ตอนที่ 2108 หัวหน้าเผ่า (5) / ตอนที่ 2109 กลับไปที่นครอนันต์อีกครั้ง (1)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 2108 หัวหน้าเผ่า (5)

“หืม?” จู่ๆ หัวหน้าเผ่าก็มองเสี่ยวฉงแล้วขมวดคิ้ว “หนุ่มน้อย พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือไม่”

ดวงตาของเสี่ยวฉงเต็มไปด้วยความสับสน “ข้าไม่รู้จักท่าน”

ความทรงจำของเขาไม่มีหัวหน้าเผ่าอยู่ในนั้นเลย

“อย่างนั้นเหรอ” หัวหน้าเผ่าดูเหม่อเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยมาจากหนุ่มน้อยคนนี้

“หลงเหยียน เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบขอโทษหนุ่มน้อยคนนี้ล่ะ” หัวหน้าออกคำสั่งอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อนึกถึงความผิดพลาดที่หลงเยียนทำลงไป

“ขอรับ” หลงเหยียนเเดินมาหาเสี่ยวฉงด้วยใบหน้าอับอาย “คุณชายน้อย ข้าผิดเอง ข้าหวังว่าคุณชายน้อยจะยกโทษให้ข้าที่สร้างปัญหาให้ก่อนหน้านี้”

เสี่ยวฉงส่งเสียงฮึในลำคอแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าลืมไปแล้วหรือเจ้าทำตัวอย่างไรกับข้า แล้วเจ้ายังกล้าไม่สนใจนายท่านกับนายหญิงของข้าอีก! แต่ตอนนี้เจ้ามาขอให้ข้ายกโทษให้งั้นหรือ ฝันไปเถอะ!”

“เจ้าต้องการอะไรจากข้า เจ้าถึงจะยกโทษให้ข้า” หลงเหยียนพูดเสียงอ่อนแล้วถาม

เสี่ยวฉงลูบคาง “แต่เมื่อเห็นว่าก่อนหน้านี้เจ้ายอมใช้ตัวเองปกป้องข้าจากอันตราย ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถ้าเผ่ามังกรบรรพบุรุษสามารถสังหารคนที่ต้องการกำจัดข้าทั้งหมดได้ล่ะก็ ข้าก็จะยกโทษให้เจ้า”

ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่หลงเหยียนเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องเขา เขาก็ไม่ได้เกลียดอีกฝ่ายเท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าเขาก็ต้องสอนบทเรียนให้เพื่อที่ในอนาคตอีกฝ่ายจะได้ไม่โอหังแบบนี้อีก

“ขอบคุณ คุณชายน้อย” หลงเหยียนผ่อนคลายแล้วเผลอปาดเหงื่อเย็นๆ ที่หน้าผาก

คนอื่นๆ ประหลาดใจ พวกเขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็คือ—หนี!

แต่ว่าทันทีที่พวกเขาหันหลัง พวกเขาก็ถูกมังกรขนาดมหึมากลุ่มหนึ่งขวางทางไว้ราวกับกำแพงที่ไม่อาจผ่านไปได้ และพวกเขาก็หมดโอกาสหนี!

“เจ้ากล่าวหาสมาชิกของเผ่ามังกร ดังนั้นพวกเราจะไม่ยอมให้พวกเจ้ามีชีวิตต่อ หลงเหยียน จัดการให้ดี!”

“ตามบัญชาขอรับ หัวหน้าเผ่า!”

หลงเหยียนเกลียดชังต่อคนกลุ่มนี้อยู่แล้ว แต่เขาไม่มีเวลามาสนใจพวกมันจนถึงตอนนี้

ทันทีที่เขาจำได้ว่าเพราะฉินเทียนเหลาใส่ร้ายเสี่ยวฉงและคนอื่นๆ ว่ากระทำผิดมา เขาก็เดือดดาลจนอยากฉีกอีกฝ่ายออกเป็นพันๆ ชิ้น

“ฉินเทียนเหลา ตอนที่เจ้าใส่ร้ายคนอื่น เจ้าไม่คิดว่าจะจบแบบนี้ใช่หรือไม่” อวิ๋นลั่วเฟิงปล่อยมู่ชิงเฟยให้พูด ก่อนจะมองฉินเทียนเหลาอย่างเย็นชา “อีกอย่างไม่ว่าจะดุร้ายอย่างไร พยัคฆ์ยังไม่กินลูกตัวเอง แต่เจ้ากลับสังหารบุตรชายตัวเอง!”

อะไรนะ!

ฝูงชนส่งเสียงดังเอะอะไปทั่ว

พวกเขารู้แค่ว่าฉินเทียนเหลาตั้งใจจะล้อมกำจัดเสี่ยวฉง แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าฉินหยวนจะตายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังตายด้วยน้ำมือของฉินเทียนเหลาอีกด้วย!

หลงเหยียนยิ่งเดือดาลมากขึ้น ก่อนหน้านี้เขาถูกสุภาพบุรุษอ่อนโยนจอมปลอมนี้หลอกงั้นหรือ เขาทำแม้กระทั่งสังหารบุตรชายตัวเอง แล้วยังจะมีอะไรที่เขาไม่ยอมทำอีก

ตอนนั้นเองที่ฉินเทียนเหลาอยากจะหาหลุมมุดหนีดีกว่าโดนสายตาเหยียดหยามเหล่านี้

อวิ๋นลั่วเฟิงไม่สนใจฉินเทียนเหลาและคนอื่นๆ ก่อนจะหันไปหาหัวหน้าเผ่า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ข้ายังมีบางอย่างที่จำเป็นต้องให้เผ่ามังกรบรรพบุรุษของเจ้าช่วย”

“อะไรหรือ แม่นางอวิ๋นบอกข้ามาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“อืม…” อวิ๋นลั่วเฟิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ข้าอยากได้ปัสสาวะของมังกรบรรพบุรุษ”

ปัสสาวะ? หัวหน้าเผ่าตะลึง เหตุใดนางถึงต้องการปัสสาวะของเผ่ามังกร

แต่ว่าหัวหน้าเผ่าก็เข้าใจว่าอะไรที่เขาควรถามและอะไรที่ไม่ควรถาม ดังนั้นเขาจึงแค่ถามว่า “เจ้าต้องการมากเท่าไหร่”

ตอนที่ 2109 กลับไปที่นครอนันต์อีกครั้ง (1)

“สัก…” อวิ๋นลั่วเฟิงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนจะตอบว่า “ครึ่งขวดก็คงพอ”

เผ่ามังกรบรรพบุรุษมีปัสสาวะน้อยมาก พวกเขาปล่อยออกมาได้ครั้งละสองสามหยดเท่านั้น แล้วปัสสาวะครึ่งขวดก็เป็นปริมาณมากที่สุดเท่าที่เสี่ยวฉงจะทำได้ภายในเวลาหลายเดือน

การทำให้ต้นเขฬะมังกรออกผลอีกครั้งต้องใช้ปัสสาวะประมาณครึ่งขวด เมื่อมีปัสสาวะครึ่งขวดนี้ นางก็จะสามารถผลิตผลเขฬะมังกรได้มากขึ้น

“เข้าใจแล้ว ข้าจะให้มังกรบรรพบุรุษภายใต้อำนาจข้าเตรียมมันให้เจ้า” หัวหน้าเผ่ายอมรับพร้อมรอยยิ้ม

“ขอบคุณ” อวิ๋นลั่วเฟิงพูดอย่างสุภาพ

“ไม่ต้องขอบคุณข้า นี่เป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนบุญคุณ เจ้าช่วยชีวิตบุตรสาวของข้าก่อนแล้วยังถูกหลงเหยียนเข้าใจผิดอีก ไม่ว่าข้าต้องทำมากแค่ไหนก็คงชดเชยกับความผิดพลาดที่หลงเหยียนทำไม่ได้”

คำพูดของหัวหน้าเผ่าทำให้สีหน้าขุ่นเคืองของอวิ๋นลั่วเฟิงดีขึ้น ต้องขอบคุณที่หัวหน้าเผ่ามังกรบรรพบุรุษเป็นคนมีเหตุผลและเที่ยงธรรม ถ้าพวกเขามีหลงเหยียนอีกคนล่ะก็ นางเกรงว่านางคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้…

“เจ้าจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมปัสสาวะของมังกรนานเท่าไหร่” อวิ๋นลั่วเฟิงถามหลังจากที่คิดอะไรบางอย่าง นางนึกได้ถึงสิ่งที่เฟิงจิ่นบอกนางก่อนที่จะจากไป ดังนั้นนางจึงต้องเดินทางไปที่นครอนันต์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

“ประมาณสามวันน่าจะเพียงพอ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะตามไปที่เผ่าของเจ้า แล้วเจ้าก็ให้มังกรเหล่านี้มอบปัสาาวะให้ข้า”

ถ้านางรอหัวหน้าเผ่าอยู่ที่นี่ การเดินทางไปกลับก็จะทำให้เสียเวลา ดังนั้นเหตุใดนางจึงไม่ตามเขาไปที่เผ่าเล่า

“จริงสิ…” อวิ๋นลั่วเฟิงนึกบางอย่างออกแล้วพูดต่อ “อีกไม่นานข้าจำเป็นต้องออกจากที่นี่ เจ้าช่วยไปที่แคว้นเจ็ดเมืองที่ที่เจ้าบอกว่าเป็นสถานที่ที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งแล้วช่วยข้าปกป้องใครบางคนได้หรือไม่”

ความกังวลเพียงอย่างเดียวตอนที่นางออกเดินทางก็คือศัตรูของเจวี๋ยเชียน หลังจากที่รู้ความแข็งแกร่งของพวกเขา ก็เป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าพวกเขาจะไปโจมตีท่านปู่กับคนอื่นๆ หรือไม่

หัวหน้าเผ่าก้าวถอยหลัง แล้วความลังเลก็พาดผ่านดวงตาของเขา

“อะไร เจ้าทำไม่ได้หรือ” อวิ๋นลั่วเฟิงถามพร้อมขมวดคิ้ว

หัวหน้าเผ่าส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มแหย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยาก แต่ในฐานะผู้คุมกฎของแผ่นดินนี้ ข้าไม่สามารถออกจากแผ่นดินได้…”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อวิ๋นลั่วเฟิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น

“พลังฌานในสถานที่ที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งของเจ้าเบาบางมากเพราะแผ่นดินเทพวิญญาณดูดซับพลังฌานทั้งหมดจากที่นั่นมา ข้ากับอวี๋เทียนและพวกเขาเป็นแก่นกลางของแผ่นดินนี้! ถ้าพวกเราออกจากแผ่นดินเทพวิญญาณ แผ่นดินไม่ใช่แค่จะพังทลายแต่ยังเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะมีชีวิตรอด ถ้าเจ้าต้องการจริงๆ ข้าสามารถส่งยอดฝีมือคนอื่นของเผ่ามังกรไปช่วยเจ้าได้”

แผ่นดินเทพวิญญาณทั้งหมดเป็นมิติขนาดใหญ่ที่สำคัญมาก พวกเขาใช้วิธีต่างกันแต่ให้ผลลัพธ์เหมือนกับมิติลวงตาของอวิ๋นลั่วเฟิง ที่แตกต่างก็มีเพียงแค่ในฐานะแก่นกลางมิติของแผ่นดิน หัวหน้าเผ่าและคนอื่นๆ ไม่สามารถออกจากแผ่นดินนี้ได้!

ไม่แปลกเลยที่อวี๋เทียนไม่มาจับนางด้วยตัวเองตั้งแต่แรกแล้วใช้ฉินเทียนเหลาแทน เพราะเรื่องนี้นี่เอง

ในเมื่อคนพวกนั้นไม่สามารถออกจากแผ่นดินเทพวิญญาณได้ อวี๋เทียนก็คงไม่สามารถไปสร้างปัญหาให้ท่านปู่ของนางด้วยตัวเองได้ ตราบใดที่ผู้คุมกฎพวกนั้นไม่ได้โจมตี นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับคนอื่นๆ

“แม่นางอวิ๋น ความจริงแล้วเหตุผลที่พวกเราสามารถกลายเป็นผู้คุมกฎได้เพราะพวกเราผูกมัดเข้ากับมิตินี้” หัวหน้าเผ่ายิ้ม “ในฐานะแก่นกลางของมิตินี้ พลังฌานทั้งหมดจะไหลผ่านร่างของพวกเราก่อน ดังนั้นพวกเราจึงสามารถรวบรวมพลังฌานและแข็งแกร่งขึ้นได้ถึงเพียงนี้”