ภาคที่ 4 ตอนที่ 97 บทสนทนาของคนฉลาด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ประโยคนี้ คนผู้นี้ ฟางจินซิ่วไม่นับว่าไม่คุ้นเคยแล้ว เริ่มตั้งแต่หยางเฉิงหนิงอวิ๋นเจาก็บังเอิญมาเยือนถึงประตูเช่นนี้หลายครั้งนัก

 

 

แม้ตั้งแต่คุณหนูจวินออกจากเมืองหลวงไป จำนวนครั้งที่หนิงอวิ๋นเจาเหยียบเข้าโรงหมอจิ่วหลิงจะนับนิ้วได้ แต่ทุกครั้งล้วนเพราะคุณหนูจวิน

 

 

บนโลกไหนเลยมีความบังเอิญอันใด ล้วนเจตนากระทำทั้งนั้น

 

 

“ดูท่าข่าวคงแพร่ออกไปแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้นมา

 

 

คนแรกที่มาเยือนประตูก็คือเขา เร็วกว่าองครักษ์เสื้อแพรอีก

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแต่ไม่พูดจา ไม่ปฏิเสธแล้วก็ไม่อธิบาย

 

 

“ข้าต้องการพบนาง” เขาเอ่ย “ตอนนี้เหมาะสมไหม?”

 

 

ฟางจิ่นซิ่วมองเขา คิดถึงภาพหนิงอวิ๋นเจามาเยือนประตูครั้งแรกที่หยางเฉิงรู้สึกว่าคล้ายคลึงยิ่งนัก เวลานั้นเป็นยามดึกดื่นเที่ยงคืน ส่วนตอนนี้ฟ้าสว่างยามกลางวัน แต่ที่เหมือนกันคือคนที่เขาต้องการพบ ล้วนเป็นภรรยาที่มีสามีเคียงคู่

 

 

แม้ภรรยาคนเดิม แต่สามีเปลี่ยนคนแล้ว

 

 

เหมาะสมไหม? ว่าตามหลักแล้วไม่เหมาะสมจริงๆ แต่ตอนนี้ตัวคุณหนูจวินคนนี้ยังต้องถกตามหลักสามัญอีกหรือ?

 

 

ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะแล้ว

 

 

“เหมาะสมสิ” นางเบี่ยงกายหลีกทาง ยื่นมือทำท่าเชิญ “มีสิ่งใดไม่เหมาะสมล่ะ”

 

 

หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มก้าวเข้ามา เฉินชีส่งสายตาให้เขาทีหนึ่ง ตนเองก้าวไวๆ เปิดประตูที่ไปด้านหลัง

 

 

“คุณหนูจวิน ขุนนางน้อยหนิงมา” เขาตะโกนเสียงดัง

 

 

หนิงอวิ๋นเจาเดินตามเขามาถึงหน้าประตูหลัง มองเห็นคนที่อยู่ในเรือนด้านหลังหยุดชะงักพริบตาหนึ่งเพราะเสียงตะโกนนี้ของเขา

 

 

พนักงานทั้งหลายอุ้มเครื่องยายกกระบุง หญิงรับใช้หอบดอกไม้ใบหญ้าที่เบ่งบานยังไม่ทันจัด สาวใช้หลิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงทางเดินมือที่ถือแตงหยุดอยู่ข้างริมฝีปาก

 

 

ส่วนบนอาคารฤดูร้อนเปิดหน้าต่างออกกว้าง เด็กสาวคนหนึ่งนั่งพิงหน้าต่าง

 

 

อาภรณ์สีผลซิ่งเส้นผมดำขลับ พัดกลมขยับเบาๆ

 

 

ท่ามกลางความชะงักนิ่งนี้ มีเพียงนางแววตาวูบไหว แย้มยิ้มนิดๆ

 

 

ส่วนหนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มเช่นกัน บรรยากาศชะงักนิ่งสลายไป ข้างหูได้ยินเสียงพูดคุยดังขึ้นรอบด้าน

 

 

“คุณชายหนิงมาแล้ว” นี่คือเฉินชีตะโกนอีกหน

 

 

“คุณชายหนิงมาได้อย่างไร?” นี่คือหลิ่วเอ๋อร์ประหลาดใจ

 

 

“เชิญ”

 

 

นี่คือคุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาคำนับให้นางไกลๆ ทีหนึ่ง เยื้องย่างเดินเข้าไปในห้องโถง

 

 

เสียงกระแอมไอดังขึ้น ก้าวเท้าของหนิงอวิ๋นเจาชะงักนิดหนึ่ง มองเห็นใต้ต้นไม้ด้านข้างบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ มือกำลังวางอยู่บนหลักไม้พลางมองเขา

 

 

“ท่านชาย” หนิงอวิ๋นเจารีบคำนับ “ท่านอยู่ที่นี่”

 

 

อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เป็นเขาตาบอด ตนเองคนผู้หนึ่งตัวโตปานนี้ยืนอยู่ตรงนี้ยังมองไม่เห็น

 

 

จูจั้นทำหน้าเหยียดหยัน

 

 

ความรักมอมเมาปัญญา

 

 

ในดวงตานอกจากผู้หญิงคนนั้นสิ่งใดล้วนมองไม่เห็นแล้ว

 

 

จูจั้นไม่ตอบคำ ตบป้าบลงบนหลักไม้ ยืนท่านั่งม้ามั่งคงทรงพลัง มือเคลื่อนไหวว่องไวแต่ไม่สับสน

 

 

“คุณชายหนิง”

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ในห้องโถงแล้ว เอ่ยกับเขา

 

 

หนิงอวิ๋นเขาคำนับจูจั้นอีกหน ก้าวเข้าไปด้านในโถง

 

 

ชารินเรียบร้อยแล้ว

 

 

“เชิญ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย ตนเองนั่งลงก่อน

 

 

หนิงอวิ๋นเจานั่งลงยกชาขึ้นจิบนิดๆ คำหนึ่ง

 

 

“ท่านร้ายกาจจริงๆ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นหน้ากำแพงพระราชวังตอนนั้น รวมถึงการโต้ตอบของหนิงอวิ๋นเจาในงานเลี้ยง เฉิงกั๋วกงเล่าให้นางฟังแล้ว

 

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้ม

 

 

ถูกนางเปิดบทสนทนาก่อนอีกหนแล้ว ยังคงใส่ใจเช่นเดิม แม้ไม่พบกันเนิ่นนานก็ไม่ห่างเหิน ยิ่งไม่เกร็ง

 

 

นอกจากนี้ร้ายกาจสองคำเรียบง่ายนี้ ทำให้เขายินดียิ่ง

 

 

ที่จริงตั้งแต่เล็กเขาไม่ใช่คนที่ทำสิ่งใดเพื่อให้ผู้อื่นชื่นชม ไม่ว่าเรียนหนังสือหรือพิณหมากภาพอักษร เขาล้วนทำเพราะสุขใจกับมัน ดังนั้นคำชื่นชมของผู้อื่นไม่มีความหมายอันใดกับเขา

 

 

แต่เวลานี้ ได้ยินเด็กสาวคนนี้ชื่นชมคำหนึ่ง รอยยิ้มของเขาล้นปริ่มออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เหมือนบุปผาวสันต์แย้มบาน

 

 

“เจ้าก็ร้ายกาจจริงๆ” เขายิ้มเอ่ยตอบ

 

 

คุณหนูจวินชูถ้วยชาขึ้น

 

 

“ฉลองที่พวกเราล้วนร้ายกาจ” นางเอ่ย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ชูถ้วยชาขึ้น ทั้งสองคนชนแก้วกันเบาๆ

 

 

ประตูห้องโถงเปิดออกกว้าง ทั้งสองคนนั่งประจันหน้าดื่มชาคุยเล่นหัวเราะกัน คนด้านนอกล้วนมองเห็นได้

 

 

เฉินชีมองอย่างสนอกสนใจ แล้วยังจิ๊ปากสองที

 

 

“ทำไมดูแล้วเหมาะสมที่สุด” เขาเอ่ยเสียงเบา

 

 

“ดูอะไรเล่า ไปข้างนอกเฝ้าประตูไป” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

เฉินชีหัวเราะคิกคัก ยักคิ้วให้อีกด้านอีก

 

 

“เจ้ารีบร้อนอะไรเล่า ท่านชายยังไม่รีบร้อนเลย” เขาหัวเราะเอ่ยเสียงเบา

 

 

อีกด้านหนึ่งจูจั้นจดจ่อโจมตีหลักไม้อย่างสุขุม การเคลื่อนไหวไม่รีบร้อนสับสนสักนิด คล้ายไม่สนใจว่ามีแขกมา ทั้งแขกยังคุยเล่นหัวเราะเบิกบานยิ่งนักอยู่กับคู่หมั้นของเขาสักนิด

 

 

ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าสงบ

 

 

“เรื่องช้าเร็ว” นางเอ่ย

 

 

นี่ไม่มีสิ่งใดแปลก นางก็เคยเห็นมาก่อน ในอดีตก็มีคนไม่รีบร้อนเช่นกัน แล้วยังโวยวายนั่นโวยวายนี่ ผลสุดท้ายเล่า ตอนนี้ได้แต่ร้อนรนอยู่ลับๆ

 

 

คิดถึงตรงนี้นางก็หัวเราะบ้าง หมุนตัวกวักมือเรียกหญิงรับใช้ท่าทางเหมือนจะกลั่นแกล้ง

 

 

“เตรียมงานเลี้ยงตอนค่ำต้อนรับแขก” นางเอ่ย

 

 

คนรักใหม่คนรักเก่านั่งทานอาหารร่วมกันนี่ต้องสนุกมากแน่

 

 

“เจ้าอย่าก่อเรื่องมั่วสิ นั่งด้วยกันกระอักกระอ่วนเท่าไร” เฉินชีเอ่ยเสียงเบา

 

 

กระอักกระอ่วน?

 

 

“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาสามคนคงจะไม่รู้จักว่ากระอักกระอ่วนสองคำนี้เขียนอย่างไรหรอก” ฟางจิ่นซิ่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยตอบ

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ดื่มชาถ้วยหนึ่งหมดแล้ว คุณหนูจวินก็สะบัดแขนเสื้อรินชาอีก

 

 

หนิงอวิ๋นเจาคิดว่าคราวนี้เขาควรเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกเหมือนไม่มีสิ่งใดให้พูดได้

 

 

เรื่องของนางเขาล้วนฟังมาหมดแล้ว หรือจะขอให้นางเล่าซ้ำอีกรอบ? นี่สำหรับนางที่เดิมก็ไม่ชอบพูดอยู่แล้วคงเป็นเรื่องน่าเบื่อนัก

 

 

รำพันสักประโยคว่านางลำบากแล้ว? ถามนางสักประโยคว่ายากไหม? นี่ก็น่าเบื่อนักเช่นกัน สำหรับนางกับเขาคนเช่นนี้ ทำสิ่งใดล้วนไม่เคยสนใจว่ายากหรือลำบาก ในเมื่อพวกเขาต้องการทำก็จะทุ่มกำลังเต็มที่ หากจะบอกว่าต้องการความเห็นของคนอื่นให้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็พูดสักปะโยคชมว่าร้ายกาจยิ่งก็พอแล้ว

 

 

ชมก็ชมไปแล้ว

 

 

บางทีเขาอาจถามสถานการณ์ที่แดนเหนือสักหน่อยได้ นี่เป็นกุญแจสำคัญที่เกี่ยวข้องไปถึงว่าจะทำอย่างไรในอนาคต อย่างไรราชสำนักตอนนี้ดูไปแล้วฝุ่นธุลีตกพื้นคลื่นลมสงบ แต่ที่จริงคลื่นใต้น้ำโหมซัด

 

 

ถ้วยชาหมุนไปมาในมือ หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้าขึ้น

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเรื่องแต่งงานครั้งนี้ จริงหรือหลออกล่ะ?” เขาเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินกำลังรินถ้วยชาของตนให้เต็ม ได้ยินคำพูดศีรษะก็ไม่เงยขึ้น

 

 

“แน่นอนย่อมหลอกสิ” นางตอบอย่างสบายๆ คล้ายตอบอย่างกระทั่งคิดก็ไม่ต้องคิด พูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเขาทีหนึ่ง “เจ้าไม่รู้หรือ?”

 

 

ความหมายของนางก็คือคนฉลาดเช่นนี้อย่างหนิงอวิ๋นเจาย่อมควรคิดจุดนี้ออกอยู่แล้ว

 

 

แต่การย้อนถามตามสบายนี่ของนางกลับทำให้หนิงอวิ๋นเจาลนลานนิดๆ อยู่บ้าง

 

 

ใช่แล้ว เขาควรรู้นะ นอกจากนี้ไม่ต้องพูดถึงเดาได้ เฉินชีก็บอกใบ้เขาแล้ว

 

 

แต่เขากลับยังถามออกมา มั่นใจในคำตอบปานนี้ชัดๆ กลับจะต้องให้นางเอ่ยเองกับปากรอบหนึ่งถึงเชื่อได้

 

 

นี่จะ..ออกจะ…โชยกลิ่นหึงหวง…เกินไปหรือไม่?

 

 

แต่ก็รู้สึกยินดีอยู่บ้างนิดๆ

 

 

หรือพูดได้ว่านางรู้ว่าเขาต้องรู้เรื่องที่นางทำแน่ นี่คือความเชื่อมั่น

 

 

ถ้าเช่นนั้นนางย้อนถามเช่นนี้ หงุดหงิดอยู่บ้างหรือไม่?

 

 

เรื่องที่รู้ชัดเช่นนี้ ทำไมเจ้ายังต้องถาม เจ้าถามเช่นนี้ไม่เชื่อข้า ไม่เข้าใจข้าใช่หรือไม่?

 

 

นี่จะดูบ่นไปหน่อยหรือไม่?

 

 

คนจะบ่นกับคนแบบไหนเล่า? กับคนที่สนใจถึงทำ

 

 

หนิงอวิ๋นเจาขานอืมคำหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นการย้อนถามหรือตอบรับ แล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มชา

 

 

“อย่าบอกคนอื่นล่ะ” คุณหนูจวินไม่ได้สังเกตท่าทางประหลาดของเขา คิดอะไรขึ้นได้ก็กำชับอีกหนึ่งประโยค

 

 

ไม่บอกคนอื่น ถ้าเช่นนั้นสำหรับนางเขาก็ไม่ใช่คนอื่น

 

 

“แน่นอน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยตอบ อยากหัวเราะแต่ก็อยากกลั้นไว้ “ข้าไม่โง่เสียหน่อย”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“เจ้าย่อมไม่โง่ เจ้าฉลาดนัก” นางยิ้มเอ่ย

 

 

หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มด้วย

 

 

“เจ้าก็ฉลาดเหมือนกัน” เขาเอ่ย

 

 

นี่ยังต้องพูดหรือ? เขาพูดออกจากปากไปก็เสียใจอยู่บ้าง คำพูดเช่นนี้โง่เง่าอยู่บ้างจริงๆ

 

 

คุณหนูจวินกลับไม่รู้สึก ยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

“ใช่แล้ว ข้าย่อมฉลาด” นางเอ่ย

 

 

จูจั้นที่ยืนอยู่ข้างหลักไม้เงี่ยหูฟังอยู่หนาวเยือกวูบหนึ่ง

 

 

กับคนที่ค่อนข้างโง่นางพูดคุยเช่นนี้สินะ? ทั้งโง่ทั้งน่าเบื่อจริงๆ

 

 

ดูท่าอย่างไรตนเองก็ฉลาดเกินไปแล้วทำให้นางไม่อาจไม่เรียกกำลังใจโต้ตอบ อาศัยไม่ปกติยิ่งถึงกดเขาได้

 

 

จูจั้นเบ้ปาก ตบหนึ่งฝ่ามือบนหลักไม้ดังป้าบหนักหน่วงท่าทางได้ใจอยู่นิดๆ

 

 

…………………………