ภาคที่ 4 ตอนที่ 96 พบหน้าอีกครั้งที่โรงหมอจิ่วหลิง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

นายหญิงอวี้ส่งน้าเซียวขึ้นรถด้วยตนเอง 

 

 

“แม่ยาย หลังจากนี้ก็มานั่งที่บ้านบ่อยๆ นะ” นางเอ่ยกำชับ 

 

 

น้าเซียวอมยิ้มพยักหน้า พาฮั่นชิงนั่งรถจากไปแล้ว 

 

 

“เฮ้ เจ้าไม่ไปส่งกลับด้วยตนเองรึ?” จูจั้นมองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าจะกลับไปพักที่บ้านแม่ช่วงหนึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” 

 

 

“ไม่ต้องสนคนอื่นพูดอะไรหรอก” นายหญิงอวี้ถลึงตามองจูจั้นทีหนึ่งอย่างไม่พอใจ แล้วมองคุณหนูจวินจากนั้นยิ้มให้อีกหน “อยู่ในบ้านปลอดภัย จะได้ไม่ถูกสุนัขกัดเอา” 

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว 

 

 

“กำลังจะบอกท่านหญิงพอดี ข้าจะขอตัว” นางเอ่ย “ข้าควรกลับไปโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว” 

 

 

กลับไป? 

 

 

นายหญิงอวี้ประหลาดใจอยู่บ้าง ส่วนจูจั้นสีหน้าระแวง 

 

 

“ท่านหญิงไม่ต้องกังวล ข้าดูแลตนเองได้” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “แม้ข้าไม่อยู่ในบ้าน แต่ภรรยาของท่านชายชื่อนี้ยังคงอยู่ ไม่มีใครทำร้ายข้าได้ง่ายๆ หรอก” 

 

 

“ใช่ แม่ คุณหนูจวินร้ายกาจนัก ก่อหน้านี้ไม่มีฐานะนี้ก็ไม่มีใครทำอันใดนางได้” จูจั้นรีบเอ่ยตาม 

 

 

นายหญิงอวี้ถลึงตามองเขาทีหนึ่ง จับมือคุณหนูจวินมา 

 

 

“ได้ เจ้าเป็นแม่นางที่เด็ดขาดคนหนึ่ง ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ย่อมต้องทำเช่นนี้ ข้าฟังเจ้า” นางว่า 

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้า 

 

 

“ท่านหญิงโปรดวางใจ” นางเอ่ย 

 

 

นายหญิงอวี้เห็นรถม้าของคุณหนูจวินจากไปก็ถอนหายใจเศร้าสร้อย 

 

 

“ในบ้านเงียบเหงาลงหน่อยแล้ว” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

“แม่ ก็แค่น้อยลงคนหนึ่งเท่านั้น” จูจั้นยิ้มเอ่ยบ้าง 

 

 

“คนหนึ่งคนนั้นเป็นเพื่อนคุยกับข้าได้” นายหญิงอวี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ 

 

 

“ยังมีข้านี่” จูจั้นคล้องแขนนางพลางเอ่ยบอก “แม่ ข้ามีเรื่องเยอะแยะยังไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง” 

 

 

นายหญิงอวี้สะบัดเขาออก 

 

 

“วันอื่นค่อยว่ากัน” นางเอ่ยขึ้น “ข้าเหนื่อยมาก ไปพักผ่อนก่อน” 

 

 

ก่อนหน้านี้ฟังตนเองเล่าเรื่องไม่เคยเหนื่อยชัดๆ จูจั้นทำหน้าน้อยอกน้อยใจมองนายหญิงอวี้เดินเข้าไป 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

“ข้ากลับมาแล้ว!” 

 

 

“ข้ากลับมาแล้ว!” 

 

 

“พวกเจ้าขยันทำงานกันหรือไม่?”  

 

 

เสียงของหลิ่วเอ๋อร์ก้องสะท้อนในโรงหมอจิ่วหลิง 

 

 

เฉินชีนวดใบหู 

 

 

“เพิ่มขึ้นมาแค่สองคนชัดๆ ทำไมครึกครื้นเช่นนี้” เขาเอ่ยพึมพำ 

 

 

“คุ้นชินเดี๋ยวก็ดี” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยแล้วมองคุณหนูจวิน “ห้องของเจ้าเจ้าเก็บกวาดเองนะ พวกเราก็ไม่กล้าแตะ” 

 

 

“ที่จริงเก็บกวาดอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนรู้ว่าเจ้าจะกลับมา” เฉินชียิ้มเอ่ย “เมื่อวานยังเอาฟูกกับผ้าห่มมาตากแดดอีกรอบหนึ่ง” 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วถลึงตาอับอายโมโหอยู่บ้าง 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว 

 

 

“ข้าทราบแล้ว ข้าจัดการเองแล้วกัน” นางว่าพลางรีบร้อนเดินเข้าไป กระทั่งคำขอบคุณยังไม่เอ่ย 

 

 

“นี่คงกลัวเจ้าอาย” เฉินชียิ้มบอกฟางจิ่นซิ่ว 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขา 

 

 

“เจ้าฉลาดจริงนะ” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

เฉินชีหัวเราะหึหึ 

 

 

“พวกเจ้าสองพี่น้องภายนอกเย็นชาภายในใส่ใจ พุดคุยอยู่ด้วยกันบรรยากาศตึงเครียดง่าย” เขายิ้มบอก 

 

 

“ข้าไม่ใช่เด็กเช่นนั้นอย่างจ้าวฮั่นชิงเสียหน่อย กลางวันจรดกลางคืนพี่สาวอย่างนั้นพี่สาวอย่างนี้” ฟางจิ่นซิ่วพูด “ข้างานยุ่งหรอก” 

 

 

พูดจบก็หมุนตัว 

 

 

“เจ้าไม่ใช่อายุเท่าจ้าวฮั่นชิงรึ” เฉินชีหัวเราะบอก “เจ้าริษยานางแล้วใช่หรือไม่ล่ะ” 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วหันหน้ามา 

 

 

“ข้าต้องริษยานางรึ?” นางเอ่ยขึ้น “เจ้าลองพูดสิ ตรงไหนของนางน่าให้ข้าริษยาเล่า?” 

 

 

แม้เฉินชีตลอดมาไม่เคยเลียนแบบเอ่ยคำหวานฉอเลาะลื่นไหลได้เช่นนั้นอย่างฟางเฉิงอวี่ แต่ก็ไม่มีทางโง่จนกระทั่งตอบคำถามนี้จริงๆ 

 

 

“พูดถึงจ้าวฮั่นชิง ข้าคิดเรื่องสำคัญขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “องครักษ์เสื้อแพรนั่นยังคงไม่เลิกคิดร้ายกับคุณหนูจวินเหมือนเดิม เวลานี้ต้องรู้ข่าวแน่ ต้องมาหาเรื่องแน่ ตอนนี้พวกเราเชิญยอดฝีมือมาเพิ่มสักหน่อยเถอะ อย่างไรตอนนี้ตีกันขึ้นมาพวกเราก็ไม่กลัว สังหารองครักษ์เสื้อแพรไปก็ไม่กลัว” 

 

 

เขาพูดพลางจะเดินออกไปข้างนอก ฉับพลันมีคนเลิกม่านเดินเข้ามา ร่างสูงใหญ่ขวางแสงตะวันทอดเงาดำแถบหนึ่งลงมา 

 

 

เห็นคนที่มา ฟางจิ่นซิ่วก็หัวเราะแล้ว 

 

 

“เจ้าไม่ต้องไปหาคนแล้ว” นางมองเฉินชีแล้วเอ่ยขึ้น “มีท่านชายคนหนึ่งตั้งด่านอยู่เทพผีก็ยากเข้าใกล้” 

 

 

เฉินชียิ้มคำนับให้จูจั้น 

 

 

“ท่านชายท่านมาแล้ว” เขาเอ่ย ไม่รอจูจั้นเอ่ยวาจาก็รีบชี้ด้านใน “คุณหนูจวินเพิ่งเข้าไป” 

 

 

จูจั้นขานอืมทีหนึ่ง ไม่เอ่ยวาจาอีกหน้าบึ้งเข้าไปแล้ว 

 

 

เฉินชีเข้ามายืนข้างกายฟางจิ่นซิ่วหัวเราะอีกทันที 

 

 

“เฮ้อ เจ้าดูสิเหมือนภรรยาน้อยหงุดหงิดกลับบ้านแม่ ลูกเขยมาหาพูดจาเอาใจรับภรรยากลับบ้านใช่หรือไม่?” เขาหัวเราเอ่ยเสียงเบา 

 

 

“ไม่เหมือน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยทันควัน 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

“ข้าเคยบอกแล้ว ไม่ว่ามีหรือไม่มีภรรยาท่านชายฐานะนี้ ข้าล้วนจะปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย” จูจั้นพิงประตูเอ่ย มองคนที่กำลังมองสำรวจห้องอยู่ข้างใน “เจ้าอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน ข้าตามมาก็ได้แล้ว” 

 

 

คุณหนูจวินขานอ้อทีหนึ่ง เปิดหีบยาออก ดึงเส้นไหมสีเงินสีทองเส้นแล้วเส้นเล่าออกมา 

 

 

“เฮ้เฮ้ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าตั้งใจหน่อยได้หรือไม่? นี่ไม่ใช่แม่ข้าให้ข้าตามมารึ ข้ารู้ว่าเจ้าร้ายกาจ ทนแทบไม่ไหวอยากให้คนแซ่ลู่มาหาที่ตายนัก” 

 

 

เขาพูดพลางยืดตัวตรง 

 

 

“แต่เจ้าสตรีคนนี้ทำการใดอย่าบุ่มบ่ามปานนี้ได้หรือไม่ ใช้สมองเสียบ้าง…” 

 

 

คุณหนูจวินมองไปหาเขา 

 

 

“ได้” นางยิ้มตอบ “ข้าทราบแล้ว” 

 

 

“เจ้าทราบอะไร? อย่าคิดมากเชียว ไม่ใช่ข้าเป็นห่วงเจ้า” จูจั้นเอ่ย 

 

 

คุณหนูจวินเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากในหีบยาแล้วยกมือขึ้น 

 

 

จูจั้นยื่นมือไปรับโดยไม่ทันคิด เห็นว่าเป็นหน้าไม้น้อยอันนหึ่ง 

 

 

“วางเจ้านี่ไว้บนหน้าต่าง” คุณหนูจวินว่า พูดจบก็ไม่สนใจเขาอีก ก้มหน้าจัดการเส้นด้ายเล็กต่อ 

 

 

เรื่องเช่นนี้ตลอดทางพวกเขาทำกันมามากนัก แม้เริ่มแรกล้อเล่นให้จูจั้นเฝ้าตอนกลางคืน หลังจากนั้นย่อมไม่ได้ให้เขาเฝ้าตอนกลางคืนตลอดเวลาจริงๆ 

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที ไม่รู้พึมพำอะไรประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปริมหน้าต่างยื่นตัวเหนี่ยวหน้าต่างก้าวออกไปยืน 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

วันรุ่งขึ้นฟ้าสว่างปุบ ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงก็เปลี่ยนเป็นครึกครื้น แน่นอนความครึกครื้นนี่ที่สำคัญคือเสียงพูดของหลิ่วเอ๋อร์ บงการพนักงานให้ทำงาน แล้วตรวจดูว่าอาหารถูกปากหรือไม่ ตั้งแต่เช้าตรู่พูดจนถึงหลังเที่ยง 

 

 

เฉินชีหลบเงียบๆ อยู่ในโถงด้านหน้าตลอด 

 

 

ตอนฟางจิ่นซิ่วเดินออกมาก็เห็นเฉินชียืนอยู่ริมหน้าต่างชะเง้อไปข้างนอก ท่าทางระวังระไว 

 

 

“เจ้ามองอะไรน่ะ?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถาม 

 

 

“ข้าลองดูว่ามีองครักษ์เสื้อแพรหรือไม่” เฉินชีเอ่ย “ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นเลย หรือยังไม่รู้ข่าว?” 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วเบ้ปาก เดินตรงไปด้านนอก เพิ่งก้าวออกจากประตูก็มีคนเดินมาจากกำแพงด้านข้างยกเท้าเข้าประตู ไม่ทันระวังเกือบชนกัน 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วถอยหลังก้าวหนึ่ง เห็นคนที่มาชัด สีหน้ากลายเป็นแปลกพิกล 

 

 

“ไม่ใช่กระมัง คุณชายหนิง ท่านอีกแล้ว” นางเอ่ยขึ้น 

 

 

ชายหนุ่มตรงหน้ามีบรรยากาศสง่าสุขุมอย่างที่บัณฑิตถึงจะมี สวมชุดผ้าเนื้อละเอียดสีน้ำเงินคราม เขาได้ยินคำนี้บนหน้าก็ผุดรอยยิ้ม 

 

 

“บังเอิญอีกแล้วหรือ?” เขายิ้มเอ่ย