“ท่านเคานต์คิดเช่นไรครับ แล้วก็ท่านเคาน์ติสด้วยครับ”

“…ครับ! คะ ครับ…”

ท่านเคานต์ตกใจจนเรียบเรียงคำพูดใหม่แล้วตอบ เป็นคำตอบที่ไม่รู้ว่าชอบหรือไม่

“เรื่องนั้นถึงกับต้องขออนุญาตเชียวหรือ หากทั้งคู่ชอบพอกันก็ทำตามเห็นสมควรสิครับ”

เคาน์ติสขอบตาแดงก่ำอย่างกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกขอแต่งงานเองเสียอย่างนั้น เป็นความประทับใจจากการเลื่อนตำแหน่งชนชั้นที่ไม่มีใครสามารถทำได้

หลังจากที่มือของทุกคนหยุดเคลื่อนไหวจากนั้นไม่นานมื้ออาหารก็จบลง ไม่รอให้ล่าช้าอาซดื่มชาที่ถูกเตรียมไว้สองสามอึกจากนั้นอาเรียจึงถามอาซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

“คุณอาซ สนใจไปเดินชมสวนในร่มที่ท่านแม่ตกแต่งด้วยตัวเองไหมคะ”

“มีที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนั้นด้วยเหรอครับ อยากลองไปดูเสียจริง”

“ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวก่อนนะคะ”

อาเรียที่ตกใจกับคำพูดก่อนหน้าของอาซ ทันทีที่เธอลุกออกจากที่นั่งพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่สง่างาม ท่านเคานต์ก็พยักหน้าราวกับหุ่นยนต์ และดูเหมือนว่าเคาน์ติสที่นั่งอยู่ข้างๆอยากจะไปด้วยเหมือนกันจึงได้แต่แสดงสีหน้าเสียดายเท่านั้น

เมื่อทั้งสองคนหายเข้าไปตรงสวนในร่ม เคาน์ติสจึงสั่งการให้ข้ารับใช้รีบไปตกแต่งสวนและคฤหาสน์เพิ่มเติมทันที มิเอลอาศัยช่วงเวลานั้นลุกจากที่นั่งด้วยใบหน้าที่เหม่อลอยพลางเรียกท่านเคานต์

“ท่านพ่อคะ”

ใบหน้าของเธอดูเหมือนสูญเสียโลกไปทั้งใบ

“…มิเอล มีเรื่องอะไรเหรอ”

หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้มิเอลต้องแสดงสีหน้าแบบนั้น ท่านเคานต์ที่แม้จะมีแต่ก็จำไม่ได้ จึงรีบเดินเข้าไปหาเธอ

ทันใดนั้นมิเอลจึงมองบริเวณรอบๆ สักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าพูดด้วยเสียงเบาๆ

“…จะให้มกุฎราชกุมารแต่งงานกับอาเรียไม่ได้เด็ดขาดเลยนะคะ ไม่เหมาะสมกันเลยค่ะ”

สีหน้าของเธอที่พูดอยู่ดูสิ้นหวังมาก

“เรื่องอะไรกันล่ะ”

เมื่อท่านเคานต์ถามเหตุผล ครั้งนี้เธอจึงบอกเหตุผลเสริมไปกับความคิดเห็นของตัวเอง

“เจ้าชายตกลงว่าจะช่วยดัชเชสแล้วนี่คะ แล้วทำไมถึงอนุญาตให้พี่กับเจ้าชายคบหากันได้ล่ะคะ การช่วยเหลือดัชเชสน่ะ… ทำไปเพราะอยากจะหลีกหนีจากพระองค์ไม่ใช่หรอกเหรอคะ”

“นั่นมัน… ก็ใช่”

ต้องคอยสนับสนุนนี่นา ทำไมคำตอบถึงได้เป็นรูปอดีตกันนะ มิเอลขมวดคิ้วพลางโน้มน้าวท่านเคานต์อีกครั้ง

“ยิ่งไปกว่านั้นที่ผ่านมาท่านพ่อเป็นคนชักนำกลุ่มชนชั้นสูงมาด้วยตัวเองนี่คะ มาตอนนี้จะไปผูกมิตรกับราชวงศ์…! ท่านพ่อยอมให้สิ่งที่ท่านพ่อพยายามมาโดยตลอดหายไปกับอากาศเหรอคะ จะยอมรับความละอายใจนั้นเหรอคะ มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้นนะคะ!”

“…มิเอล”

“หากท่านพ่อทำให้ต้องผิดหวัง แน่นอนว่ากลุ่มชนชั้นสูงจะต้องกระจายตัวไปแน่ค่ะ นั่นก็เท่ากับว่าทุกอย่างพังทลายอย่างไรล่ะคะ”

“มิเอล พ่อเข้าใจดีว่าลูกคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้ใจเย็นๆ ก่อนนะ”

มิเอลที่โกรธจัดจึงพูดออกไม่ไม่หยุดหย่อน ท่านเคานต์จึงแตะไหล่ของเธอเบาๆ พลางบอกให้เธอสงบสติอารมณ์ ราวกับเป็นการปลอบโยนว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ แม้จะไม่เข้าใจเลยแม้สักนิดก็ตาม

“แน่นอนว่าพ่อก็คิดอย่างเดียวกับลูก แต่ปัญหานี้จะตัดสินใจง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ มกุฎราชกุมารไม่ใช่จักรพรรดินี่ ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังชอบพอกับอาเรียด้วย ยังเอาไว้ใช้งานได้เท่าที่ต้องการนี่”

ท่านเคานต์ที่เหมือนจะฟุ้งซ่านแต่ดูท่าจะคำนวณส่วนที่ตัวเองสามารถได้รับจากความสัมพันธ์ของอาเรียและพระองค์ไว้แล้วเหมือนกัน

“จะไปรายงานท่านดยุกพอดี ต้องรวบรวมความเห็นเสียหน่อยเพราะชนชั้นสูงคนอื่นๆ ต่างเห็นพ้องกันว่ายังมีส่วนที่น่าเสียดายอยู่”

“…ท่านพ่อ! “

เธอส่งเสียงราวกับจะขัดขวางการแต่งงานพลางจับปลายแขนเสื้อของท่านเคานต์ ได้โปรดขอร้องไม่ให้ทำอย่างนั้น

ทว่า

“ถ้าอย่างนั้นพ่อจะไปดูว่ามีอะไรที่ต้องเตรียมการเพิ่มอีกหรือไม่ แล้วค่อยคุยรายละเอียดเพิ่มนะลูก”

ท่านเคานต์ไม่มีความคิดที่จะปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างที่เคย ท้ายที่สุดการเกลี้ยกล่อมของมิเอลจึงไม่เป็นผล สิ่งที่ทำให้ท่านเคานต์ตัดสินใจคือท่าทางของอาซที่ดูไม่มั่นใจวันนี้

ท่าทางราวกับจะยกทั้งโลกให้กับอาเรีย ทำให้เขาเคลื่อนไหวแผนการ

“มิเอล”

มิเอลมองเงาของท่านเคานต์ที่ค่อยๆห่างออกไปด้วยความโกรธ คนที่เรียกชื่อมิเอลไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นเคน ดูเหมือนว่าเขาจะแอบฟังบทสนทนาของท่านเคานต์และมิเอลทำให้สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก

มิเอลที่น่าสงสารสูญเสียท่านเคานต์ไปเสียแล้ว ที่พึ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือท่านพี่ของเธอ เพราะสีหน้าที่ทั้งเศร้าและหวาดกลัวราวกับเสียประเทศเพราะพ่ายแพ้ในสงคราม

“ท่านพี่…!”

“ไง ก่อนอื่นขึ้นไปที่ห้องก่อนเถอะ”

แต่เคนต่างจากมิเอล เขาพยายามควบคุมสีหน้าไม่เปิดเผยความรู้สึก หากเป็นคนอื่นก็ไม่แน่ แต่อีกฝ่ายเป็นคนในราชวงศ์ที่ยากจะต่อกรด้วย หากเขายิ่งโมโหโวยวายก็ยิ่งดูน่าเวทนา

ทั้งอาเรียแม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตามแต่เธอก็เป็นน้องสาวของเขามาแต่แรก หากท่านเคานต์ไม่หย่าก็จะเป็นแบบนั้นไปตลอดกาล และความสัมพันธ์ระหว่างคู่สามีภรรยาท่านเคานต์ไม่มีช่องโหว่ให้หวังได้อยู่แล้ว ทำให้เขาเกือบจะต้องยอมแพ้

แต่มิเอลไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะหน้าที่ของเธอคือการสร้างรอยแยกระหว่างอาเรียและอาซ และครั้งนี้จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จเท่านั้น

“ท่านพี่ก็ไม่อยากให้หญิงคนนั้นไปผูกสัมพันธ์กับมกุฎราชกุมารใช่ไหมล่ะคะ”

เคนพยักหน้ากับคำถามตรงไปตรงมาของเธอ เพราะเขาไม่สามารถปิดบังความรู้สึกนั้นได้ ต่างจากสถานการณ์ทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้

มิเอลจับปลายแขนเสื้อเคนพาไปยังห้องรับแขกที่ไม่มีใครอยู่ เพราะเธอสูญเสียเอ็มม่าไปแล้วจึงต้องการกำลังเสริม และเธอก็เชื่อว่าเคนเหมาะสมและมีประโยชน์สำหรับงานนี้

“เรามาช่วยขัดขวางท่านพ่อกันค่ะ! จะให้หญิงนั่นแต่งงานกับฝ่าบาทไม่ได้โดยเด็ดขาดนะคะ!”

“มิเอล… พูดอะไรน่ะ ทั้งคู่ต่างชอบพอกันแบบนี้ไปขัดเขาได้อย่างไรกัน แม้ท่านพ่อจะบอกว่าไม่เห็นด้วยก็ตาม หากพวกเขาต้องการก็เปล่าประโยชน์”

เคนพูดตอบมิเอลที่พยายามเกลี้ยกล่อมอย่างเต็มที่ราวกับว่าทำไปก็ไม่มีค่าอะไร

“พูดอะไรกันคะ! หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตระกูลของเราจะโดนเรื่องร้ายอะไรอีกก็ไม่รู้นะคะ! อาจจะโดนด่าทอว่าเป็นคนทรยศก็ได้!”

“…พอเถอะ ท่านพ่อบอกว่าจะคุยกับท่านดยุก อาจจะหาทางอื่นก็ได้นะ”

และดูเหมือนว่าเคนก็หาทางนั้นได้เหมือนกัน ทางที่จะไม่ทำให้โดนตำหนิว่าเป็นคนทรยศทั้งยังสามารถรับผลประโยชน์ได้อย่างไรล่ะ

มันง่ายมาก ดูท่าอาซจะหลงอาเรียเสียใหญ่ แค่หลอกใช้อาเรียให้ไปบงการอาซเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

แม้จะต่างกับแผนการของดัชเชส แต่นั่นก็เป็นทางที่จะทำให้มกุฎราชกุมารกลายเป็นตุ๊กตาได้ทางหนึ่งเลยล่ะ

แค่อาเรียยอมทำตาม แผนการนี้สามารถเป็นไปได้สูง เพราะหล่อนเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลท่านเคานต์จะขัดขืนไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าท่านเคานต์และท่านดยุกต้องเลือกแผนการนั้นอย่างแน่นอน

“ไม่นะคะ! เพราะอย่างนั้นยิ่งไม่ได้เลยละค่ะ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะคะ!”

ดูเหมือนว่ามิเอลจะคิดวิธีการนั้นออกจึงตะโกนรบเร้าออกมาเสียงดัง แม้จะยังอายุน้อยก็ตาม แต่ท่าทางนั้นไม่เข้ากับเธอเลย

ท่าทางที่เคยแสดงให้แค่เอ็มม่าเห็นแต่ตอนนี้กลับไม่มีคนที่จะทำให้ดู บางครั้งจึงถูกเปิดเผยออกมาในที่ที่ไม่จำเป็น สายตาของเคนที่ตกใจกับท่าทางที่ไม่คุ้นชินนั้นสบตากับเธอ

“…ถ้าหากมีหนทางที่จะทำให้หล่อนกับเจ้าชายแยกทางกันได้ท่านพี่จะทำอย่างไรคะ”

“…พี่จะพูดอีกทีนะ แผนการนั่นน่ะ”

“ไม่นะคะ! มีค่ะ ท่านพี่ น้องมีแผนการนั่นค่ะ ไม่เพียงแค่เลิกรากันไปเท่านั้นนะคะ แต่หญิงนั่นจะไม่สามารถคบหากับใครได้อีกตลอดกาล แต่ก็…อันตรายนิดหน่อยน่ะค่ะ”

มิเอลรู้ใจเคนเสนอแผนการที่พอจะหลอกล่อเขาได้ ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ

หากมีแผนการแบบนั้นล่ะก็… แม้จะบอกว่าอันตรายแค่ไหนก็ตาม มีหรือจะไม่ลอง

สีหน้าของเธอดูมีเล่ห์เหลี่ยมจนทำให้เขาไม่สามารถพยักหน้าได้

* * *

แม้เปรียบกับวังหลวงแล้วคฤหาสน์นี้เทียบกับโรงม้าไม่ได้ก็ตาม แต่ระหว่างที่อาซเดินไปยังสวนเขาตั้งใจมองอย่างไม่หยุดหย่อน นัยน์ตาเปล่งประกายสีฟ้าเต็มไปด้วยความสนใจและความตกตะลึง

อาเรียพาเดินเลี่ยงผู้คนพลางถามอาซ

“เป็นแค่คฤหาสน์เล็กๆ ไม่มีอะไรน่าดูเท่าไร ทำไมท่านถึงได้ดูสนุกสนานขนาดนั้นเชียวคะ”

“แค่คิดว่าเลดี้ใช้เวลาเติบโตมาที่นี่จะไม่สนุกได้อย่างไรกันครับ”

แม้อาซจะหมายถึงแม้เธอจะเข้ามาที่นี่เพียงไม่กี่ปีเท่านั้นแต่สำหรับอาเรียแล้วเธอใช้ชีวิตที่นี่เกินสิบปีจนกระทั่งพบกับความตาย มันจึงมีความหมายที่ต่างออกไป

อาซสังเกตอาเรียที่นิ่งไม่พูดอะไร จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“วันนี้ผมดูเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“…คะ”

“ผมหมายถึง ไม่รู้ว่าจะทำให้ท่านเคานต์และเคาน์ติสพอใจได้บ้างไหมน่ะครับ”

ครั้งนี้ด้วยความหมายที่ต่างออกไปทำให้อาเรียพูดอะไรไม่ออก เพราะเขาพยายามจะได้รับความสนใจจากพวกเขาอย่างจริงจังยังทำให้เธอตกใจอยู่เสมอ เพียงแค่มาเยือนที่นี่ก็เป็นเกียรติมากพอแล้ว

“…เฉยๆ อย่างนั้นเหรอครับ”

เขาที่ถามอีกครั้งทำให้อาเรียยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ

“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรคะ ถึงคุณอาซไม่ทำเช่นนั้น ท่านพ่อท่านแม่ก็ชอบใจอยู่แล้วล่ะค่ะ เพราะตำแหน่งของคุณอย่างไรล่ะคะ”

“ฮึ่ม…  ผมพยายามก็แล้ว กลับได้ยินว่าความพยายามนั้นไม่มีค่าเช่นนี้ก็ทำให้น้อยใจอยู่นะครับ”

“…!”

เขาบ่นพึมพำเหมือนเด็กว่าความพยายามที่เขาทำไม่มีค่าอะไร

ตายจริง ดูภายนอกแม้จะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ท่าทางที่ไม่เข้ากันแบนี้ทำไมถึงได้ดูน่ารักน่าชังเชียวนะ

“พูดไปก็เจ็บปากเปล่าๆ ค่ะ อย่าน้อยใจไปเลยนะคะ”

พูดแบบนั้นพลางลูบฝ่ามือเขาเบาๆ

ทันใดนั้นหูเขาก็ขึ้นสีฝาดพลางรีบเร่งฝีเท้าตัวเอง ราวกับเขินอายจนอยากจะหลบสายตาคนภายนอก

หากผ่านวันเกิดในปีนี้ก็จะครบ 20ปี ส่วนอาเรียก็ 17ปี แม้อาซจะอายุมากกว่าอาเรียแต่ความจริงแล้วอาเรียได้ใช้ชีวิตมากกว่าเขา เพราะอย่างนั้นถึงอาซจะใช้ทั้งชีวิตก็เทียบอายุกับอาเรียไม่ได้แน่นอน

อาเรียถามอาซราวกับจะแกล้ง

“รีบเข้าไปในสวนกันดีไหมคะ”

“…เอาสิ ผมเขินอายจนจะไม่ไหวแล้ว”

ด้วยท่าทางที่น่ารักและจริงใจของเขาทำให้อาเรียหัวเราะออกมา

* * *

ตามที่อาซเคยพูดไว้เมื่อครั้งก่อน ดูเหมือนว่าอัยการคนนั้นจะสนใจอาเรียจริงๆ เนื่องจากมีจจดหมายถึงเธอถูกส่งมาที่คฤหาสน์

จดหมายจากบุคคลชื่อ ‘เฟรย์’ ที่ไม่ได้ระบุนามสกุล เธอคิดเสียว่าเป็นเพียงแค่นักธุรกิจคนหนึ่งที่ต้องการเงินลงทุนพลางเปิดซองจดหมายออกมาอ่าน ขณะที่อ่านจดหมาย เธอไม่สามารถปิดปากได้เลย

[เรียนเลดี้ ดิฉัน ‘เฟรย์’ ที่เคยเป็นอัยการค่ะ เนื่องจากออกมาจากวังหลวงแล้ว ดิฉันจึงไม่มีนามสกุล ดิฉันเป็นห่วงไม่ทราบว่าร่างกายเลดี้เป็นอย่างไรบ้าง พอดีว่ามีชาและขนมชั้นเลิศเข้ามาใหม่จึงอยากจะดื่มชาพร้อมกับคุยกับเลดี้แห่งตระกูลโรสเซนต์น่ะค่ะ ได้โปรดเขียนตอบกลับวันที่เลดี้สะดวกมาพบด้วยนะคะ]

ตายจริง แผนการอะไรกันแน่ หรือจะเป็นตามที่อาซพูดเพราะข่าวลือพวกนั้นทำให้เขาสนใจเธออย่างนั้นเหรอ แต่จะว่าไปเฟรย์ที่แอบมองเธอแล้วทำหน้าตกใจครั้งก่อนยังคอยวนใจเธออยู่

‘ทำไมถึงตกใจกันนะ หรือเป็นเธอรู้จักตัวเองอย่างนั้นเหรอ’

หญิงที่ออกมาจากวังหลวง แม้จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เพื่อต้องการเช็กให้แน่ใจจึงต้องไปพบกับเธอเสียแล้ว

ในเมื่อส่งจดหมายมาอย่างเป็นทางการแบบนี้คิดว่าไม่น่าจะมีเจตนาร้ายอะไร จึงเขียนวันที่เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถไปเยี่ยมได้สองสามวันเพื่อให้เธอเลือกตอบกลับไป

ดูเหมือนว่าเธอก็รอจดหมายตอบกลับจากอาเรียอยู่ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันจดหมายนั้นก็ถึงมือเธอ

ในบรรดาวันที่ที่อาเรียเขียนส่งไปให้เธอเสนอว่าให้เจอกันในวันที่ใกล้จะมาถึงที่สุด และวันนั้นกลับมาถึงเร็วกว่าที่คิด

“เลดี้ ไม่แต่งตัวให้สง่ากว่านี้เหรอคะ อีกเดี๋ยวก็จะกลายเป็นมกุฎราชกุมารีแล้วนะคะ…”

ตั้งแต่หลังจากวันที่อาซมาเยือน แอนนี่จึงบ่นจัดแจงชุดที่อาเรียควรจะใส่

ร่างที่จะกลายเป็นมกุฎราชกุมารีในอนาคตอันใกล้นี้

ไม่ใช่เพียงแค่หล่อนเท่านั้น แม้กระทั่งข้ารับใช้ในคฤหาสน์ที่เธอไม่รู้จักต่างแสดงท่าทางเคารพอาเรียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

‘อาซคงจะนำรถม้าที่หรูหราคันนั้นขับผ่านเมืองมาสินะ’

เหมือนกับว่าจงใจจะโอ้อวดอย่างนั้น คนที่เดินผ่านไปมาจะตกใจขนาดไหนกัน ราวกับจะบอกให้ตั้งใจมองว่าตัวเองกำลังเดินทางไปหาใครแล้วแพร่ข่าวลือเสียอย่างนั้น

‘ไม่เป็นอย่างนั้นนี่… แม้จะเป็นมกุฎราชกุมารก็ตาม แต่ผู้ชายก็คือผู้ชายสินะ’

แต่เมื่อถามว่าไม่ชอบเหรอ คำตอบก็คือ ‘ไม่’ การโอ้อวดไปทั่วเสียอย่างนั้นมีหรือจะไม่ชอบ ซึ่งคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอาซนั่นเอง

“เลดี้คะ ไปเปลี่ยนชุดตอนนี้ดีไหมคะ”

เพราะแอนนี่มัวแต่บ่นเรื่องชุดจะให้เธอแต่งตัวอย่างสง่างามทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะต้องไปที่ไหนอาเรียจึงหัวเราะออกมา แอนนี่เห็นอย่างนั้นจึงหัวเราะออกมาด้วยความเคอะเขิน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

“เตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้วค่ะเลดี้”

หลังจากที่ข้ารับใช้เรียก เธอจึงวางหนังสือที่อ่านอยู่ลง

‘หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายนะ’

เรื่องต่างๆก็สามารถแก้ได้อย่างง่ายดาย ทำไมถึงได้กังวลกับเรื่องที่ไม่น่ากังวล อาเรียตรวจดูสภาพตัวเองเผื่อหลงลืมอะไรอีกครั้งพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะออกจากคฤหาสน์ไป

……………………….