* * *
รถม้าจากวังหลวงกำลังพามกุฎราชกุมารไปยังคฤหาสน์ท่านคานต์โรสเซนต์
รถม้าหุ้มทองอย่างหรูหรา ไม่ใช่แค่คันเดียวแต่มาถึงสองคัน คันหนึ่งไว้สำหรับอาซ ส่วนอีกคันไว้สำหรับบรรทุกทรัพย์สมบัติทองคำที่เตรียมไว้เป็นของขวัญ
“ตายจริง นั่นอะไรน่ะ?!”
เนื่องจากรถม้าขับผ่านบริเวณที่ผู้คนจำนวนเดินไปมาจึงตกเป็นจุดสนใจ
หากไม่เป็นงานที่ประกาศอย่างเป็นทางการ ภายในราชวงศ์ก็จะกระทำการอะไรต่างๆ อย่างเป็นความลับ แต่เนื่องจากพวกเขาที่เห็นการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด ทำให้เกิดการคาดเดาและข่าวลือขึ้น
‘หรือว่า… พระองค์จะไปหาเลดี้อาเรีย…?!’
เพราะรถม้าเดินทางไปยังคฤหาสน์โรสเซนต์ ข่าวลือข้อเท็จจริงต่างๆจึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เป็นข่าวลือแห่งศตวรรษที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ
และทำให้อาซที่ตรวจเอกสารอยู่ในรถม้ายกยิ้มเบาๆ ต่างจากปกติที่มักจะทำหน้าตาเฉยชา แต่จู่ๆ กลับอารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะกำลังเดินทางไปหาอาเรียอย่างไรล่ะ
แน่นอนว่าถึงไม่ออกตัวแบบนี้ก็สามารถไปหาได้อย่างที่ใจต้องการ แต่อาซตั้งใจเลือกรถม้าที่มีตราประทับของวังหลวง
เหตุผลง่ายๆ เพื่อที่จะทำให้คนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ของตนเองและอาเรีย
แม้จะไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทางเลือกนั้นก็ตาม แต่เพราะอยากจะโอ้อวด หญิงที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรคือคนรักของเขา
“เรียนเชิญด้านในเพคะ”
หลังจากได้รับความสนใจจากทุกสายตาในที่สุดก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ท่านเคานต์
ทันทีที่รถม้าลงจอด ท่านเคานต์และเคานต์ติสต่างโค้งคำนับพลางกล่าวต้อนรับ แม้อาซจะยังไม่ลงมาจากรถม้า แต่ทั้งคู่ดูตื่นเต้นอย่างมาก
รวมไปถึงข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เคาน์ติสต่างก้มหัวอย่างเต็มที่ มิเอลและเคนต่างยืนต้อนรับอย่างสงบเสงี่ยม
มีเพียงอาเรียที่ยืนตรงอยู่คนเดียวท่ามกลางทุกคนรอรับอาซ
เป็นอภิสิทธิ์สำหรับเธอเท่านั้น
“เลดี้อาเรีย”
อาซที่ลงมาจากรถม้า สวมใส่เสื้อผ้าที่สง่างามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชุดสูทสีขาวแซมด้วยด้ายสีทองเป็นประกาย รวมไปถึงผมที่จัดเข้าทรงอย่างดีกระทั่งรูปลักษณ์ของเขาทำให้น่าประทับใจมาก
ต่างจากที่ผ่านมาจากที่เคยใส่แต่สีดำ การมาครั้งนี้ใครๆ ก็ดูออกว่าเป็นมกุฎราชกุมาร
‘หากสวมใส่มาแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรก ทุกคนก็รู้แล้วว่าเป็นมกุฎราชกุมาร’
เป็นภาพลักษณ์ที่เขาใส่ใจมากกว่างานประกาศจบการศึกษาจากสถาบันเสียอีก อาเรียมองเขาพร้อมกับแก้มขึ้นสีเลือดฝาด
“คุณอาซ เดินทางมาไกลลำบากแย่เลยนะคะ”
“เพราะเดินทางมาหาเลดี้ผมก็เลยเพลิดเพลินเสียมากกว่าครับ”
อาซตอบอาเรียด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน แม้จะได้ยินแค่เสียงแต่รู้สึกได้ว่าเขาต้องการอาเรียมากแค่ไหน ทำให้คนที่ได้ยินพลอยมีความสุขตามไปด้วย
“แต่ดูท่าแล้ว คนที่ลำบากน่าจะเป็นคนในคฤหาสน์มากกว่านะครับ”
น่ารักน่าชังเสียจริง
หากเป็นมกุฎราชกุมารน่าจะมีความเย่อหยิ่งอยู่บ้าง แต่เพราะอาซอยากจะได้ความสนใจจากคนรอบๆ ตัวอาเรียจึงพูดออกไป
“ถึงจะไม่ใช่เพราะอย่างนั้นก็มีคนที่ลำบากอยู่แล้วละค่ะ หวังว่าคุณจะเพลิดเพลินไปกับการชมคฤหาสน์นะคะ”
“ได้สิครับ คาดหวังเหมือนกันนะครับ เลดี้จะคอยอยู่แนะนำให้ผมใช่ไหม”
“แน่นอนสิคะ ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครอีกล่ะคะ”
อาเรียจึงพูดรับอย่างดีแสดงท่าทางแกล้งทำออกมา พวกเขาที่ได้ยินแค่เสียงจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“…ท่านอัสเทอโรพี”
และทั้งสองคนต่างทิ้งให้ทุกคนโค้งคำนับอยู่อย่างนั้นพลางพูดเรื่องไร้สาระกันสองคนอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งชื่อของอาซถูกเรียกขึ้น เป็นเพราะที่จริงแล้วเขามัวแต่ต่อสนทนาจนของขวัญถูกขนลงจากรถม้าหมดแล้ว
คนที่เรียกอาซ อาเรียก็รู้จักเป็นอย่างดี องครักษ์ที่เคยพบที่ร้านขายของชำ ซอร์ค
ซอร์คที่สบตากับอาเรียโค้งคำนับให้อย่างสั้นๆ
“เอ่อ ผมเสียมารยาทสินะครับ ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาได้แล้วครับ”
ทันใดนั้นคนในคฤหาสน์ต่างเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของอาซ แตกต่างจากที่เคยได้เห็นจากข่าวลือที่ชนชั้นสูงต่างส่งต่อๆกัน เขาดูดีและหล่อเหลาจนแทบจะสบถออกมาแต่ก็ต้องฝืนกลืนคำนั้นลงไป
ยิ่งไปกว่านั้นแก้วแหวนเงินทองนั่นอะไรน่ะ ของขวัญที่มีจำนวนมากมายจนต้องใช้รถม้าอีกคันหนึ่งขนมา ได้ขโมยความสนใจของพวกเขา ราวกับเป็นของขวัญที่ออกมาจากในนิยายเสียอย่างนั้น
“ท่านพ่อและท่านแม่ของดิฉันเองค่ะ”
ท่านเคานต์และเคาน์ติสที่อึ้งอยู่ได้ยินอาเรียแนะนำตัวเองให้จึงรีบโค้งคำนับอีกครั้ง
“ได้ยินมาว่าท่านเป็นคนดีเลยล่ะครับ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเคานต์ยังมีความสามารถด้านธุรกิจด้วยนี่ครับ ไม่รู้ว่าเลดี้ได้รับความสามารถมาจากท่านหรือเปล่านะครับ แล้วก็…ท่านเคาน์ติสช่างงดงามจริงๆ ครับ ได้ยินมาว่าหญิงที่งามที่สุดในอาณาจักรมีแค่เลดี้อาเรียเท่านั้นนี่นา แต่ทำไมตรงหน้าของผมถึงได้มีสองกันล่ะครับ ขอบคุณที่อนุญาตให้ผมได้มาเยือนนะครับ”
คำชมที่ออกมาจากปากของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้คู่สามีภรรยาท่านเคานต์หายตื่นตระหนก เพราะเป็นมกุฎราชกุมารจึงกังวลเรื่องต่างๆ อยู่มาก แต่ท่าทางที่ได้เจอกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เคาน์ติสจ้องมกุฎราชกุมารอย่างปลาบปลื้มด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“แล้วก็….นี่ เคน ท่านพี่ของฉันและ มิเอล น้องสาวของฉันค่ะ”
เคนและมิเอลที่อาเรียแนะนำตัวให้ทีหลังแสดงความเคารพ แม้จะดูอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไรนัก แต่ท่าทางของทั้งคู่ก็ไม่ถึงกับขั้นที่สมควรถูกตำหนิ เป็นใบหน้าที่สามารถมองข้ามไปได้เพราะถือว่าอาจจะตื่นเต้น ถือว่าสามารถปิดสภาพที่แท้จริงของตนเองได้สมกับเป็นชนชั้นสูง
“อย่างนั้นสินะครับ”
แต่ท่าทางตอบกลับของอาซกลับเย็นชา เป็นเพราะเขารู้ทันท่าทางของเคน
ไม่มีทางที่เขาจะมองคนที่ยืนกรรมสิทธิ์อยากได้อาเรียในศาลไปในทางที่ดีได้ สวมหน้ากากแสร้งทำไปเพื่อน้องสาวแต่กลับอยากได้ไปในทางสกปรกแบบนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นข้างๆ เขาคือมิเอลเจ้าของข่าวลือ น้องสาวของเธอที่ใช้วิธีสกปรกจนเกือบทำให้อาเรียต้องเสียชีวิต และยังเป็นหมารับใช้ของไอซิสคนที่เขาไม่อยากจะเห็นหน้าด้วยซ้ำ
แม้จะแสดงท่าทางดีก็ยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไร แต่นี่กลับแสดงสีหน้าไม่พอใจหรือนี่
อาซที่กำหมัดแน่นครู่หนึ่งพลางมองปราดเป็นการตอบรับคำนับของเคนและมิเอลต่างจากที่ปฏิบัติกับท่านเคานต์และเคาน์ติส
“เริ่มหิวแล้วสิครับ เป็นเพราะผมต้องวุ่นวายแต่เช้าเพื่อมาพบเลดี้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
ทำไมเขาถึงได้แสดงออกว่าพอใจขนาดนี้เชียว
อาซพูดคำหนึ่งอาเรียก็ยิ้มให้อย่างสดใส แต่ท่านเคานต์และเคาน์ติสกลับหน้าซีดเผือด
ทำสีหน้าราวกับ ‘เราควรจะเชิญท่านไปก่อนที่ท่านจะพูดออกมาแท้ๆ’ พร้อมกับพูดเชิญอาซไปยังห้องอาหารในสวนที่จัดเตรียมไว้แล้ว
เคนและมิเอลที่ยังแนะนำตัวไม่เสร็จสิ้นแสดงสีหน้าบูดเบี้ยวจึงเดินตามหลังไป หากอาซจะเมินพวกเขาตั้งแต่แรกก็ไม่แปลก เพราะในที่นี้ผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดก็คืออาซอย่างไรล่ะ
“โชคดีที่อากาศดีนะคะ พอดีเตรียมสำหรับกลางวันไว้ให้ที่สวนแล้วด้วยค่ะ”
จับมือมกุฎราชกุมารพลางเดินไปยังสถานที่จัดเลี้ยงตรงสวน เมื่อหันหลังมาเหลือบมองก็เห็นน้องสาวที่พยายามปิดบังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธของเธอ
‘เจ้าชายมาเยี่ยมเยียนถึงที่ จะลุกออกก่อนก็คงจะไม่ได้’
ไม่รู้ว่าจะเป็นที่นั่งที่น่าอึดอัดแค่ไหนกันนะ
พวกเขาที่ดูแคลนเชื้อกำเนิดของอาเรียตอนนี้กลับไม่สามารถต่อต้านผู้ที่มีตำแหน่งเหนือกว่าตนได้จึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธนั้น
‘ทำอะไรย่อมได้อย่างนั้น’
อาเรียที่อารมณ์ดีขึ้นเพราะอาซจึงส่งยิ้มที่แสนสง่าและงดงามให้กับเขา รอยยิ้มที่งดงามยิ่งกว่าลิลลี่ทั้งสวน
ทันใดนั้นอาซที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นจึงหันไปสบตาและส่งยิ้มให้อาเรียเช่นกัน ราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันเสียอย่างนั้น เคาน์ติสที่ประทับใจกับภาพเหล่านั้นจ้องตาเป็นประกาย
เมื่อทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารเรียบร้อย ไม่นานมื้ออาหารก็เริ่มขึ้น ดูท่าข้ารับใช้ต่างได้รับกับฝึกมาอย่างดีจึงจัดการทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ผิดพลาด
“ดูท่านคงจะใส่ใจมากเลยนะครับ”
ตามที่อาซพูดอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างดีถูกเสิร์ฟตามลำดับ เป็นชุดอาหารที่ใช้แต่วัตถุดิบชั้นเลิศ แต่จะว่าไปหากเป็นมื้อเย็นก็พอสมเหตุสมผล แต่สำหรับมื้อกลางวันแล้วปริมาณอาหารดูมากเกินไป
เพราะเคาน์ติสรับผิดชอบเรื่องอาหารทั้งหมด ท่านเคานต์ที่รู้ความจริงนั้นจึงใจหายใจคว่ำทันที ดูเหมือนว่าจะแฝงอะไรบางอย่างไว้ เพราะการต้อนรับที่เกินความเหมาะสมทำให้ท่านเคานต์กังวลว่าเขาจะโกรธหรือไม่พลางกลืนน้ำลายที่แห้งผาก
“เพราะเป็นงานจัดเลี้ยงครั้งใหญ่เลยไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรครับ”
ต่างจากที่ท่านเคานต์กังวลอยู่ แทนที่อาซจะตำหนิกลับกล่าวขอบคุณทันทีพร้อมกับเพลิดเพลินกับมื้ออาหาร
ทันใดนั้นท่านเคานต์จึงแสดงสีหน้างุนงน เคาน์ติสที่ยังไม่เข้าใจบรรยากาศคิดว่าตัวเองได้รับคำชมจึงแสดงสีหน้าดีใจพลางถาม
“ไม่รู้ว่าจะถูกปากท่านหรือเปล่า”
“พูดอะไรกันครับ อร่อยมากๆ เลยล่ะครับ”
แม้เขาไม่จำเป็นจะต้องทำตัวให้ดูดีเนื่องจากตำแหน่งของเขาก็ตาม แต่ในขณะที่ทานอาหารอาซก็แสดงออกว่าเขาให้ความสนใจท่านเคานต์และเคาน์ติส
เขาปฏิบัติตัวเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งต่ำที่สุด ไม่ว่าจะมองเป็นศัตรูอย่างไร ท่านเคานต์ก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นที่มกุฎราชกุมารที่จะกลายเป็นจักรพรรดิในอนาคตลดตัวลงมาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง จนกระทั่งพูดเรื่องไร้สาระราวกับลูกศิษย์ที่อยากได้รับคำชมจากอาจารย์
“ได้ยินมาว่าท่านลำบากเพราะธุรกิจผ้าขนสัตว์เหรอครับ”
“ครับ ใช่แล้วล่ะครับ เพราะว่าภาษีของสินค้าฟุ่มเฟือยไม่ธรรมดาเลยล่ะครับ!”
“ตายจริง… หากผมรู้ก่อนจะได้ให้การช่วยเหลือแล้ว.. น่าเสียดายจริงๆ ครับ”
“แค่ท่านพูดก็ขอบพระคุณมากแล้วล่ะครับ ดังนั้นเพราะภาษีจึงลำบากอยู่พักใหญ่ โชคดีที่อาเรียเสนอเรื่องธุรกิจโกดังจึงช่วยลดภาษีลงได้เยอะเลยล่ะครับ โชคดีมากจริงๆครับ”
พูดตามบรรยากาศไปจนไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปอย่างนั้นเหรอ ใครให้การช่วยเหลือใครกัน เพราะใครกันที่ทำให้ต้องลำบากเรื่องภาษีมาตั้งแต่แรก
อาซหัวเราะกับท่าทางโง่เขลาของเขาราวกับจะยืนยันว่าไม่ได้สนิทสนมกับอาเรียอย่างนั้น
“อา อย่างนั้นเหรอครับ เลดี้ช่างมีความสามารถเก่งมากครับ เพราะอย่างนั้นผมถึงไม่กล้าขัดอะไรได้แต่ตามใจทุกอย่างเช่นนี้อย่างไรล่ะครับ”
“…ตายจริง”
เคาน์ติสเผลออุทานออกมาไม่รู้ครั้งที่เท่าไร จนท้ายที่สุดการสนทนาจบลงด้วยคำชื่นชมอาเรีย
แน่นอนอยู่แล้ว เพราะตัวเอกของวันนี้ก็คืออาซและอาเรีย และอาเรียก็เหมาะสมที่จะได้รับคำชมนั้นด้วย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเป็นพิธีการ
ในขณะที่ทานอาหารเธอไม่ได้ตักอะไรเข้าปากเลยแม้แต่น้อยทำให้ใบหน้าของมิเอลดูซีดเซียว พลางจ้องพ่อของตัวเองที่ไม่หยุดพูดชมอาเรียด้วยสายตาราวกับโกรธแค้น
เคนก็เช่นกัน เขาไม่ได้แตะอาหารที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด พลางโกรธจนกัดฟันแน่น แต่ก็กลัวว่าจะได้รับผลกระทบจึงไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป
อาเรียยิ้มในขณะที่มองปราดทั้งคู่จากนั้นจึงพูด
“ท่านพ่อ แล้วก็คุณอาซ พูดอะไรกันคะ ลูกยังเทียบมิเอลไม่ได้แม้กระทั่งปลายเล็บเลยมั้งคะ จริงๆ แล้ว ลูกสิที่ต้องตามรอยเธอที่เป็นเลดี้ในตระกูลชนชั้นสูงใช่ไหมล่ะคะ”
ใครจะคิดแบบนั้นกัน เพราะรู้ว่าไม่มีใครคิดแบบนั้น อาเรียจึงจงใจแกล้งทำเป็นถ่อมตัว ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไปราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น
แม้ไม่มีใครเห็นด้วย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้มิเอลได้รับความอับอาย ในสายตาของคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นแม่พระปกป้องน้องสาวที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน แต่อาซที่รู้ตัวตนของอาเรียรู้จุดประสงค์นั้นจึงเปิดปากพูดเพื่อทำลายความเงียบ
“ใช่ไหมล่ะครับ ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นเลยไม่รู้มาก่อนเลยครับ เลดี้อาเรียออกปากชมแบบนี้ ผมก็สงสัยว่าจะเป็นคนแบบไหนกัน ท่านเคานต์มีเลดี้ที่เฉลียวฉลาดแบบนี้คงจะอุ่นใจเลยสิครับ”
“…ขอบคุณค่ะ”
ท่านเคานต์ซับหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้าพลางเห็นด้วยราวกับเพิ่งเคยได้ยินคำพูดแบบนี้ ส่วนมิเอลก็กลืนซูชิลงไปทั้งที่ขอบตาแดงก่ำ ให้ตำหนิด่าทอยังจะดีเสียกว่า
แต่เพราะมกุฎราชกุมารนั่งอยู่จะโวยวายหรือลุกออกจากที่นั่งก็ไม่ได้
เคนที่ทนเห็นสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้จึงออกหน้าไกล่เกลี่ย
“…ที่ท่านมานี่ไม่ได้มาเพื่อขออนุญาตหรอกเหรอครับ?”
เพราะเรื่องของมิเอลไม่ได้สำคัญเท่าไรนักจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ทันใดนั้นอาเรียที่มองสภาพน่าเวทนาของมิเอลก็ส่งสายตาราวกับสงสัยไปด้วย แม้จะคาดการณ์ไว้อยู่แล้วแต่ดูเหมือนว่าเธออยากจะฟังจากปากของเขาเอง
“เอ่อ จริงสิครับ”
ดูเหมือนว่าอาซไม่อยากจะเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระจึงเข้าเรื่องจริงจัง คิดว่ารีบๆจบช่วงเวลาที่น่าเบื่อแบบนี้แล้วไปเดินชมคฤหาสน์กับอาเรียสองต่อสองจะดีซะกว่า
“สำหรับเลดี้ผมได้มอบแหวนให้แล้วครับ จึงคิดว่ามาขออนุญาตท่านทั้งสองอย่างเป็นทางการน่าจะดีครับ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…”
แม้จะมาขออนุญาตท่านเคานต์และเคาน์ติสก็ตาม แต่สายตาของเขากลับมองไปที่อาเรีย
สายตาราวกับขออนุญาตจากเธอ
“เพราะมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นมากกว่านั้นอย่างไรล่ะครับ ถึงจะคุยกับเลดี้ครั้งที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าต้องมาขออนุญาตจากทั้งสองท่านน่าจะดีกว่าครับ”
มากกว่านั้น หากจะคบหากันมากกว่านั้นก็มีแค่อย่างเดียว
แม้อาจจะคาดการณ์ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อได้ยินจากปากของมกุฎราชกุมารที่พูดคำนั้นออกมาเองทำให้ช็อกจนไม่สามารถแสดงท่าทางอะไรออกมาได้ ความแตกต่างระหว่างจินตนาการกับความเป็นจริงได้เข้ามาอย่างเงียบๆ
จะตอบกลับว่าอะไรดี เขาเป็นผู้ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้นี่นา
ภายในสวนที่เงียบสงัดนั้นมีเพียงอาเรียที่ระบายยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ คนเดียว
……………………….