[นางร้ายในข่าวลือ ความจริงคือแม่พระอย่างนั้นหรือ!

มีการเปิดเผยว่าตัวจริงของผู้ลงทุน A ที่ให้ความช่วยเหลือนักธุรกิจมากมายโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ คือเลดี้อาเรียแห่งตระกูลโรสเซนต์

ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์กับเจ้าชายที่ปะทุขึ้นภายหลังงานพิธีจบของวิทยาลัยยิ่งทำให้ความเห็นที่ว่าข่าวลือเกี่ยวกับเลดี้อาเรีย โรสเซนต์ซึ่งฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งจักรวรรดินั้นเป็นเจตนามุ่งร้ายมีมากขึ้นทุกขณะ

และแหล่งที่มาของข่าวลือก็เป็นที่น่าตกใจเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้กำลังสงสัยกันว่าใครบางคนที่ว่านั้นอาจเป็นเลดี้มิเอล โรสเซนต์ น้องสาวผู้มีใจริษยาความงดงามของเธอ และหากเป็นความจริงสถานการณ์อาจน่ากลัวมากกว่านี้ก็เป็นได้!]

การเขียนข่าวราวกับเป็นกระบอกเสียงให้ความรู้สึกในใจของเธอ ทำให้มุมปากของอาเรียยกขึ้นจรดฟ้าโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว เจสซี่ที่น่าจะอ่านเนื้อความมาก่อนที่จะส่งให้เธอก็มีสีหน้าสดใสเช่นกัน

ความเห็นของประชาชนหาได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือในคราวเดียวเพราะความจริงที่เธอคือผู้ลงทุนในข่าวลือถูกเปิดเผย แต่เป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเล็กสิ่งน้อยตลอด 2 ปีที่ผ่านมาต่างหาก

ยกตัวอย่างเช่น บรรดาเลดี้ที่ได้พบปะกับซาร่าในงานสมาคม เหล่าคนรับใช้ในคฤหาสน์ หรือไม่ก็จากการประชุมของผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ลงทุน เป็นต้น

นอกจากนั้นยังเป็นเพราะเธอมักปรากฏตัวในงานสาธารณะเป็นบางครั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอมีกิริยาสง่างามทั้งรูปโฉมก็งดงามผิดไปจากข่าวลือ และการรับบทบาทเป็นผู้ถูกกระทำในกรณีของเอ็มม่าก็นับว่ามีส่วนอย่างมากทีเดียว

ความพยายามเล็กน้อยทั้งหมดเหล่านั้นที่สั่งสมมาได้ส่องประกายผ่านโอกาสในครั้งนี้

‘ตอนแรกฉันคิดไม่ถึงเลยว่าธุรกิจของฉันจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้’

ครั้งแรกที่เธอพูดถึงเรื่องธุรกิจก็เพื่อเอาชนะใจท่านเคานต์ให้ได้ด้วยไฟแค้นต่อมิเอลที่สุมอยู่ในอก

แต่หลังจากนั้นเธอก็ได้รู้ว่าเธอคิดผิดจนต้องกระโจนลงในเส้นทางธุรกิจด้วยตัวเองเพื่อสร้างขุมกำลังของตนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของมิเอลและดัชเชส ซึ่งแม้แต่เธอเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้

ไม่แม้แต่จะจินตนาการว่าจะได้ถักทอความสัมพันธ์กับใครคนหนึ่งและได้มีความสุขเพราะเรื่องนั้นแบบนี้

หากเปรียบเทียบระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้ เธอรู้สึกว่าเธอคือคนละคนเสียด้วยซ้ำไป

“ในที่สุดข่าวลือเกี่ยวกับเลดี้ก็ถูกเปิดเผยว่าเป็นเจตนามุ่งร้ายเสียทีนะคะ!”

ดูท่าเจ้าตัวจะลืมไปแล้วว่าอาเรียเมื่อแรกเข้ามายังคฤหาสน์นั้นเป็นอย่างไร เจสซี่ได้ลืมเลือนความอึดอัดเล็กน้อยที่มีต่อผู้เป็นนายไปจนหมด เหลือแต่เพียงความเชื่อใจอันบริสุทธิ์เท่านั้น

‘ย้อนกลับไปตอนเข้ามาในคฤหาสน์ก็ดีเหมือนกันนะ’

หากทำอย่างนั้นได้เธอคงไม่ต้องมาทำอะไรที่น่ารำคาญพวกนี้ และคงไม่ทำตัวแย่ๆ ใส่เจสซี่ด้วย

หากเธอได้ย้อนเวลากลับไปยังตอนที่เคยทำตัวไม่ดีใส่เจสซี่อยู่เป็นนิจและตอบแทนเจสซี่ให้มากพอกับสิ่งที่เธอทำ แต่แล้วเธอก็ต้องส่ายหน้าเพื่อสะบัดความเสียดายให้ออกไปจากความคิด เพราะเธอไม่ได้มีเวลามากพอเพื่อรักษาสิ่งที่เธอได้มา

อาเรียหันกลับไปให้ความสนใจกับหนังสือพิมพ์อีกครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงหนังสือพิมพ์ราคาถูกที่สามัญชนอ่านกัน แต่เรื่องราวในหนังสือพิมพ์จะต้องถูกถ่ายทอดไปถึงหูของท่านเคานต์ เคน และมิเอลเป็นแน่

อาจจะเป็นเพราะแบบนั้น หรืออาจเพราะพวกเขายุ่งอยู่จริงๆ ท่านเคานต์กับเคนถึงได้เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับงานของตนเองกันเงียบๆ และกลับบ้านดึกดื่นจนแทบไม่ได้เจอหน้า

ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นพ่อค้าที่ไม่มีทางปล่อยให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตนหลุดมือไปแน่นอน อาเรียจึงเอ่ยปากถามเจสซี่ด้วยความสงสัยว่าบางทีเขาอาจมีแผนอะไรในใจ

“มิเอลล่ะ”

“เอ่อ… เหมือนจะออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ”

และช่วงนี้มิเอลเองก็ง่วนอยู่กับการออกไปข้างนอกราวกับกำลังคิดจะทำบางอย่าง นั่นทำให้อาเรียต้องหรี่ตาลง

‘ถ้าเป็นฉันคงไม่กล้าเชิดหน้าออกไปไหนแน่ๆ หน้าด้านเหลือเกินนะ’

หลังจากเรื่องของเอ็มม่าชื่อเสียงของมิเอลก็มีแต่จะแย่ลงทุกวัน แต่มิเอลก็ยังหยัดตัวลุกขึ้นอีกครั้งแล้วบังคับตัวเองให้ออกไปข้างนอกจนได้

จุดหมายปลายทางก็คงจะเป็น… คฤหาสน์แห่งท่านดยุกกระมัง เพื่อไปพบดัชเชสที่ทรงช่วยให้ตัวเองได้ติดต่อกับออสการ์

จากคำพูดของบรรดาสาวใช้ในคฤหาสน์ มิเอลมักได้รับจดหมายจากดัชเชสเสมอหากมีประเด็นใหญ่ๆ เกิดขึ้น และพวกหล่อนยังบอกเธออีกว่าบางครั้งจดหมายก็มักมาถึงก่อนจะเกิดเรื่องด้วย เพราะฉะนั้นครั้งนี้ มิเอลก็คงไปเพื่อขอคำแนะนำอีกเหมือนเคย

‘ยิ่งไปกว่านั้น ดัชเชสจะพิโรธแค่ไหนกันนะ ในเมื่อคิดว่านางคนต่ำช้าอย่างฉันมาแย่งเจ้าชายไปอยู่นี่’

เพราะก่อนจะเป็นเจ้าชาย อาเรียก็เคยมีข่าวเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับน้องชายผู้น่ารักของดัชเชสมาก่อน แม้จะเคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่เธอมักจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ค่อยดีเสมอ ดังนั้นดัชเชสคงกำลังคิดจะฉีกร่างเธอให้ตายเป็นแน่

‘แต่มิเอลก็อยู่ใต้ดัชเชสอีกทีนี่สิ หรือศัตรูที่แท้จริงของเราจะเป็นดัชเชสกัน’

อย่างไรเสีย หากจะคบหากับเจ้าชายต่อไป ดัชเชสก็คงต้องกลายเป็นศัตรูของเธอไปโดยปริยาย แต่นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีความเจ็บแค้นส่วนตัวด้วย เธอยังไม่อาจลืมสายตาที่แฝงความเป็นศัตรูของดัชเชสที่เธอเห็นในงานวันเกิดของมิเอลได้เลย

เพราะอย่างนั้นเธอจึงใช้เวลาทั้งวันไปกับการขบคิดว่าจะห้ามดัชเชสที่วางแผนจะสร้างอิทธิพลของตนเองด้วยการอภิเษกสมรสกับราชาแห่งจักรวรรดิอื่นได้อย่างไร และจะใช้วิธีใดควบคุมดัชเชสดี แต่แล้วก็มีแขกมาหาเธอในค่ำวันนั้น

แขกที่ไม่คาดคิดผู้ถือช่อดอกทิวลิปซึ่งยากจะโรยราและกล่องของขวัญไว้ในมือ

“…ท่านเรนรึ”

“ขอโทษด้วยนะครับที่มาเอาป่านนี้ ผมต้องออกไปทำงานในที่ไกลแสนไกลจึงไม่อาจหาเวลาอื่นมาได้น่ะครับ”

การที่เขามาหา นั่นหมายความว่าเธอกำลังจะได้ยินข่าวคราวจากอาซแล้ว

อาเรียจึงมีสีหน้ายินดีและกำลังจะรีบไปเตรียมชามา แต่โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่ท่านเคานต์และเคนดันกลับมาถึงคฤหาสน์พอดิบพอดี

ท่านเคานต์มีสีหน้าอ่อนเพลียเป็นอย่างมากจากการที่ต้องสะสางงานที่กองเป็นภูเขาเลากาไปพร้อมกับการบอกเรื่องงานให้เคนรู้ และเพราะข่าวลือระหว่างบุตรสาวทั้งสองเช่นกัน

ท่านเคานต์ไม่เคยให้ความสนใจเมื่อบุตรสาวบุญธรรมตกเป็นนางมารร้าย แต่เมื่อบุตรสาวแท้ๆ ต้องมากลายเป็นนางร้ายเสียเองแบบนี้ เขาจะเจ็บปวดแค่ไหนกันนะ

แต่ทุกข่าวลือย่อมต้องมีมูล ดังนั้นท่านเคานต์จึงไม่อาจทำอะไรได้ หากเขาบอกไปว่าข่าวลือนี้ไม่มีมูล อาเรียอาจต้องกลายเป็นคนอธิบายว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องที่ถูกกุขึ้นมาเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ท่านเคานต์จึงดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เรนมาหาหลังจากไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเสียนาน หรืออาจเป็นเพราะเรนไม่ได้มีอะไรให้ท่านเคานต์ฉกฉวยอีกต่อไปก็ได้

“มีเรื่องอะไรถึงมาเอาดึกดื่นป่านนี้กัน ฉันจำได้ว่าเธอไม่เคยบอกว่าจะไม่มาที่นี่อีก แต่ที่มานี่คงไม่ใช่เพราะรู้สึกสนใจอาเรียของเราหรอกนะ”

ในอดีตนั้น ท่านเคานต์เคยคิดจะโยนอาเรียให้เรน แต่ในตอนนี้เขากลับถลึงตาเพราะกลัวเรนจะสนใจอาเรียเสียนี่ ซึ่งเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าท่าทางเห็นแก่ได้ของตนทำให้อาเรียยิ่งยิ้มเยาะ เคนเองก็พลอยถลึงตามองเรนด้วยใบหน้าเหมือนคนเป็นพ่อไปด้วย

เรนควรจะรู้สึกอายกับสีหน้าไม่ต้อนรับจนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอึดอัดนั่น แต่เขากลับตอบไปอย่างมั่นใจด้วยใบหน้าสบายๆ ไม่คิดแยแสสองพ่อลูกสักนิด

“ฮ่าๆ ผมก็อยากทำอย่างนั้นนะครับ แต่ก็อยากรู้ว่าท่านเคานต์สบายดีหรือเปล่าด้วยครับ นายท่านสั่งให้ผมมาเรียนถามสารทุกข์สุกดิบของท่านครับ เพราะนายท่านรู้สึกสนใจธุรกิจของท่านเคานต์มากทีเดียวครับ”

“จริงหรือ อ้อ… อย่างนี้เองสินะ”

เมื่อเรนอ้างถึงผู้เป็นนายที่คอยให้ความช่วยเหลือท่านเคานต์ ท่านเคานต์ก็ลากสังขารอันอ่อนล้าราวกับไม่อาจรู้สึกอึดอัดได้อีกต่อไป แล้วชวนเรนให้อยู่รับประทานอาหารด้วยกัน ท่านเคานต์ต้องคิดว่าเรนมาเพื่อพบตนเป็นแน่

นั่นทำให้เรนมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย แต่เขาไม่สามารถหาเหตุผลมาปฏิเสธได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินไปยังห้องอาหาร แม้ว่าทั้งช่อดอกไม้และของขวัญที่เตรียมมา จะถูกส่งมอบให้อาเรียตามคำสั่งของอาซเรียบร้อยและทำให้ธุระทั้งหมดของเขาจบลงแล้วก็ตามที

‘เหตุใดคุณอาซจึงไม่มาด้วยตัวเองกัน’

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยมาหาเธอที่ห้องแท้ๆ ด้วยความสงสัย อาเรียจึงรีบกลับขึ้นห้องแล้วเปิดจดหมายออกดูทันที ก่อนจะตามด้วยของขวัญเป็นลำดับถัดมา

[ผมมาอยู่ในที่ที่ยากจะไปพบเลดี้ จึงส่งจดหมายฉบับนี้ผ่านไปทางเรนแทนครับ]

ประโยคแรกในจดหมาย ทำให้อาเรียได้รู้ว่าที่เขาไม่มาหาเธอไม่ใช่เพราะไม่ยอมมา แต่เพราะมาไม่ได้ต่างหาก

แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนกันจึงไม่อาจมาหาเธอได้ เธอรีบอ่านจดหมายต่อทันทีเพราะกังวลกลัวว่าเขาจะต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปยังพื้นที่พิสดารเพราะกองกำลังศัตรูเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้อีกรอบ

[มันไม่ได้เป็นอย่างที่เลดี้กำลังกังวลหรอกนะครับ แต่เหตุผลที่ผมส่งจดหมายมาแบบนี้ก็เพราะผมไม่สามารถติดต่อเลดี้ได้แม้ผมจะบอกว่าผมจะไปหาเลดี้เร็วๆ นี้ในครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันก็ตาม ผมเฝ้าคิดว่าจะเป็นตอนไหนดี และยังคิดด้วยว่าหากผมปรับวันเวลาให้ตรงกับเลดี้คงจะดีกว่าน่ะครับ]

ในจดหมายที่ต่อกันนั้นมีข้อความที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเขาต่อหน้าจริงๆ ราวกับว่าเขาอ่านใจเธอออกจริงๆ และราวกับเขารู้ว่าเธอกำลังเป็นห่วงเขาถูกเขียนเอาไว้

หลังจากนั้น อาซได้เขียนเวลาที่เขาอยากมาหาเธอเอาไว้ด้วย ซึ่งถือว่าดึกมากทีเดียว และยังเขียนบอกให้เธอทิ้งห้องให้ว่างในวันนั้น ซึ่งเธอก็จดจำเอาไว้ในหัวเพื่อไม่ให้ตัวเองลืมเช่นกัน

‘…แล้วนี่อะไรกัน’

แม้จะอ่านจดหมายจบไปแล้วหากแต่ยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ เธอยังมองจดหมายอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะวางลงบนโต๊ะ และเมื่อเปิดของขวัญออกดูก็พบกับเครื่องประดับที่มีรูปร่างที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกอยู่ข้างใน

มันดูคล้ายสร้อยข้อมือ โดยเป็นเส้นด้ายบางๆ ผูกซ้อนเป็นชั้นแล้วร้อยเข้าด้วยกันเป็นเส้นเดียว เป็นรูปแบบที่เธอเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

‘หรือเขาออกไปอยู่ต่างประเทศกัน’

เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ส่งเครื่องประดับแปลกตาแบบนี้มาให้เธอ

แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งหนใด เธอก็หวังเพียงให้เขากลับมาอย่างแข็งแรง ก่อนจะกลับไปทำสิ่งที่เธอควรจะต้องทำต่อไป

* * *

“ดูคุกกี้นี้สิคะ แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังดูสดใหม่ทีเดียว”

“นั่นสิคะ น่ารักจริงเชียว”

บรรดาบุตรสาวขุนนางที่นั่งล้อมรอบโต๊ะคุณภาพดีและถูกจัดวางไว้ในสวนสวย ต่างพากันเอ่ยชื่นชมเสียจนเกินจริง และตรงกลางนั้นก็มีมิเอลนั่งอยู่ด้วย

“ดัชเชสส่งขนมพวกนี้มาให้ดิฉันโดยเฉพาะน่ะค่ะ”

“อย่างนี้เองสินะคะ”

“นั่นเพราะทรงมีพระเนตรต่างจากผู้อื่นยังไงล่ะคะ”

พวกหล่อนทำเป็นไม่รู้ว่ากับระเบิดได้ถูกหย่อนลงมาท่ามกลางพวกตน ทั้งยังพยายามแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยกันอย่างสุดความสามารถ

ซึ่งนี่ล่ะ คือเหตุผลที่ทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อให้ต่างคนต่างมาล้างสมองกันว่ามันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพวกหล่อนต่างก็ว้าวุ่นและกังวลใจหากอยู่เพียงลำพัง

“จะว่าไปแล้ว เรื่องนางร้ายในข่าวลือนั่นน่ะค่ะ หลังจากข่าวฉาวทั้งหมดถูกเปิดเผย ที่สุดแล้ว… อะแฮ่ม ดูจะเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายทีเดียวนะคะ”

“แล้วเลือดมันจะไปไหนได้ล่ะคะ ยังไงหล่อนก็ต้องเป็นปรสิตเหมือนแม่ตัวเองอยู่แล้วล่ะค่ะ”

“อนาคตของจักรวรรดิมืดมนเสียจนดิฉันเป็นห่วงค่ะ”

และเพื่อตำหนิติเตียนศัตรูของรัฐ

“ดัชเชสต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพังเพื่อขัดขวางสิ่งนี้สินะคะ”

“ใช่แล้วค่ะ คงจะดีเสียกว่าหากไปจับมือกับจักรวรรดิอื่นแทนที่จะให้เลือดสกปรกมาเป็นผู้สืบทอดจักรวรรดิ”

สุดท้ายแล้วก็เพื่อสรรเสริญเยินยอบุคคลที่พวกตนควรต้องเชื่อและเดินตามนั่นเอง และการทำให้จิตใจของเหล่าบุตรสาวขุนนางนิ่งสงบในสถานการณ์ที่ความเชื่อถือจากกลุ่มขุนนางกำลังเลือนรางทั้งยังมีข่าวลือเกี่ยวกับตนนั้น ก็คืองานของมิเอล

แม้ว่าสิ่งที่เหล่าบุตรสาวขุนนางคนอื่นๆ ทำได้จะมีเพียงการมารวมตัวกันแล้วสนุกเพลิดเพลินไปกับชาและขนมพลางติฉินนินทา ต่างจากอาเรียที่ซึ่งสร้างขุมกำลังของตนเองด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเช่นกัน

“ดิฉันจะนำความเห็นของเลดี้ทุกท่านไปแจ้งดัชเชสไอซิสเองค่ะ ท่ายคงจะดีใจมากทีเดียว”

แม้ในความเป็นจริงสิ่งที่มิเอลนำไปรายงานจะมีเพียงชื่อของเหล่าเลดี้เท่านั้น แต่มิเอลผู้ไม่พูดอะไรเพื่อความยุติธรรมก็ใช้เวลาร่วมกับเหล่าเลดี้อย่างเหมาะสมก่อนจะมุ่งหน้าไปหาดัชเชส

หลังจากรู้ข่าวว่าเจ้าชายคบหากับอาเรีย ไอซิสก็รู้สึกเจ็บแค้นใจอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะอาการตระหนกตกใจที่คนที่เข้ามาแทนตนกลับกลายเป็นลูกสาวโสเภณีอย่างอาเรียหาใช่ใครอื่น และยังเป็นถึงอำนาจใหม่ให้เขาก้าวขึ้นครองราชย์ได้อีกด้วย

‘หากไม่โดนเอาไปเปรียบเทียบล่ะก็’

มิเอลเองก็ตกใจจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เท่าไอซิส เพราะดัชเชสถูกนำไปเปรียบกับเลือดสกปรกโสมมที่ตนเองนั้นเกลียดแสนเกลียด

แม้จะมีเพียงเล็กน้อยแต่ก็ถึงกับมีความเห็นว่าอาเรียผู้มีกำพืดต่ำทรามนั้นดีกว่าไอซิสซึ่งสืบสายมาจากพระราชวงศ์ ต่างจากครั้งที่มิเอลกับอาเรียถูกนำมาเปรียบกันลิบลับ

เห็นจะมีก็แต่ผู้คนที่ลุ่มหลงไปกับรูปโฉมที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายและอุปนิสัยปลอมเปลือกของอาเรียที่เป็นเช่นนั้น มิเอลรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาต่อดัชเชสโดยพยายามไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจของดัชเชสให้มากที่สุด

“ส่วนเรื่องเลดี้ทั้งหลายนั้น ขออย่ากังวลเลยนะคะ เพราะทุกคนต่างก็จงรักภักดีกับท่านไอซิสอย่างถึงที่สุดอยู่แล้ว หากมีคนใดเอาใจออกหาก ฉันขอให้คำมั่นสัญญากับท่านว่าจะทุ่มสุดตัวเพื่อขวางพวกเขาไว้ค่ะ”

แม้มันจะไม่ใช่รายงานสำคัญที่ไอซิสต้องการแต่มิเอลก็ยังรายงานอย่างเต็มที่ด้วยนับว่ามันสำคัญเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ ไอซิสจึงเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเย็นเยียบก่อนจะถามถึงเรื่องอื่นต่อไป

“…เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเจ้าชายได้เสด็จไปที่คฤหาสน์บ้างหรือเปล่าคะ”

“อะไรนะคะ ไม่ ไม่เลยค่ะ ยังไม่ได้เสด็จมาเลยค่ะ…”

ไอซิสยังคงยึดติดอยู่กับเรื่องนี้จนคิดว่ามิเอลควรจะรายงานเรื่องนี้ด้วย แต่ถึงจะผ่านมาสักพักใหญ่แล้ว เจ้าชายก็ยังไม่มาให้เห็นแม้กระทั่งเงา

ทำให้มิเอลต้องเอ่ยปากพูดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

“ไม่ใช่ว่านางนั่นมันโกหกหรอกหรือคะ อาจจะเป็นการคุยโวไปเรื่อยก็ได้นะคะ เจ้าชายเองก็ยังไม่ได้ตรัสอะไรเสียหน่อย นางนั่นอาจจะวิ่งเต้นไปคนเดียวค่ะ”

แต่ยิ่งมิเอลพูดแบบนั้น ไอซิสก็ยิ่งอารมณ์เสีย นั่นเพราะไอซิสรู้ดีว่าหาความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เมื่ออดีตที่เดาได้ก็ยังมี นั่นคือวันพิธีหมั้นของมาร์ควิสวินเซนต์อย่างไรเล่า

ในฐานะที่ไอซิสเคยได้รับรู้ถึงสถานการณ์ซึ่งคล้ายกับเป็นการแอบพบกันลับๆ ภายในสวน ดัชเชสจึงไม่ได้มองว่าเรื่องในตอนนี้เป็นเรื่องหลอกลวงหรือคุยโวโอ้อวด ในเมื่อที่แห่งนั้นคือที่ที่เจ้าชายถึงกับประกาศกร้าวว่าไม่เคยคิดจะเป็นดองกับตนเสียด้วยซ้ำ

ไอซิสไม่อาจแสดงกิริยาน่าเกลียดใดๆ ออกไปได้อีกจึงซ่อนมือสั่นระริกของตนเอาไว้ใต้โต๊ะ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดกลับไป

“…ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ต้องทำให้สองคนนั้นแยกจากกันให้ได้นะคะ เพื่อเกียรติยศแห่งชนชั้นสูงค่ะ”

“…แน่นอนค่ะ กล่าวได้ถูกต้องแล้วค่ะ”

“ดิฉันจะคิดหาหนทางเอง ฉะนั้นเลดี้ช่วยไปโน้มน้าวใจท่านเคานต์ให้ได้มากที่สุดทีนะคะ”

แม้จะมืดแปดด้านเพราะตอนนี้ไม่มีเอ็มม่าคอยช่วยอีกแล้ว แต่มิเอลก็ยังพยักหน้าตอบรับ เพราะคำพูดของไอซิสฟังดูสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก

แต่ที่ผ่านมาก็ล้มเหลวไม่เป็นท่ามาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้มิเอลจะไปทำอะไรได้อีกล่ะ ไอซิสสังเกตเห็นความไม่สบายใจที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของมิเอล จึงทำการร่ายมนตร์เพื่อเพิ่มความกล้าหาญให้

“แม้อายุจะยังไม่ถึง… แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ ฉะนั้นเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเลดี้มิเอลกับออสการ์ หากทำได้เร็วก็คงดีนะคะ เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของชนชั้นสูงยังไงล่ะคะ”

“…อะไรนะคะ”

“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าชายก็ทรงปรารถนาจะพานางผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นเข้ามาในวังหลวงให้ได้ แต่ไม่มีอะไรที่ฝั่งเราทำไมได้ไม่ใช่หรือคะ ออสการ์เองก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นเลดี้เองก็ต้องช่วยด้วยนะคะ”

“…จริงหรือคะ”

คำตอบแบบแสร้งว่าจากไอซิสทำให้ความสดใสปรากฏขึ้นในแววตาของมิเอล หากนี่คือเรื่องจริงมิเอลคงปีติยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ แต่แม้จะไม่ใช่ความจริง มิเอลก็รู้ดีว่าไอซิสสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้

“ขออย่ากังวลเลยค่ะ ท่านไอซิส ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม ครั้งนี้ฉันจะช่วยท่านไอซิสให้จงได้ค่ะ”

ผลตอบแทนที่ไม่คาดคิดทำให้มิเอลตอบกลับไปอย่างแข็งขัน

……………………………………………………