“โอ้! เสี่ยวซีซีร้ายกาจจริง ๆ” เชียนอ้าวเซี่ยกล่าวอย่างตื่นตาตื่นใจ

“ซีเอ๋อร์ เจ้านั้นร้ายมากจริง ๆ” น่าหลานอวี้เองก็กล่าวขึ้นมา

แต่ทว่าอารมณ์ของพวกเม่ยเอ๋อร์นั้น กลับตรงกันข้ามกับพวกเขาโดยสิ้นเชิง  เมื่อเห็นว่ามู่เฉียนซีกินยาเม็ดเข้าไปแล้วพลังวิญญาณฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็แทบกระอักเลือดไปตาม ๆ กัน

ใช่! เหตุใดพวกเขาถึงลืมไปได้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นนักปรุงยาผู้หนึ่ง แต่ถึงนางจะเป็นนักปรุงยา พวกเขาก็ไม่เคยพบเห็นนักปรุงยาที่ใดนำเอายาเม็ดชั้นดีเหล่านี้มากินเข้าไปราวกับดื่มน้ำเช่นนี้เลย

แม้ว่านักปรุงยาจะถือยาจํานวนมาก พวกเขาก็ไม่เคยเห็นยาที่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

มุมปากของมู่เฉียนซีโค้งขึ้นเล็กน้อย “หึ ๆ ตั้งรับกระบวนท่าให้ดี ๆ ล่ะ”

“มังกรเพลิงสังหาร!”

— ครืนนนนน! — เดิมทีในการต่อสู้แบบเผาผลาญพลังนั้น พวกเขาสิ้นเปลืองพลังไปพอ ๆ กัน แต่มาตอนนี้มู่เฉียนซีโจมตีโถมใส่อย่างไม่ยั้ง หากพวกเขาสามารถต้านทานได้ นั่นก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว

— ปึก!  ปึก!  ปึก! —

พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นอัมพาตและร่วงลงไปกองบนพื้น แม้แต่แรงที่จะยืนขึ้นมาก็ยังไม่มี

— โฟ่ว! —

เปลวเพลิงแดงฉานห้อมล้อมเหล่าจิ้งจอกเหล่านั้นเอาไว้  มันเผาไหม้เสียจนไม่เหลือแม้แต่เศษธุลี

— แกรก! —

แกนวิญญาณของแมงป่องพิษนั้นถูกขุดออกมา อู๋ตี้กัดเข้าไปคำหนึ่ง แต่แล้วมันก็กล่าวขึ้นอย่างรังเกียจ “ถุย! แกนวิญญาณของสัตว์ศักดิ์ระดับหนึ่งนั้นคุณภาพแย่นัก ไม่อร่อยแม้แต่น้อย”

สัตว์น้อยที่น่ารักทั้งสองตัวนี้ กลับน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก! อู๋ตี้กล่าวขึ้น “นายท่าน ในที่สุดท่านก็ต่อสู้จบสิ้นแล้ว มาเล่นเป็นเพื่อนกับเจ้าพวกไร้ค่านี้ ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน”

เดิมทีพวกนั้นคิดว่าสัตว์พันธสัญญาของตนเองเก่งกาจ จึงเดือดร้อนถึงเจ้าสองตัวนี้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าอู๋ตี้และเสี่ยวหงจะยังไม่ทันได้ใช้พลังทั้งหมดของพวกมันเสียด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะนายท่านของพวกมันรับมือกับพวกเขาเหล่านั้นได้อยู่มือ

อันที่จริงแล้ว กล่าวได้ว่ามู่เฉียนซีไม่จำเป็นต้องให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาช่วยเลย

ทันทีที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาช่วย พวกเขาจะต้องถูกจัดการฆ่าล้างเป็นเศษขยะไปในเวลาไม่กี่อึดใจอย่างแน่นอน

สถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะฆ่าพวกเขาไป ก็ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้

เม่ยเอ๋อร์นั้นเป็นคนที่รู้จักกาลเวลาอันควร นางรีบกล่าวร้องขอชีวิตขึ้น “คุณหนูมู่ไว้ชีวิตด้วยเถอะ องค์รัชทายาทเซี่ยเป็นของเจ้า ไหนเลยพวกเราจะกล้าไปแก่งแย่ง” “ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะ…”

เชียนอ้าวเซี่ยเผยรอยยิ้มบาง ๆ “เจ้าอัปลักษณ์นั่นก็พูดจาน่าฟังเป็นเหมือนกัน ฮ่า ๆ ๆ ข้าเป็นของเสี่ยวซีซี”

น่าหลานอวี้แค่นเสียงเย็นชา “เจ้าคิดเองเออเอง!”

ครานี้เชียนอ้าวเซี่ยยิ่งคิดเองเออเองเข้าไปใหญ่ “อวี้ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นทั้งอิจฉาข้าและเกลียดข้าในเวลาเดียวกัน แต่ใครใช้ให้เจ้าชอบทำตัวเสแสร้งเล่า สมน้ำหน้า!”

น่าหลานอวี้ “เจ้านี่มันช่างน่ามิอายนัก!”

ชายทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ที่ด้านข้าง เม่ยเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างนั้นเกิดความหวั่นกลัวเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าสาวน้อยที่น่ากลัวผู้นั้นจะไว้ชีวิตพวกเขาหรือไม่

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ถ้าหากว่าพวกเจ้าเป็นคนของขุมกำลังอื่น ข้าปล่อยพวกเจ้าไปก็คงจะไม่เป็นไร แต่พวกเจ้าเป็นคนของสำนักอวิ๋นเยียน…”

“ถึงแม้พวกเราจะเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกในการประลองรอบคัดเลือก แต่ที่จริงแล้วพวกเราไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในสายตาของสำนักอวิ๋นเยียนเลย มีความสามารถในวันนี้ได้ ก็เพราะพวกเราสู้มาด้วยตัวเองทั้งนั้น”

ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นเยียนที่เป็นสำนักนิกายระดับหนึ่งเพียงแห่งเดียวของทวีปเซี่ยวโจว พวกนั้นเองก็แบ่งแยกกันเป็นสามชั้นห้าขั้นเก้าส่วนเช่นกัน  พูดง่าย ๆ ก็คือ อวิ๋นเฟิ้งและอวิ๋นหวงถือว่าอยู่บนยอดของหอคอยทองคำ แต่พวกเขานั้นกลับเป็นชั้นที่อยู่ด้านล่างสุด

มู่เฉียนซีกล่าว “นี่เป็นโอกาสหนึ่งเดียวที่ข้าจะให้แก่พวกเจ้า  พวกเจ้าจะเลือกหรือไม่ ? หากไม่เลือก  ก็สามารถลิ้มลองรสชาติของน้ำยาละลายศพของข้าได้ หรือไม่ก็ลิ้มลองเปลวเพลิงของเสี่ยวหง” มู่เฉียนซีวางขวดยาขวดหนึ่งไว้ข้างหน้าพวกเขา

ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน ในเมื่อมู่เฉียนซีนางพูดถึงขนาดนี้แล้ว ต่อให้ยาในขวดนี้จะเป็นยาพิษร้ายแรงพวกเขาก็ยอมที่จะกลืนกินมัน เพราะพวกเขาไม่อยากจะตายอย่างไร้ซากสิ้นกระดูกไม่มีเศษซากใด ๆ เหลือเลย

แต่ละคนนั้นยอมกินยาพิษเข้าไปแต่โดยดี

มู่เฉียนซีกล่าว “เอาล่ะ ทีนี้พวกเจ้าไสหัวไปได้แล้ว ทางที่ดีที่สุดอย่าได้มาตายที่ตรงนี้ มิเช่นนั้นมันจะเป็นการสิ้นเปลืองยาพิษของข้า”

ในขณะที่พวกเขากำลังหลบหนีไปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วนั้น  ฉับพลันก็มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเชียนอ้าวเซี่ยและจับตัวเชียนอ้าวเซี่ยเอาไว้

สีหน้าของน่าหลานอวี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาคิดจะลงมือแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

“หัวหน้าน่าหลาน จงอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม มิเช่นนั้นคออันสวยงามขององค์รัชทายาทเซี่ย จะขาดสะบั้นเอา!”

มีดสั้นเล่มหนึ่งจี้ไปที่คอของเชียนอ้าวเซี่ย มู่เฉียนซีเงยหน้าขึ้นมองบุรุษชุดดำผู้นั้น คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวเอาไว้ เขาซ่อนตัวเอาไว้ในความมืด มีแนวคิดที่ว่าตั๊กแตนตำข้าวจ้องจับจักจั่นโดยไม่สนนกเหลืองที่จับจ้อง (เป็นสำนวนจีนที่หมายความว่า เป็นผู้ที่เห็นแต่ประโยชน์เบื้องหน้าเท่านั้น แต่ไม่ระวังภัยในเบื้องหลัง)

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างสงบนิ่ง “เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ ถึงจะยอมปล่อยตัว ?”

“สายเลือดขององค์รัชทายาทเซี่ยนั้นมีประโยชน์มากมาย แน่นอนว่าข้าคงไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ ข้าต้องการเพียงให้คุณหนูมู่ปล่อยข้าให้พาตัวองค์รัชทายาเซี่ยออกไปอย่างปลอดภัย ด้วยความสำคัญขององค์รัชทายาทเซี่ย เจ้าก็รู้ว่าข้าคงจะไม่ฆ่าเขามิใช่หรือ ?” บุรุษชุดดำกล่าว

ต้องยอมรับเลยว่าเชียนอ้าวเซี่ยนั้นเนื้อหอมเสียจริง เมื่อไล่กลุ่มคนที่เข้ามาชิงตัวไปได้กลุ่มหนึ่ง ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาแทนที่

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “ถ้าหากว่าข้าไม่ตอบตกลงล่ะ ?”

ดวงตาของบุรุษชุดดำผู้นั้นฉายแววแห่งการฆ่าสังหารออกมา “หากข้าไม่ได้ ผู้อื่นก็อย่าหวังว่าจะได้ หากว่าคุณหนูทำใจยอมสละไปไม่ได้ องค์รัชทายาทเซี่ยก็ต้องตายลงเช่นนี้แล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “นั่นก็ไม่แน่ หากว่าเจ้าเจอแดนลึกลับที่ยากที่จะเปิดมันออกได้ ต่อให้เจ้าใช้เลือดของเขาจนแห้งหมดตัว เมื่อเทียบกับแบบนั้น ยังไม่สู้ยอมให้เขาตายต่อหน้าต่อตาข้า”

เชียนอ้าวเซี่ยหัวเราะคิกคัก “ข้าเองก็คิดเช่นนี้เช่นกัน ตายอยู่กับเจ้าในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ ยังไม่สู้ที่จะตายไปต่อหน้าเสี่ยวซีซีที่รัก”

องค์รัชทายาทผู้ที่เอาแต่ใจและนิสัยเสเพลผู้นี้กลับไม่กลัวความตาย และได้ขยับตัวเข้าไปใกล้มีดสั้นเล่มนั้น

ทุกครั้งที่เชียนอ้าวเซี่ยเข้าไปใกล้ มีดสั้นเล่มนั้นก็ค่อย ๆ ขยับหนีออกไปทีละนิด ล้อกันเล่น องค์รัชทายาทเซี่ยจะมาตายไปเช่นนี้ ช่างเป็นการสิ้นเปลืองเสียจริง!

— ฉึก! —

ในตอนนี้เอง เสียงของมีคมทิ่มทะลุผิวหนังดังลอยมา

— พรวด! —

เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด จากนั้นมีดสั้นที่จ่ออยู่ที่คอของเชียนอ้าวเซี่ยร่วงลงสู่พื้นดิน

— เคล้ง! —

เชียนอ้าวเซี่ยที่หลุดพ้นเป็นอิสระกระโดดออกมาราวกับกระต่ายตื่นตูม เขากระโดดไปที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี “ฮือ! เสี่ยวซีซี ข้ากลัว”

“เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจสิ!”

เมื่อครู่นี้ตอนที่มีดสั้นจ่อคอของเขา กลับไม่เห็นวี่แววของความกลัวหรือตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่มาตอนนี้อันตรายนั้นมลายหายไปแล้ว เขากลับมีสภาพเหมือนถูกทำให้กลัวจนควบคุมตัวไม่อยู่ และมีอาการร้องหาการปลอบประโลม

ความมีพิรุธนี้ช่างใหญ่หลวงนัก นั่นทำให้น่าหลานอวี้และมู่เฉียนซีล้วนแต่ถลึงตาใส่เขา และกลอกตามองบนอย่างอับจนปัญญา

“เจ้า… พวกเจ้า…” จนกระทั่งตอนนี้ ชายชุดดำนั่นก็ยังไม่รู้ว่ามู่เฉียนซีใช้อาวุธลับใดลอบโจมตีเขา

ในตอนนี้เอง เงาร่างสีขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันกำลังทำความสะอาดกรงเล็บที่เต็มไปด้วยเลือดอย่างละเอียดลออ “หึ! ตอนที่ข้าผู้เป็นปู่แมวลอบโจมตี้เจ้านั้น บรรพบุรุษของบรรพบุรุษของเจ้ายังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ!”

อู๋ตี้นั้นเก็บซ่อนกลิ่นอายของตัวมันเองเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถึงแม้ว่าจะเป็นนักฆ่ามืออาชีพ แต่ก็ยังเทียบกับมันไม่ได้ ความสามารถยังอย่างห่างไกลกันนัก

อู๋ตี้กล่าวขึ้น “เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ แต่ละคนช่างกล้าที่จะเข้ามาแย่งคนงามของนายท่านของข้า คิดจริง ๆ หรือว่าข้านั้นเป็นผู้ที่กินมังสวิรัต”

เสี่ยวหงกล่าวประท้วง “เจ้าแมวโง่ คนงามของนายท่านนั้นมีเพียงผู้เดียว เจ้าอย่าได้นึกว่าเมื่ออยู่ในแดนลึกลับก็จะพูดพร่ำอะไรออกมาก็ได้ ระวังเถอะจะโดน…”

เสี่ยวหงนั้นได้ทำท่าปาดคอประกอบขึ้นมา

อู๋ตี้เองก็รู้สึกเหงื่อตกและเย็นวาบไปทั้งตัว หากว่าบุรุษน้ำแข็งผู้นั้นปรากกตัวอย่างเงียบเชียบ แล้วมาได้ยินเข้าคงไม่เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน

เชียนอ้าวเซี่ยกล่าวขึ้นพลางทำท่าทางน่าสงสาร “เสี่ยวซีซี ข้าขวัญหายมาก ขอเจ้าจงปลอบประโลมข้า เจ้าจงกอดรัดข้าหน่อยเถอะ”

.