธอต้องยิ้มออกมา
“…ข่าวลือหรือคะ”
สีหน้าแบบนั้นจากท่านเคานต์ไม่ได้มีให้เห็นกันง่ายๆ เธอจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วยอมปริปากพูด และเขาก็ถามกลับมาเสียงดังราวกับกำลังอึดอัดทันที
“ก็ข่าวลือที่ว่าลูกคือนักลงทุน A ไง! แล้วไหนจะเรื่องที่ลูกไปสนิทชิดเชื้อกับเจ้าชายอีก!”
ทั้งที่ได้เห็นพวกนั้นมาหาเธอถึงที่จนกลับไปแล้วก็ยังต้องการคำยืนยันอยู่อีกหรือ
ทันทีที่เธอพยักหน้ารับ ท่านเคานต์ก็ยิ้มร่าใบหน้าสดใสเพราะได้คลายทุกข้อสงสัยเสียที
ท่านเคานต์ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เพราะเขาได้ตรวจสอบจากข่าวลือที่ผ่านมาหลายปากและจากเคาน์ติสที่เห็นมากับตาตัวเองแล้วนั่นเอง
“ว่าแล้วเชียว! พ่อรู้ตั้งแต่ลูกยังเด็กแล้วล่ะ!”
เขาคงกำลังพูดถึงธุรกิจขนสัตว์อยู่สินะ ธุรกิจขนสัตว์ที่ตนไม่คิดจะทำอะไรทั้งนั้นแม้ว่าเรนจะเข้าใจผิดเพราะความคิดของมิเอลก็ตาม
ธุรกิจคลังเก็บสินค้าก็เช่นเดียวกัน แม้จะประสบความสำเร็จอย่างงดงามแต่ท่านเคานต์กลับไม่เคยเอ่ยถึงมัน ไม่แม้แต่จะระลึกถึงเธอด้วยซ้ำ
“อย่างนั้นหรือคะ เห็นท่านพ่อไม่เคยพูดถึงมันมาก่อน ลูกคิดว่าท่านพ่อลืมไปแล้วเสียอีกค่ะ ลูกถึงได้เริ่มทำในแบบของลูกเอง”
คำพูดของท่านเคานต์ทำให้อาเรียตอบพร้อมรอยยิ้มเยาะ เธอไม่จำเป็นต้องสนใจเขาอีกจึงพูดด้วยสำเนียงตำหนิถึงความผิดพลาดของเขา
ท่านเคานต์ผู้มีชนักติดหลังได้แต่กระแอมไอแล้วเปลี่ยนเรื่องไม่พูดถึงประเด็นอ่อนไหว ราวกับเขาไม่เคยทำอะไรผิดมาก่อนเลย
“เอาล่ะ เอาล่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้พ่อก็รู้แล้วไง ตั้งแต่นี้ลูกเองก็ออกไปข้างนอกพร้อมเคนเลยจะดีกว่านะ ยังมีงานต้องทำอีกเยอะแยะเชียว!”
เขากำลังขอร้องให้เธอไปช่วยธุรกิจในอนาคตของตัวเองอย่างชัดเจน เขาพูดเหมือนว่าอาเรียจะต้องช่วยเขาอย่างแน่นอน ไม่สิ พูดเหมือนจะทำให้มันเป็นแบบนั้นต่างหาก
“ไม่ได้หรอกค่ะ อย่างที่ท่านพ่อก็เห็นว่าลูกกำลังยุ่ง มีบรรดาคนรุ่นใหม่อุตส่าห์มาหาแบบนี้ลูกก็ต้องให้การต้อนรับสิคะ ไหนจะยังมีจดหมายจากต่างประเทศอีก ลูกออกไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ”
แต่เมื่อโดนปฏิเสธอย่างเฉียบขาด ท่านเคานต์ก็ได้แต่ปิดปากแน่นเหมือนโดนเย็บ เพราะไม่ว่าใครมองก็รู้ว่าเธอยุ่งอยู่จริงๆ
แววตาของท่านเคานต์ได้แต่มองลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศราวกับรู้ตัวว่าตนได้พลาดโอกาสไปเสียแล้ว
“…น้องรู้จักกับเจ้าชายมาก่อนแล้วใช่ไหม”
เคนที่พยายามหาโอกาสแทรกรีบถามขึ้นทันที
สีหน้าของเขาดูน่ากลัวมากทีเดียว เคาน์ติสเองก็รอคอยคำตอบด้วยแววตาวาววับเพราะหล่อนเองก็อยากรู้เช่นกัน
“ตอนนั้นน้องอายุ 14 ถ้าอย่างนั้นก็ 2 ปีแล้วละค่ะ”
เป็นช่วงเวลาที่แม้แต่คนพูดเองยังตกใจ ผ่านมาตั้ง 2 ปีแล้วหรือที่ความสัมพันธ์แย่ๆ แปรเปลี่ยนมาเป็นความผูกพัน
เจ้าชายผู้เคยเป็นเพียงเด็กชายกลายเป็นชายหนุ่มอายุครบ 20 ปีแล้วในวันเกิดปีนี้ของเขา นอกจากนั้นเขาจะยังปรากฏตัวในงานพิธีการที่เป็นสาธารณะ และจะแสดงพระเกียรติยศให้ขจรขจายไปทั่วทั้งแผ่นดินไม่เหมือนเมื่อครั้งอดีต
แต่คนที่จะอยู่เคียงข้างเขาจะเป็นเธอได้หรือไม่
เคนยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับมันได้อย่างไร แม้จะยังแย้มยิ้มที่ยากจะบอกได้ว่าคาดหวังหรือกังวลอยู่ก็ตาม เคาน์ติสเอ่ยถามอย่างจุกจิกว่าเหตุใดเธอจึงปิดบังเรื่องนี้ตลอดมา
“เพราะเราต่างก็เจอกันโดยที่ไม่รู้ว่าตัวจริงของอีกฝ่ายเป็นใครน่ะค่ะ ลูกเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ ว่าเขาคือมกุฎราชกุมาร”
“ตายจริง…! ช่างเหมือนนิยายอะไรปานนี้! ต่างคนต่างตกหลุมรักโดยไม่รู้จักกันอย่างนั้นหรือ! โรแมนติกอะไรเช่นนี้”
หล่อนตกใจราวกับเป็นสาวน้อย คนเป็นแม่ดูจะดีใจที่ลูกสาวของตนทำได้ในสิ่งที่ตัวหล่อนเองยังไม่กล้าฝัน
“อย่าบอกนะว่าผู้ชายที่เจอที่ศาลคนนั้นคือเจ้าชายน่ะ …ไม่ใช่ท่านชายปิโนต์ นัวร์หรอกหรือ”
“อ้อ จะว่าไปท่านพี่เองก็เคยเจอนี่คะ ใช่แล้วละค่ะ ชื่อปิโนต์ นัวร์นั่น… เป็นชื่อที่ยืมมาแค่ชั่วคราวเท่านั้นค่ะ”
“ให้ตายสิ หมายความว่าท่านทรงเป็นห่วงเธอถึงกับตามมาหาที่ศาลอย่างนั้นหรือ ทั้งที่ทรงยุ่งอยู่น่ะหรือ”
“ประมาณนั้นค่ะ ถามเสร็จแล้วใช่ไหมคะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไว้ค่อยฟังวันที่คุณอาซจะมาดีกว่านะคะ เพราะถ้าลูกเล่าหมดในวันนี้คงไม่เหลือเรื่องให้คุยกันแล้วละค่ะ”
อาเรียพูดแค่นั้นแล้วก็เดินกลับห้องตัวเองไป
ภายในสวนที่มีแสงตะวันอันอบอุ่นสาดส่องลงมา มีเพียงคนสามคนที่มีความคิดและความรู้สึกแตกต่างกันหลงเหลืออยู่
* * *
ใช้เวลาไม่ถึงสองวันเท่านั้น ข่าวลือที่ว่าเธออุตส่าห์เตรียมอาหารไว้ต้อนรับกลุ่มเยาวชนที่มาหาอย่างกะทันหันด้วยตัวเองก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งนครหลวง
นางร้ายในข่าวลือ
ไม่สิ อาเรียผู้ที่ตอนนี้ได้เลื่อนสถานะกลายเป็นผู้ลงทุนแสนงดงามที่รับรู้หัวจิตหัวใจของสามัญชน กำลังมองดูกลุ่มวัยรุ่นที่ตามมารวมตัวกันอยู่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ในวันนี้ด้วยรอยยิ้ม
“เลดี้! ดิฉันไปบอกพวกเขาให้มาในเวลาและวันที่ที่กำหนดไว้ทุกอาทิตย์ตามที่เลดี้สั่งแล้วค่ะ!”
เจสซี่พูดด้วยสีหน้าสดใส ผู้ลงทุนที่ร่วมพูดคุยกับบรรดานักธุรกิจรุ่นใหม่ทุกอาทิตย์อย่างนั้นหรือ ช่างเป็นเสียงสะท้อนที่ไพเราะเสนาะหูอะไรเช่นนี้
“ทำดีมาก”
“แล้วก็ อาจจะเร็วไปหน่อยแต่ดิฉันเอาหนังสือพิมพ์มาด้วยค่ะ ฮานส์เป็นคนนำมาให้ถึงคฤหาสน์ด้วยตัวเองเชียวนะคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของเจสซี่ที่เอาหนังสือพิมพ์ออกมาช่างสดใสเกินจะบรรยาย อาเรียจึงรู้สึกได้ว่าเรื่องราวของเธอจะต้องถูกตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้แน่
มันจะมีคำยกย่องแบบไหนกันนะ เธอกางหนังสือพิมพ์ออกด้วยความคาดหวังแต่เจสซี่ก็พูดเสริมขึ้นมาเสียก่อน
จะว่าไปแล้ว ฮานส์เองก็น่าจะเข้าเรียนในวิทยาลัยที่เลดี้เป็นผู้ลงทุนกับเขาด้วยละค่ะ! เห็นว่าได้ทุนด้วยนะคะ! เขาบอกว่าเพราะแบบนั้นเขาถึงไม่ค่อยมีเวลาเลยจะมาส่งหนังสือพิมพ์ให้ที่คฤหาสน์ตามเวลาที่เขาว่างค่ะ”
“…อย่างนั้นหรือ”
เธอรู้สึกแปลกๆ ชอบกลเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน
นั่นเพราะคนที่ได้เจอกับจุดจบที่เศร้าสลดในอดีตอย่างเขากลับหาความสุขของตนเจอเสียที
และเธอเองก็หวังว่าตนจะได้พบกับอนาคตแบบนั้นเหมือนเขาเช่นกัน
ด้วยการปราบนางมารร้ายตัวจริงให้สิ้นซาก
……………………………………………………….